หลังสภาเทศบาลมินนีแอโปลิสในสหรัฐฯ ลงมติผ่านร่างเทศบัญญัติให้มีการประกันค่าแรงแก่คนขับรถ Uber และ Lyft ราว 50 บาทต่อไมล์และนาว 18 บาทต่อนาที ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 1 พ.ค. เป็นต้นไป โดยที่สองบริษัทนี้โต้ตอบด้วยการประกาศจะยกเลิกให้บริการในพื้นที่ดังกล่าว

Uber และ Lyft ประกาศจะยกเลิกให้บริการในเมืองมินนีแอโพลิส รัฐมินนิโซตา หลังจากที่สภาเทศบาลผ่านร่างเทศบัญญัติที่จะเป็นการขึ้นค่าจ้างให้กับคนขับรถ ทั้งสองบริษัทแถลงว่าพวกเขาจะไม่ให้บริการในเมืองมินนีแอโปลิสอีกต่อไปนับตั้งแต่ 1 พ.ค. ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันที่เทศบัญญัติขึ้นค่าแรงคนขับรถออกมาบังคับใช้

เทศบัญญัติดังกล่าวระบุให้ต้องมีการการันตีรายได้คนขับรถแอพฯ Uber และ Lyft ให้ต้องมีค่าแรงขั้นต่ำในช่วงเวลาที่รับผู้โดยสาร 1.4 ดอลลาร์ ต่อไมล์ (ราว 50 บาท ต่อ 1.61 กม.) และ 51 เซนต์ต่อนาที (ราว 18 บาท) เทศบัญญัติดังกล่าวนี้ผ่านร่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ต่อมาก็มีการถูกวีโตโดย เจคอบ เฟรย์ นายกเทศมนตรีของมินนีแอโปลิส จนกระทั่งในวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมาสภาเทศบาลเมืองมินนีแอโปลิสจะโหวตคว่ำการวีโตของนายกเทศมนตรีด้วยคะแนนโหวต 10-3 เสียง

ซีเจ แมคคลิน โฆษกของ Lyft บอกว่าเทศบัญญัติดังกล่าว "มีข้อบกพร่องอย่างมาก" เพราะมีการกำหนดอัตราค่าจ้างไว้ก่อนที่รัฐจะเผยแพร่งานวิจัยที่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า คนขับรถจะต้องได้รับค่าจ้างมากเท่าใดถึงจะมีรายได้เทียบเท่าค่าแรงขั้นต่ำของมินนีแอโปลิสซึ่งอยู่ที่ 15.57 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ราว 560 บาท)

งานวิจัยดังกล่าวทำการวิเคราะห์การเดินทางของคนขับรถบริการร่วมเดินทาง 18 ล้านครั้งเมื่อปี 2565 ผลการวิจัยพบว่าคนขับรถยังสามารถจะได้รับค่าจ้างในระดับค่าจ้างขั้นต่ำของเมืองมินนีแอโปลิสได้ ในขณะเดียวกันก็มีการพิจารณาร่วมกับการประกันสุขภาพ, การลางานโดยที่ยังได้รับค่าจ้าง และเงินออมยามเกษียณ ด้วยอัตรา 1.21 ดอลลาร์ต่อไมล์ (ราว 43 บาทต่อ 1.61 กม.) และ 0.49 ต่อนาที (ราว 17 บาทต่อนาที) ซึ่งน้อยกว่าที่สภาเทศบาลอนุมัติ

แมคคลินกล่าวว่า "พวกเราสนับสนุนมาตรฐานการได้รับค่าจ้างขั้นต่ำของคนขับรถ ... แต่มันก็ควรจะกระทำในแบบที่ซื่อตรง ที่ทำให้บริการยังมีราคาเข้าถึงได้สำหรับผู้โดยสาร"

จอช โกลด์ โฆษกของอูเบอร์กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อสื่อในทำนองเดียวกันว่าพวกเขา "ผิดหวังที่ทางสภาเทศบาลละเลยข้อมูลและผลักให้ Uber ออกจาก 'เมืองแฝด' (ฉายาของมินนีแอโปลิส)"

ทางบริษัท Uber ระบุว่าการที่พวกเขาจะยกเลิกให้บริการในเมืองนี้ จะส่งผลทำให้คนขับรถ 10,000 รายไม่มีงานทำ

"พวกเรารู้ว่าการทำงานร่วมกันกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น คนขับรถ, ผู้โดยสาร และเหล่าผู้นำของรัฐ พวกเราจะสามารถทำให้เกิดกฎหมายที่รับประกันค่าแรงขั้นต่ำให้กับคนขับรถที่มีความครอบคลุมทั่วทั้งรัฐได้ มีการคุ้มครองความเป็นอิสระ และทำให้บริการร่วมเดินทางมีราคาที่เข้าถึงได้" โกลด์กล่าว

จามาล ออสมัน สมาชิกสภาเมืองมินนีแอโปลิสแถลงต่อสื่อว่า ไม่ควรนำเรื่องราคาค่าโดยสารที่เข้าถึงได้มาอ้างเพื่อใช้บั่นทอนความเป็นอยู่ที่ดีของคนทำงานขับรถ

"คนขับรถก็เป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีครอบครัว ... แล้วพวกเขาก็สมควรจะได้รับค่าแรงขั้นต่ำอย่างมีศักดิ์ศรีแบบเดียวกับแรงงานอื่นๆ ... จากการโหวตแสดงให้ Uber, Lyft และนายกเทศมนตรีเห็นว่า สภาเทศบาลเมืองมินนีแอโปลิสจะไม่อนุญาตให้มีการกดขี่ชุมชนแอฟริกาตะวันออก หรือชุมชนใดๆ ก็ตาม ด้วยการกดค่าแรงพวกเขา"

เมื่อปี 2566 นายกเทศมนตรีมินนิโซตา ทิม วัลซ์ ทำการวีโตร่างเทศบัญญัติที่จะเป็นการขึ้นค่าแรงให้กับคนขับ Uber และ Lyft ทั่วทั้งรัฐ โดยอ้างว่ามันจะเป็นการ "ทำให้รัฐมินนิโซตากลายเป็นหนึ่งในรัฐที่แพงที่สุดในประเทศสหรัฐฯ ในแง่ของบริการร่วมเดินทาง"

การที่ทั้ง Lyft และ Uber ประกาศจะเลิกให้บริการในมินนีโซตาทำให้เกิดความกังวลว่าผู้คนจะเดินทางไปตามที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างไร และการที่มันจะส่งผลต่อคนพิการ มีรายงานจาก Axios ระบุว่ามินนีแอโปลิสมีคนขับแท็กซี่ที่มีใบอนุญาตเพียง 39 รายเท่านั้น น้อยลงกว่ามากเมื่อเทียบกับปี 2557 ที่มีคนขับ 2,000 ราย

ทว่าการตั้งเกณฑ์ค่าแรงขั้นต่ำคนขับรถบริการร่วมเดินทางและการขนส่งอาหารเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วในที่อื่นๆ เช่น ในปี 2566 เมืองนิวยอร์กซิตีได้ออกกฎใหม่ให้มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้กับคนขับรถอยู่ที่ราว 18 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ราว 650 บาท) ในขณะที่ซีแอตเทิลมีกฎระบุให้บริษัทอย่าง DoorDash, Uber และ Instacart ต้องให้เงินค่าจ้างในยามเจ็บป่วยแก่คนทำงานส่งของให้พวกเขาด้วย อีกทั้งยังมีกรณีที่ Uber เริ่มทำการจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้กับคนขับรถของพวกเขาในอังกฤษนับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา

เรียบเรียงจาก
Uber and Lyft to leave Minneapolis over ‘deeply flawed’ pay rules, The Verge, 15-03-2024