Skip to main content
sharethis

วิทยากร บุญเรือง


 


หมายเหตุ : รายงานชุดเศรษฐศาสตร์เพื่อคนจนเป็นความพยายามที่จะนำศาสตร์ทางธุรกิจมาอธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับแรงงาน-ผู้บริโภคและผู้ประกอบกิจการรายย่อย ในการรู้เท่าทันศาสตร์ของนายทุน รวมถึงการนำเสนอธุรกิจของคนเล็กคนน้อยในสังคมว่าพวกเขาทำอะไร ดิ้นรนอย่างไร ในโลกธุรกิจที่ทุนใหญ่ได้เปรียบอย่างมหาศาลในปัจจุบัน ...


 



 


ความทรงจำเกี่ยวกับนานากลยุทธ์ทางธุรกิจของคนแถวบ้านผม ซึ่งเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ไม่รับจ้างนายทุน ไม่ทำการเกษตร ก็คงเป็นผู้ประกอบการรายย่อยทุนต่ำ ที่ต้องกู้หนี้ยืมสินมาหมุนเวียนในธุรกิจ มีหลากหลายที่อยากนำมาเล่าท่านผู้อ่าน


 


วันนี้ผมขอนำกลยุทธ์ของลุงสวิงผู้ประกอบการเชื่อมเหล็กดัด ทำรั้ว ทำโครงเหล็ก ในการประนอมหนี้ ที่ว่ากันว่าเป็นกรณีคลาสสิกที่สุดในละแวกบ้าน


 


คือเรื่องมันมีอยู่ว่าเมื่อปลายปี 40 ลุงสวิงได้นำรถปิ๊กอัพคันเก่าๆ ไปค้ำประกันเงินกู้ แล้วอย่างที่น่าจะรู้ๆ กันคือแกหาเงินมาหมุนไม่ทัน ... จึงจำเป็นต้องรบกวนให้พนักงานเร่งรัดหนี้สินมาที่บ้าน เพื่อทำการยึดรถคันนี้ไปตามระเบียบ


 


โดยพนักงานเร่งรัดหนี้สินเคยจะมายึดครั้งหนึ่ง แต่โดนกลยุทธ์ของลุงสวิงดูดน้ำมันรถออกมาซะเกลี้ยง ทำให้ขับไปไหนไม่ได้ ... คราวนี้พนักงานเร่งรัดหนี้สินจึงเตรียมน้ำมันมาเติม


 


เมื่อเติมน้ำมันและรถสตาร์ทติด แต่กลับขับไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครทันสังเกตว่า 2 ล้อหลังของรถคันนี้ลุงสวิงถอดไปซ่อนไว้! ตัวรถถูกวางเอาไว้บนขอนไม้! --- นี่เป็นกรณีศึกษาสุดคลาสสิก ที่คนแถวบ้านผมกล่าวขวัญมาจวบจนปัจจุบัน ...


 


0 0 0


 


ในระบบทุนนิยมนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการสะสมทุน การกู้หนี้ยืมสินจากผู้อื่นและการนำสิ่งที่ไปกู้ยืมมานั้นไปใช้ในการลงทุนเพื่อให้เกิดทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก็คือกระบวนการหนึ่งที่ทำให้ระบบนี้คงอยู่และเจริญเติบโตไปได้


 


สำหรับสังคมไทยเรานั้น ในประวัติศาสตร์ชั้นเริ่มแรก ไม่นิยมการกู้ยืมเงินหรือการก่อหนี้ สาเหตุก็เป็นเพราะในอดีตนั้น สังคมไทยมีการผลิตเพียงเพื่อให้รัฐศักดินาขูดรีดเก็บส่วยเป็นหลัก ส่วนที่เหลือก็เอาไว้บริโภคอย่างกระเบียดกระเสียน


 


จวบจนพัฒนาการทางเศรษฐกิจและการเมืองมีมาเรื่อย จนการกู้หนี้ยืมสินเป็นสิ่งที่แพร่หลายในสังคมไทย


 


โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลนายทุนชุดที่แล้ว ซึ่งบริหารโดยนายกรัฐมนตรีที่เป็นอดีตนักธุรกิจ ได้พยายามสนับสนุนการก่อหนี้เพื่อให้เกิดผู้ประกอบการรายเล็กๆ เพิ่มขึ้น และเร่งให้เกิดอัตราการบริโภคเพิ่มขึ้น เช่น การลดอัตราเงินเดือนขั้นต่ำในการทำบัตรเครดิต เป็นต้น


 


ส่วนการเป็นหนี้ของนายทุนรายใหญ่ๆ มันก็มีมาเกือบทุกยุคทุกสมัย ในการลงทุนโครงการใหญ่ๆ นั้น การกู้เงินจากทั้งในและนอกประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง


 


แต่สำหรับเรื่องเล่า ทวงหนี้ ทวงสิน ทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นกับคนจนนั้นมักจะเป็นเรื่องตลก แอบอยู่ในตุ่ม ปีนต้นไม้ มุดในหนองน้ำหนี ฯลฯ และสำหรับเมื่อมันมาตกกับตัวเอง มันช่างเป็นตลกร้ายที่แทบจะขำไม่ออกเสียจริงๆ


 


เพราะสายเลือดไทย ถ้าหากจนตรอกจริงๆ ก็มักจะถือหลักพระเจ้าตากฯ ชักดาบออกมาฟาดฟันเจ้าหนี้ทั้งหลาย  ... นั่นแหละเราถึงจะมีอิสรภาพ ! --- คนจน คนรวย มีสิทธิ์ชักดาบได้พอๆ กัน ถ้าผลสัมฤทธิ์ในการนำเงินนั้นมาใช้ มันไม่ได้ต้นทุนและดอกเบี้ยไปคืนเจ้าหนี้


 


ถ้าความทรงจำของหลายคนยังดีๆ กันอยู่ ท่านคงจะจำได้ว่าบุคคลที่มีหน้ามีตาในสังคมขณะนี้หลายคน เคยผ่านการใช้ยุทธวิธี "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" นี้เหลังวิกฤตเมื่อปี 40 มาแล้ว ... ซึ่งบางคนกลับคืนกลายเป็นเจ้าพ่อสื่อดั่งเดิม และมีอิทธิพลทางการเมืองมากกว่าเก่าเสียอีก;-)


 


เมื่อนายทุนเกิดการบริหารหน่วยผลิตผิดพลาด ทำการค้าขายขาดทุนจนถึงขั้นอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจชำระหนี้ได้  สภาวะการเป็น "บุคคลล้มละลาย" อาจเป็นทางเลือกหนึ่งของพวกเขา


 


ซึ่งกรณีของกฎหมายล้มละลายนี้เป็นเพียงการยกในหลายๆ กฎหมายเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ที่มักจะไม่เป็นธรรมแก่คนจนๆ แต่มักเอื้อให้นายทุนตัวใหญ่ๆ เป้งๆ รอดได้เสมอ


 


ที่เห็นได้ชัดที่สุดสำหรับกฎหมายล้มละลายนี้ คนจนยากที่จะได้เข้าร่วมในการเสพย์สุข เพราะเขาจะฟ้องบุคคลธรรมดาไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท ฟ้องนิติบุคคล ไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท และอย่างว่า ไม่มีใครหน้าในใจป้ำให้เราไปถึงทุนก้อนใหญ่ขนาดนั้น --- คนจนๆ ได้กู้เงินแสนนี่ก็บุญโขแล้ว


 


สำหรับนายทุน ชนชั้นกลาง เมื่อเกิดหนี้สินที่มิอาจสามารถชำระได้ ท้ายที่สุดด้วยตำแหน่งแห่งหนทางชนชั้นที่เขายืน อย่างมากที่สุดพวกเขาก็แค่โดนดำเนินคดีทางกฎหมาย กลายเป็นคนล้มละลาย หรือบางคนยังล้มบนฟูก แล้วเด้งขึ้นมาตั้งตัวใหม่ได้อีกครั้ง


 


แต่สำหรับคนจนๆ อย่างพวกเราเมื่อเกิดหนี้สินที่มิอาจสามารถชำระได้ นอกจากการดำเนินคดีทางกฎหมาย ซึ่งคงจะแพ้แน่ๆ และมีการยึดทรัพย์สินเงินทองของเราแล้ว ก่อนหน้านั้นในระหว่างกระบวนการ "บี้หนี้" คนจนๆ ก็มักที่จะฟกช้ำดำเขียว เสียแข้ง เสียขา ไปเสียก่อน


 


ไม่เคยเท่าเทียมกันเลย ให้ตายสิ!


 


 







 


สาระหน้ารู้จากอดีตคน "รับจ้างทวงหนี้"


 


ในฐานะที่ผมเคยทำงานกับสำนักงานรับจ้างทวงหนี้หลายสำนักงาน เหตุที่ต้องออกและบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปทำงานกับสำนักงานดังกล่าวอีกเลย เพราะบังเอิญไปทวงกับญาติกับเข้า แต่ใช้คนละนามสกุล ที่รู้ เพราะวันหนึ่ง กลับไปเยี่ยมบ้าน และได้พบกับญาติคนดังกล่าว ได้มาถามว่าเราทำงานอะไร เราก็บอกว่าทำงานที่สำนักงานทนายความ ทางญาติจึงได้เล่าให้ฟังว่า เป็นหนี้บัตรเครดิต และถูกทวงถามด้วยวาจาหยาบคาย และด้วยวิธีการต่างเหมือนบุคคลอื่นที่โดน ที่ได้โพสมาระบายบนเว็บนี้ พอผมกลับไปตรวจสอบชื่อ ปรากฏเป็นคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเสียด้วย และเป็นคนที่โทรไปจริง และได้พูดจาตามที่ญาติคนดังกล่าวได้ปรับทุกข์ให้ฟังจริง ผมนี่พูดอะไรไม่ออกเลย เลยตัดสินใจลาออกจากงานดังกล่าวแล้ว และตอนหลังผมไม่พยายามพูดคุยกับญาติคนนั้นอีกเลย เพราะกลัวเขาจำเสียงได้


 


ผมจึงขอเล่าหลักสูตรได้รับการอบรมมาในการเริ่มต้นทำอาชีพให้ทราบดังกล่าวคือ สำนักงานที่ผมทำงานอยู่ จะรับจ้างทวงหนี้เกือกทุกแบ็งค์ เช่น แสตนดาร์ชาร์เตอร์ ฮ่องกงแบ็งค์ ซิตี้แบ็งค์ อิออน อีซิไบ คือหัวใจของคนทวงหนี้ จะมีปรัชญาในการทวงหนี้ว่า ทวงอย่างไรก็ได้ขอให้ได้ แม้ว่าทางลูกหนี้ จะอ้างเหตุอย่างไร อย่าไปใจอ่อน เช่น ลูกป่วย ไม่มีเงินจริงๆเลย รายได้ไม่มี กำลังตกงาน เพราะต้องท่องไว้ในใจว่า เราไม่ใช่ปอเต็กตึ้ง วิธีการทวงที่ได้รับการอบรมมา ก็เหมือนกับที่ทุกคนโดนนั้นแหละ แต่ขอให้คำแนะนำเคล็ดลับเรื่องหนึ่ง ต้อง ตอบโต้ก็คือ ถ้าถูกทวงด้วยวิธีการรุนแรง ต้องรุนแรงตอบ เช่นถ้าถูกด่าก็ด่ากลับไป


 


สังเกตพวกนี้ จะไม่ยอมบอกชื่อจริง และเบอร์ติดต่อกลับ อย่าหงอเป็นอันขาด โดยเฉพาะ ถ้าแกล้งบอกว่าจะมาหาถึงที่ทำงาน ไม่ต้องกลัว แค่คำขู่เท่านั้น ถ้ามาก็อย่าให้เข้าบ้าน หรือที่ทำงาน สามารถแจ้งตำรวจจับในข้อหาบุกรุกได้ทันที มีครั้งหนึ่งหัวหน้าให้ไปตามเก็บเงินกับลูกหนี้รายหนึ่ง พอไปที่บ้านผมแทบจะช็อก เพราะคนนั้น อาชีพรองเป็นคนคุมวินมอเตอร์ไซ้ด์ ผมถูกเตะ ถูกซ้อม และยังถูกแจ้งตำรวจจับในข้อหาบุกรุกเสียอีก แต่ผมหนีทัน เพราะที่ต้องทำกันอย่างนี้ ส่วนหนึ่งต้องทำเวลา ถ้าเก็บไม่ได้ตามเวลาที่ผู้จ้างกำหนดไว้ เขาก็จะเปลี่ยนสำนักงานใหม่ แต่ถ้าได้ก็จะมีลูกหนี้รายอื่นส่งมาเรื่อยๆ และผมก็ได้ส่วนแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ที่เก็บได้เช่นกัน


 


แต่ถ้าไปเจอลูกหนี้ท้าให้ฟ้อง ผมกลับไม่ชอบ เพราะมีหวังอดได้เปอร์เซ็นต์ และจากการถามทนายที่ประจำบริษัท ส่วนมากที่ฟ้องไปแล้ว โอกาสได้ตามฟ้องยิ่งยากใหญ่ เพราะเหตุว่า แม้ศาลพิพากษาให้จ่าย แต่ส่วนมากจะเลยมักจะไม่มีจ่ายเสียมากกว่า อายุความก็แค่ 10 ปีจากวันศาลพิพากษา และในระยะหลัง ก็ยึดทรัพย์ก็ลำบาก มีการแก้ไขกฏหมายที่เป็นคุณต่อลูกหนี้มาก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่เจ้าบ้านเองแล้ว ยิ่งลำบากใหญ่


 


ท้ายทีสุดผมจึงให้คำแนะนำกับลูกหนี้ทั้งหลาย ว่าต้องโต้ตอบกับคนที่ทวงหนี้เลวด้วยวิธีการเลวๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรืออะไรก็ได้ เอาวิธีการที่เขาทำกับเราให้ย้อนศรกลับไป และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเขาโทรมาอย่าปิดโทรศัพท์เป็นอันขาด ต้องรับโต้ตอบจนมันวางไปเอง และเรื่องที่ไปฟ้องหัวหน้าพวกมัน อย่าทำเสีย ค่าโทรเปล่า ลองคิดดูว่า ถ้าหัวไม่ส่าย หางจะส่ายได้อย่างไร และถ้าเป็นไปได้ควรจะไปแจ้งกับตำรวจไว้เป็นหลักฐาน ถ้ามีการเทปไว้ยิ่งดีใหญ่ เพราะพวกผมกลัวเรื่องถึงตำรวจมาก เพราะที่ทำอยู่มันผิดกฏหมายทั้งสิ้น


 


0 0 0


 


ตามที่ผมเคยโพสหัวข้อเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 23/10 ลำดับที่ 01007 นั้น ภาคนี้ผมจะขอสรุปเป็นแนวทาง เพื่อจะให้ผู้ที่เป็นหนี้ ได้ซัดกับผู้รับจ้างหนี้ทวงหนี้ ที่มีนิสัยเลวๆได้ ผมขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า" รู้เท่าทัน ผู้รับจ้างทวงหนี้"


 


1. ประการแรกถ้ามีผู้โทรเข้ามา และอ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือไม่ใช่ ก่อนจะพูดอะไร บอกให้บุคคลนั้น บอกชื่อ นามสกุล และเบอร์โทรสำนักงานของเขา ผมเชื่อว่าพวกมันจะไม่ยอมบอกเด็ดขาด อาจบอกเฉพาะชื่อเล่น เพราะในฐานะที่เคยทำงานสำนักงานดังกล่าว ทางหัวหน้า กำชับเด็ดขาด ห้ามบอกเบอร์ธรรมดา ให้กับลูกหนี้ ที่เราทวงถามเด็ดขาด เพราะถ้าลูกหนี้รู้เบอร์ เกิดมีเรื่องเข้าข่ายถูกแจ้งความกับตำรวจนั้น ตำรวจสามารถติดตามไปเบอร์ดังกล่าวได้ แต่ถ้าเขาโทรมาก่อกวนอีก เราก็เปลี่ยนโทรศัพท์เป็นระบบสั่นก็หมดเรื่อง และพอเวลามีผู้โทรมาให้ดูเบอร์ที่โทรมา บนจอถ้าไม่มีเบอร์โชว์ ก็ไม่ต้องไปรับ กดทิ้งไปเลย


 


2. หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกมันจะมาพยายามโทรมาด่าว่า พูดจาหยาบคาย แม้ว่าเราไม่เป็นคนเช่นนั้นเราก็ต้องสวมบทผู้ร้ายมั่งละ เราต้องอย่าไปยอมให้มันด่าข้างเดียว แค่จงด่ากับมัน และถ้าโดนทวงหนี้ในลักษณะนี้ ถึงมีก็ไม่ควรให้ เพราะถ้ายอมจ่ายเพราะกลัวมัน ก็จะกลายบรรทัดฐานที่พวกมันจะใช้กับคนอื่นต่อไป


 


3. ถ้ามีการบอกว่าจะมาเก็บที่บ้านหรือที่ทำงาน ก็ไม่ต้องให้ เพราะเราไม่รู้ว่า ถ้ามันรับไปแล้ว จะเอาเข้ากระเป๋าหรือเปล่า และต่อไปมันก็จะมาอีก


 


4. ถ้าผู้ที่มีบัตรหลาย อาจตัดความรำคาญอาจจะยอมเบิกจากใบนี้ มาจ่ายใบโน้น แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะดูจากสถิติที่สำนักงานของผม ในที่สุดก็จ่ายไม่ได้ สู้เก็บเงินเอาไว้ เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจะดีกว่า


 


5. ถ้าเห็นว่าเราไม่มีทางจ่ายจริงๆ สู้ให้เจ้าหนี้ฟ้องดีกว่า เวลาถูกฟ้องควรไปตามที่ศาลนัด ถ้าไม่มีค่าทนายก็ไปเอง เพื่อเราจะสามารถต่อรองได้ และศาลจะเห็นใจเรา ถ้าเราสามารถแจกแจงให้ศาลฟังว่า เราไม่มีจริงๆ และถ้าตกลงกันได้ให้ผ่อนน้อยที่สุด ให้รับปากไปก่อน ถ้าภายหลังไม่สามารถจ่ายได้ตามที่ตกลง ก็ไม่เป็นไรก็จะเสียแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น


 


 ผมจึงขอให้กำลังใจกับลูกหนี้ทุกคน และขอให้นำแนวทางที่เล่าให้ฟัง ไปฟาดกับ ผู้ทวงหนี้เลวๆ เช่นที่หลายคนโดนแล้ว และพวกนี้จะได้หมดไปจากสังคมไทยเสียที และผมเชื่อว่า ทุกคนที่เป็นหนี้ ที่ไม่มีจ่ายนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะโกง แต่เป็นเพราะความประมาท และหนี้รายเล็กๆ ขนาดนี้ ไม่มีวันที่จะให้ธนาคารเจ๊งหรอก ที่เจ๊ง ก็เพราะปล่อยให้พวกลูกหลาน และพรรคพวกของตัวเอามากกว่า


 


0 0 0


 


ภาค 3 รู้ทัน สำนักงานทวงหนี้โหด


 


ต่อไปนี้คงเป็นภาค 3 ในหัวข้อดังกล่าว และเพื่อที่จะให้ลูกหนี้"รู้ทัน สำนักงานทวงหนี้โหด" ก่อนอื่นผมยอมรับว่า เว็บนี้มีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหา ไปเจอผู้ทวงหนี้ โหด ที่ขาดจริยธรรมอย่างมาก อย่างน้อยผู้ที่เจอปัญหาดังกล่าว คงพบทางออกอยู่บ้าง แม้จะยังไม่สามารถ ชำระหนี้ได้ แต่คงจะมีความสุขกับการเป็นหนี้ ดีกว่าอยู่อย่าง ความหวาดระแวง ความทุกข์ และอะไรอีกหลายเรื่อง ล้วนเป็นมลพิษแก่สภาพจิตใจ


เชื่อผมเถอะ อีก10ปีถ้าเรามีเงินแล้ว ค่อยไปใช้หนี้ก็ยังไม่สายเกินไป


 


เรื่องประสบการณ์จากที่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน ประเด็นหลักๆ ก็เคยเขียนบอกไปแล้ว แต่ในตอนนี้พูดถึงรายเอียดบางเรื่อง ที่รวบรวมมาจาก ที่ได้อ่านพบในเว็บนี้ต่อไป


 


ผมเคยทํางานมาหลายสำนัก แต่หลักๆวิธีการในการทวงหนี้ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร มีปรัชญาอย่างเดียวว่าทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้ลูกหนี้ ยอมจ่าย เพราะฉะนั้น ลูกหนี้ก็เจอเลยสารพัดวิชามาร108 มาว่าถึงรายได้ที่ ธนาคารเจ้าหนี้แบ่งให้มีตั้งแต่ 30-50%ก่อนฟ้องศาล แต่ถ้าหลังจากฟ้องศาลแล้ว จะได้ส่วนแบ่งเกือบ100%ที่ได้มาก เนื่องจากทางธนาคารเจ้าหนี้ จะตัดเป็นหนี้สูญออกจากระบบบัญชีไปแล้ว จากหนี้ที่ทวงได้ ส่วนมากที่รับอยู่ เป็นธนาคารต่างประเทศ เช่น ซิตี้แบ็งค์ แสตนดาร์ดชาร์เตอร์ ฮ่องกงแบ๊งค์ ส่วนไม่ใช่ธนาคารก็คือ อีซี่บาย อิออน เพราะฉะนั้น จึงไม่พยายามฟ้องลูกหนี้ และที่ฟ้องไปโอกาสที่จะได้ยิ่งน้อยมาก ผมทำงานอยู่เงินเดือนไม่กี่พัน รายได้หลักก็มาจากส่วนแบ่งในการทวงหนี้


 


หลายคนคงสงสัยว่า แม้ลูกหนี้จะย้ายที่ทำงานแล้วก็ตาม แต่ทำไม่ถึงตามได้ เพราะว่าตราบใดที่ลูกหนี้รายนั้น ยังต้องส่งประกันสังคมอยู่ ก็สามารถไปซื้อข้อมูลจากเจ้าหนี้ประกันสังคมได้ โดยการจ่ายชื่อละ100บาท เพราะแม้ว่าจะไปเปลี่ยนชื่อก็ตาม แต่เราติดตามโดยดูจากหมายเลขบัตรประชาชานนั้นเอง หมายเลขบัตรนี้ จะเป็นหมายเลขเดิมตั่งแต่เกิดจนตาย


 


ถ้าลูกหนี้ทำงานในบริษัท โดยปกติก็จะต้องต่อโทรศัพท์ผ่านโอเปอร์เรเตอร์ ถ้าคุณมีความสัมพันธ์อันดีกับโอเปอร์เรเตอร์ ส่วนมากเขาจะช่วยโดยอ้างว่าไม่อยู่ แต่ให้ฝากเบอร์โทรกลับ ส่วนมากผมก็จะไม่ฝาก แต่จะพยายามโทรไปใหม่ บางทีหลายครั้ง เพื่อไม่ให้จำเสียงได้ก็ต้องให้คนอื่นโทรไปบ้าง แต่เคยเจอลูกหนี้รายหนึ่ง พอรับแล้ว ไม่ยอมพูดอะไร แต่ถ้าพูดก็จะพูดใส่โทรศัพท์ไปคนละเรื่อง จนผมต้องวางไปเอง บางครั้งผมจะส่งจดหมายหรือแฟ็กซ์ และ แกล้งประจานลูกหนี้ เหมือนหลายคงเคยโดน แต่ก็ถูกสวนกลับมาเจ็บเหมือนกัน เช่น มีจดหมายมายังตัวผม เอาข้อความที่เขียนขู่ไว้ มาเขียนให้ผมบ้าง เช่น แกล้งบอกว่า จะไปยึดทรัพย์บ้าง เขียนด่าคำหยาบไป แต่เขาก็เขียนกลับมาด่าผมบ้าง และผมจึงเคยเขียนในภาคก่อนๆว่า "เวรต้องระงับไปด้วยการจองเวรเท่านั้น" ถ้าเวลาไปเจอลูกหนี้ โต้กลับมาแรง ใจจริงผมก็ขยาดเหมือนกัน และลูกหนี้รายดังกล่าว ก็จะโยนให้พนักงานคนอื่นรับไปทำแทน


 


ส่วนเรื่องการประนอมหนี้ โดยหลอกให้ลูกหนี้ยอมจ่ายมานั้น ถ้าไม่แน่ใจ ท่านไม่ควรกระทำเป็นอันขาด นอกจากคุณต้องให้เขาแสดงหลักฐานว่าได้มอบอำนาจอย่างถูกต้อง เคยเจอเหมือนกัน บางทีเราทวงเสียเพลิน แต่ท้ายที่สุดได้ทราบว่า ลูกหนี้รายนั้น ทางเจ้าหนี้ ได้เปลี่ยนไปให้สำนักอื่นทวงแล้ว เพราะเป็นเรื่องปกติ ถ้าคุณจะได้รับการทวงหนี้ ต่างสำนักกันบ่อยๆ แม้จะเป็นเรื่องเดียวกัน


 


เพราะฉะนั้น ขอสรุปตอนท้ายในภาคนี้ว่า ไม่ต้องกลัวสำนักงานทวงหนี้ เขาโยนก้อนหินมา เราก็ปามันกลับไป และขอย้ำว่า ถ้าไปเจอคนทวงหนี้เลวๆ มีก็ไม่ต้องจ่าย เพราะจะได้ช่วยลูกหนี้รายอื่นไม่ต้องเจอกับพวกนี้อีก แต่ถ้าเรากลัวจนยอมจ่าย มันก็ใช้วินี้กับลูกหนี้รายอื่นต่อไป และคำขู่ที่สามารถใช้ได้กับพวกผมได้ก็คือ ขู่ว่าจะไปแจ้งความ ถ้าผมทวงหนี้ใช้วาจาหยาบคาย


 


ผมคิดว่าคุณคงไม่สมบัติอะไรจะให้ยึดอีกแล้ว แต่ถ้าเราหนี้ต่อรายเกินล้านบาท และไปเจอเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เราเห็นจะเหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง เพราะภายใน 3 ปี เราก็จะพ้นจากล้มละลาย และหนี้ต่างที่เรามีอยู่ ก็จะหมดไปโดยตามกฏหมาย ที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ผมคิดว่าอาชีพทวงหนี้นั้น มันสอนให้เราเป็นแข็งกระด้าง และก็หยาบคาย ก็ขนาดบางทีผมคิดว่า ทำไมเรากล้าพูดจาหยาบคายกับลูกหนี้ กลับบ้านต้องเปลืองยาบ้วนปาก จนบางทีเผลอตัว ไปพูดกับแฟนก็เจอมาแล้ว ผมยังคิดว่า ถ้าแฟนผมรู้ว่า พูดมีอาชีพเช่นนี้คงจะบอกเลิกกับผมแน่


 


ที่มา :


คำสารภาพของผู้ที่เคยทำงาน ที่สำนักงานรับจ้างทวงหนี้


 


 


0 0 0


 


 


ความคิดกระแสหลักของสังคมไทยที่เอาไว้ตราหน้าคนจนที่เป็นหนี้ ก็คือแนวคิดทางจริยธรรม (ชนชั้นกลาง และชนชั้นนำไทย) ที่ว่า "คนจนเป็นหนี้เพราะไม่รู้จักประมาณตน ไม่พอเพียง"


 


ผสานกับคนทำสื่อที่งี่เง่าที่สุด แต่มีอิทธิพลสูงที่สุดในสังคมไทย คือ ผู้จัดละครก่อนข่าวหลังข่าวทั้งหลาย ที่มักมีพล็อตเรื่องแบบว่า หนี้สินเกิดจาก การฟุ่มเฟือย การเล่นการพนัน การผิดศีลธรรม และพฤติกรรมแย่ๆ ของเหล่าคนจนๆ ทั้งหลาย


 


แต่สำหรับชนชั้นอื่นๆ แล้วการมีหนี้สินกลับมักไม่ค่อยถูกพูดถึง ยกตัวอย่าง เช่น ข้าราชการชนชั้นกลางทั้งหลายที่เอาหนี้สินเหล่านั้นไปทำการบริโภคเกือบทั้งนั้น (ซื้อบ้าน ซื้อรถ ส่งลูกเรียนเมืองนอกให้มีหน้ามีตา) และมักได้รับการส่งเสริมจากรัฐทั้งสิ้น ..


 


เช่นล่าสุดธนาคารออมสินได้เตรียมวงเงินไว้สำหรับโครงการดังกล่าวจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปล่อยกู้ให้กับข้าราชการพลเรือนตามส่วนราชการอื่นอีกกว่า 150 แห่ง หากส่วนราชการใดมีความพร้อมธนาคารก็สามารถปล่อยกู้ได้ทันที   ทั้งนี้ จากการสำรวจเบื้องต้นมีข้าราชการพลเรือนแสดงความประสงค์ขอกู้กับธนาคารออมสินเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉินและเปลื้องหนี้เดิมที่คิดดอกเบี้ยสูง ภายใต้โครงการดังกล่าวประมาณ 3 หมื่นราย .. (ที่มา : โพสต์ทูเดย์ 4 ก.ค. 2550)


 


ใครบ้างจะเป็นหนี้ได้ ... มาตรฐานนี้ไม่เคยเท่าเทียมกัน เพราะข้าราชการเป็นบุคคลที่โดยหน้าที่แล้วจะต้องไม่ทำการผลิตแบบเอกชน หรือถ้าไปลงทุนทำการผลิตก็เหมือนจะดูว่าเอาเปรียบประชาชนคนธรรมดาอื่นๆ ทั้งเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน 


 


เนื่องจากข้าราชการใช้ข้อได้เปรียบหลายๆ อย่าง การเป็นได้หลายๆ อาชีพในคนๆ เดียว และมีรัฐหนุนในสวัสดิการดีกว่าคนอื่นๆ - ช่างไม่เป็นธรรมเสียจริง


 


และการให้สินเชื่อแบบอภิสิทธิ์แก่ข้าราชการนั่นแหละ! คือการกระตุ้นให้ผู้ที่ไม่สามารถสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ ให้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ไม่พอเพียง ตามฐานะตำแหน่งที่พวกตนควรจะเป็นแบบอย่างให้ประชาชน -- พูดพร่ำสอนคนอื่นไปเรื่อย แต่หันมาดูตัวเองบ้างสิ!


 


ไม่ต้องพูดถึงชนชั้นกลางและนายทุนน้อยที่หวังจะทำธุรกิจต่างๆ เพราะสถาบันการเงินเล็กใหญ่นั้นพร้อมจะให้ บุคคลที่ได้ใบรับรอง เอก-โท MBA บริหารนั่นบริหารนี่ เทวดา-นางฟ้าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ เอาไว้ไปใช้สร้างสรรค์หน่วยผลิตของตนเองได้ตามฝัน --- แต่นี่ยังดี เพราะพวกเขาเหล่านี้คือฟันเฟืองของระบบทุนนิยมตัวสำคัญตัวหนึ่ง รองจากชนชั้นล่าง


 


กลับมาที่มุมมองต่อคนจน ในเรื่องการเป็นหนี้เป็นสิน ที่ไม่ค่อยมีใครมองถึง จนเป็นลู่ทางให้รัฐบาลนายทุนชุดที่แล้ว ได้นำแนวคิดทุนนิยมโดยประชาชนมาใช้  ป้อนเงินให้ไพร่ได้เข้าถึงเงินทุนแลกกับคะแนนเสียงหนุนได้เป็นผลสำเร็จ


 


แล้วท่านผู้ทรงศีลทั้งหลาย ก็มาด่าๆ กันว่าคนจนฟุ่มเฟือย ไม่พอเพียง ได้แต่วกกลับไปหาความคิดกระแสหลักเกี่ยวกับจริยธรรมอีก !


 


แต่ไม่เคยมีใครมองว่า เงินกู้ที่คนจนเป็นหนี้ จากธนาคารออมสิน กองทุนหมู่บ้าน ตามนโยบายของรัฐบาลนายทุน ได้นำมาสร้างหน่วยผลิตสร้างนวัตกรรม ถึงแม้มันจะเป็นแผงกล้วยปิ้ง ร้านข้าวแกง เลี้ยงไก่ชน ฯลฯ แต่นี่ก็คือการนำมาหมุนเวียนในระบบทุนนิยม


 


โปรดอย่ามองว่าคนจนมีปัญญาได้แค่ เป็นชาวนากับลูกจ้างคนอื่น ... คนจนมีสิทธิค้าขาย และเศรษฐีในเมืองไทยหลายคนก็ก้าวมาจากการเป็นคนจนก่อน


 


แต่ข้อครหาส่วนใหญ่ที่ได้รับก็คือ คนจนเอามาซื้อมือถือ ผ่อนมอเตอร์ไซด์ เสริมสร้างกำไรให้กลุ่มทุนรัฐบาลนายทุน ... นั่นแหละครับ เขาไม่ได้มีเครื่อง PC มือถือ หรือรถเก๋งแอร์เย็นฉ่ำแบบพวกท่านหนิ! เรื่องการบริโภค ก่อนที่จะตำหนิคนอื่น ก็ขอให้ดูตัวเองเสียบ้าง!


 


รัฐบาลนายทุนชุดที่แล้วได้มองเห็นความเป็นจริงของสังคม ว่าประเทศไทยดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ดังนั้นการพยายามให้ทรัพยากรบุคคลในประเทศเข้าถึงทุนให้มากที่สุดเท่านั้น ให้เอามาใช้บริโภค ให้เอามาใช้ในการเป็นผู้ประกอบการรายย่อย --- มันจึงจะนำพาระบบทุนนิยมในไทยนี้ไปรอด


 


ไม่ใช่นิทานพอเพียง ที่ไม่มีวันเป็นจริง ... แต่ในสังคมนี้ต้องถูกหยิบนำมาเล่าแบบซ้ำๆ ซากๆ


 


ก็เพราะมันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เหมือนจตุคาม .. มั้ง!


 


0 0 0


 







 


>> บทสรุปของคนจน   "แรงงาน-ผู้บริโภค-ผู้ค้ารายย่อย"


 


·คนจนเป็นหนี้เพื่อนำไปใช่ในการผลิต และบริโภค เช่นเดียวชนชั้นอื่นๆ จงโปรดอย่าตราหน้าว่าพวกเราไม่รู้จัก "พอเพียง"


·แต่สภาวะและผลลัพธ์จากการเป็นหนี้ของคนจนนั้นมักถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม


·สาเหตุใหญ่ของการเป็นหนี้ก็คือ การกระจายปัจจัยการผลิตไม่ทั่วถึงและเท่าเทียม สวัสดิการของสังคมไทยในปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองการยังชีพในเกณฑ์มาตรฐานที่ดีให้กับคนจน


 


 


 


อ่านเศรษฐศาสตร์เพื่อคนจน ตอนเก่า :


 


เศรษฐศาสตร์เพื่อคนจน : "ลำพูน" พื้นที่ล่าสุดของค้าปลีกรายใหญ่! (27 มิ.ย. 2550)


 
สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net