Skip to main content
sharethis

ภาคประชาสังคมร่วมกันแถลงข่าวนำเสนอนโยบายทางการเมืองในประเด็นสิทธิมนุษยชนด้านต่างๆ ต่อพรรคการเมือง พร้อมคาดหวังว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นและมีการเมืองที่ดีขึ้นและประชาชนได้เลือกพรรคการเมืองที่พัฒนานโยบายด้านสิทธิต่างๆ 

4 เม.ย.2566 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย รายงานการแถลงข่าว “เลือกตั้ง 2566 : ฟังเสียงนโยบายภาคประชาสังคม (Civil Society's Agenda for the 2023 Thailand Election)” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เป็นเวทีที่ภาคประชาสังคมร่วมกันนำเสนอข้อเสนอแนะที่เป็นนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนหลากหลายประเด็น ครอบคลุมทั้งสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาด้านต่างๆ รวมทั้งกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ต่อตัวแทนพรรคการเมืองและสาธารณชนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 ที่จะถึงนี้

สฤณี อาชวานันทกุล  กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้ บริษัท ป่าสาละ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่ทำวิจัยประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาหลายปี เห็นว่าการละเมิดสิทธิที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นในหลายประเด็น โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทไทยเข้าไปลงทุนหรือรับซื้อผลผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านที่กลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอ่อนแอหรือไม่มีเลย ในยุคที่การเคารพสิทธิมนุษยชนกำลังกลายเป็น "จรรยาบรรณสากล" ในการประกอบธุรกิจ  

“จึงอยากให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เสนอนโยบายกำหนดความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจที่วางอยู่บนฐานการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน เพื่อยกระดับความรับผิดชอบของธุรกิจ เพิ่มความโปร่งใสซึ่งก็จะเพิ่มพลังของผู้บริโภคในการติดตามตรวจสอบธุรกิจ สร้างความเท่าเทียมในสนามแข่งขัน อีกทัั้งยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้บริษัทไทยสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของประเทศคู่ค้าหลายประเทศที่มีแนวโน้มจะใส่ข้อกำหนดด้านสิทธิมนุษยชนเข้ามามากขึ้น เช่น เราควรออกกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติ และออกกฎหมายบังคับให้บริษัทขนาดใหญ่ต้องดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านตามหลักการชี้แนะ UNGP ตลอดห่วงโซ่อุปทาน”

“ถ้าเรามีกฎหมายนี้ บริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเกษตรก็ต้องตรวจสอบว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใดกับการเผาแปลงปลูกไม่ว่าจะในที่ราบหรือบนดอยในห่วงโซ่อุปทานของตน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักประการหนึ่งของวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศ และชี้แจงว่าบริษัทมีมาตรการลดแรงจูงใจในการเผาของเกษตรกรอย่างไร เป็นต้น"  สฤณีกล่าว

ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่าง ๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากไร้ซึ่งการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (right to a healthy environment) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น และสร้างความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  

“กรีนพีซเชื่อว่าการเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิดและเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย” 

ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยว่า สิทธิมนุษยชน คือ เรื่องของทุกคน ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในประเทศไทย พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของก้าวต่อไปของประเทศไทยทั้งสิ้น นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ได้รับรองพันธกิจสำคัญที่มีต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งการเคารพ ปกป้องคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิต่าง ๆ รวมทั้งปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน 

"การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหมุดหมายของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลหรือการทำงานของรัฐสภาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้แทนของประชาชนจะใช้กลไกในรัฐสภาอย่างไรให้เกิดการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งถูกจำกัดอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่ให้คุณค่าประชาชน คือ พรรคที่พัฒนานโยบายเพื่อสังคมโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน แม้ว่าพวกคุณจะได้เป็นรัฐบาล ฝ่ายค้าน หรือไม่ได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้เลยก็ตาม”  

นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้อำนวยการเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair) เผยว่า ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในประเทศแห่งนี้ถูกกล่อมเกลาจากชนชั้นนำระบอบอำนาจนิยมและเสรีนิยมใหม่ ให้เชื่องเชื่อจนมันกลายเป็นสิ่งปกติ คนจน 4.4 ล้านคน รายได้ต่ำกว่า 2,803 บาทต่อเดือน ในขณะที่คนรวย 40 ตระกูล มีมูลค่าทรัพย์สิน 143,595 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 28.5 ของ GDP ที่ดินอยู่ในมือคนมั่งมีกว่า 6 แสนไร่ เท่ากับจังหวัดสมุทรปราการ แต่มีคนไร้ที่ดินคนไร้บ้านจำนวนมาก เด็กและเยาวชนหลุดจากระบบการศึกษากว่า 1.2 ล้านคน เด็กครอบครัวยากจนเข้าถึงมหาวิทยาลัยเพียง 11% ผู้สูงอายุและคนพิการได้รับเบี้ยยังชีพต่ำกว่าเส้นความยากจน 3-5 เท่า 

“การเลือกตั้ง 2566 ในครั้งนี้ จึงมีเดิมพันระหว่างสังคมไทยที่มีความหวังกับความสิ้นหวัง ประชาธิปไตยกับเผด็จการขวาจัด รัฐเผด็จการอำนาจนิยมกับรัฐสวัสดิการและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สวัสดิการเพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนกับอาวุธยุทธภัณฑ์เพื่อความมั่นคงกองทัพ โอกาสการศึกษาที่เท่าเทียมกับธุรกิจการศึกษาที่สร้างหนี้สิน การเข้าถึงสิทธิเสมอกันถ้วนหน้ากับระบบสงเคราะห์ตีตราคนจนแบ่งแยกเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการสร้างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยกับการคงอยู่ของระบบอำนาจนิยม” 

อธิพันธ์ ว่องไว หัวหน้าโครงการกาลพลิก มูลนิธิกระจกเงา กล่าวว่า หน่วยเลือกตั้งต่างๆ ควรมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถอำนวยให้คนพิการสามารถไปใช้สิทธิลงคะแนนได้จริง เช่น บางหน่วยสถานที่ไม่อำนวยในการช่วยเหลือตัวเองได้มากนัก ควรเน้นการออกแบบให้รองรับคนทุกรูปแบบ 

“คนพิการต่างตั้งใจจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศ และต้องการให้พรรคการเมืองต่าง ๆ มีนโยบายด้านการส่งเสริมอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ต้องมีกลไกสนับสนุนผู้ช่วยคนพิการ โดยนโยบายต่าง ๆ ต้องไม่มาจากทัศนคติด้านการสงเคราะห์ ควรเพิ่มค่าจ้างคนพิการให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดผู้ช่วยคนพิการมากขึ้น ด้านกลไกผู้ดูแลคนพิการไม่ควรขึ้นอยู่กับ อสม. เพียงอย่างเดียว และต้องพัฒนากองทุนคนพิการให้ใช้งานตอบโจทย์คนพิการอย่างเต็มประสิทธิภาพ ที่สำคัญการเลือกตั้งต้องเคารพสิทธิและเสียงของคนพิการ” 

นัสรี พุ่มเกื้อ ตัวแทนคนรุ่นใหม่ เผยว่า ในตอนนี้สังคมไทยได้กลายเป็นสังคมที่เยาวชนไร้ความหวัง เด็กเเละเยาวชนหลายคนถูกผลักออกจากระบบการศึกษา สถิติการเกิดขึ้นของปัญหาสุขภาพจิตในเด็กเเละเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำเด็กเเละเยาวชนในประเทศนี้ยังรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียง เเละการเเสดงออกทางการเมืองมักลงเอยด้วยการตอบโต้ที่ใช้ความรุนเเรงเเละการถูกดำเนินคดี 

“ตอนนี้ความหวังของพวกเรานั้นริบหรี่ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงเเค่การเลือกตั้งทั่วไป เเต่ผลของการเลือกตั้งครั้งนี้ หากเราชนะ เเละข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมสัมฤทธิ์ผล นี่จะเป็นตัวจุดชนวนความหวัง เเละ เป็นเชื้อไฟให้กับเด็กเเละเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เติบโตในสังคมไทย หากผู้นำประเทศคาดหวังที่จะให้เราเติบโตที่นี่ ต้องสร้างสภาพเเวดล้อมเเละสังคมที่ดีสำหรับการเติบโตของพวกเราด้วย” 

ทั้งนี้ ภาคประชาสังคมย้ำว่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองต้องให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน และขอให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพรรคการเมืองทุกพรรคยึดมั่นในการพัฒนาสถานการณ์ในด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ตามที่ภาคประชาสังคมนำเสนอต่อพรรคการเมืองด้วย 
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net