Skip to main content
sharethis

"สำราญ" เชื่อมือ "ประยุทธ-วิเชียร" ติง "สมบัติ " เคลื่อนไหวที่แยกราชประสงค์และสะพานปรีดี เพื่อกระทบสถาบัน โอดเอาผิดด้วยกฎหมายยาก ฝากรัฐบาลเด็ดขาดกับขบวนการล้มเจ้า สุริยะใสชี้เหตุระเบิดนนทบุรีคล้ายการพลีชีพแบบตะวันออกกลาง เป็นการตายเพื่อทักษิณอันเป็นที่รัก เรียกร้องให้มีมาตรการป้องกันคนกลุ่มนี้ก่อเหตุ ไม่อยากให้คนไทยอยู่แบบพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว

วันนี้ (10 ต.ค.) ที่พรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าพรรค และรักษาการโฆษกพรรคการเมืองใหม่ กล่าวถึงสถานการณ์ความรุนแรงและเหตุเบิดรายวันที่เกิดขึ้นในช่วงรอบสัปดาห์ ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์บ้านเมืองโดยรวม ยังน่าเป็นห่วง และยังเดินไปในทิศทางเดิมที่พรรคการเมืองใหม่ ได้ย้ำมาโดยตลอดว่าจะเกิดความรุนแรงไปเรื่อยๆ ในห้วงเดือน ก.ย.-พ.ย.53 หรือจนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ของคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะเป็นอย่างไร ถือเป็นหลักกิโลเมตรที่สำคัญของสถานการณ์บ้านเมือง รวมไปถึงการดำเนินแผนการปรองดองของแต่ละฝ่ายที่มีการแข่งขันกันทำนั้นจะจบ อย่างไร เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้สามารถสรุปได้ว่ามีการเคลื่อนไหว เพื่อต้องการให้กระทบต่อบ้านเมืองใน 3 ลักษณะ คือ กลุ่มแรก เคลื่อนไหวโดยใช้แนวทางความรุนแรง ใช้ระเบิดก่อวินาศกรรม และความพยายามลอบสังหารบุคคลสำคัญ

โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดกรณีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น อ.บางบัวทอง เมื่อ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ขบวนการนี้มีการเตรียมการก่อเหตุอยู่ตลอด และหากไม่ระเบิดในวันนั้นก็ไม่ทราบว่าจะนำไปก่อเหตุที่ใด เป็นสิ่งที่น่าห่วงใยมาก โดยเฉพาะกับการที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุชัดเจนว่า ยังมีหลายกลุ่มที่ได้เตรียมกำลัง และอาวุธหนักเพื่อใช้ก่อเหตุความไม่สงบอีกจำนวนมาก กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีความเชื่อมโยงกับนายใหญ่ที่สูเสียอำนาจไป ทุกวันนี้ก็ยังไม่รามือยังมีการปฏิบัติการกันอยู่

นายสำราญกล่าวอีกว่า กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ ชี้นำทางความคิด มีการเปิดเผยตัวตนหลายกลุ่ม ซึ่งที่โดดเด่นมากคือ กลุ่มของนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ที่มักไปเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์ และล่าสุดไปที่สะพานปรีดี พนมยงค์ จ.พระนครศรีอยุธยา กลุ่มเหล่านี้จะเคลื่อนไหวเชิงตั้งคำถาม ชี้นำทางความคิด และหากดูให้ลึกซึ้ง มีเนื้อหาที่มุ่งกระทบชิ่งไปถึงสถาบัน แต่กฎหมายเอาผิดลำบาก จับยาก ซึ่งทำให้มีการขยายผลไปเรื่อยๆ ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่มเคลื่อนไหวใต้ดินเพื่อล้มเจ้าล้มสถาบัน ผ่านทางช่องทางเว็บไซต์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

โฆษกพรรคการเมืองใหม่กล่าวด้วยว่า แม้สถานการณ์ขณะนี้จะน่าเป็นห่วง แต่คนไทยก็น่าจะมีความใจชื้นขึ้นมาบ้าง จากความเข้มแข็งของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งพยายามกระชับการทำงานเกาะติดคดี และตั้งทีมงานให้มีประสิทธิภาพ และล่าสุด ได้จัดตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการและบริหารเหตุการณ์ร้ายแรง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศบร.ตร.) ขอให้ทำงานให้เข้มแข็งให้รวมศูนย์ และกระชับการทำงาน รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.คนใหม่ ซึ่งพูดจาทุกอย่างค่อนข้างชัดเจน มีความเข้มแข็งอยู่ในตัวเอง และระบุว่า คนชั่วยังมีเยอะ ต้องช่วยกันทำให้คนเหล่านี้หมดสิ้นไป หากกองทัพและตำรวจเข้มแข็งตามที่ผู้นำพูดไว้ บ้านเมืองจะไม่เกิดมิกสัญญีเช่นนนี้ แต่ที่ผ่านมา เกิดสุญญากาศทางอำนาจที่ผู้ที่บังคับใช้กฎหมายไม่ทำงาน บ้านเมืองจึงเป็นสภาพเช่นนี้

“ในขณะที่ทางตำรวจและกองทัพ ดูเข้มแข็งขึ้น แต่ในทางการเมืองกลับเป็นฝ่ายที่น่าห่วงมาก พรรคการเมืองใหม่ขอแสดงความผิดหวังกับรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล ที่ทุกวันนี้ยังสาละวนอยู่กับเรื่องของการเมือง การปรับคณะรัฐมนตรี การปรองดองที่ไร้ทิศทาง แย่งซีนแย่งบทบาทกัน เหล่านี้จะเป็นตัวทำลายความน่าเข้มแข็งของอำนาจรัฐ ผู้คนรู้สึกวังเวงสิ้นหวัง ตัวผู้นำรัฐบาลที่แม้จะเป็นคนดีแต่กลับขาดภาวะผู้นำ ไม่สามารถส่งสัญญาณให้คนไทยมีความเชื่อมั่น มีความอบอุ่น มองไม่เห็นว่าทิศทางของประเทศจะเป็นไปอย่างไร การปฏิรูปประเทศหรือแผนปรองดองที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือน พ.ค.บัดนี้ค่อนข้างวังเวงสิ้นหวัง ในสภาวการณ์เช่นนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะต้องเข้มแข็งและกระชับอำนาจให้การทำงานชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขบวนการล้มเจ้า ที่ต้องดำเนินให้เด็ดขาด อย่าปล่อยให้สถานการณ์รุนแรงบานปลาย หากมัวแต่ทำเรื่องการเมืองอย่างเดียว บ้านเมืองจะถึงมุมอับในไม่ช้านี้” นายสำราญกล่าว

ด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า วิกฤตของบ้านเมืองในวันนี้เป็นวิกฤตความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่วิกฤตของรัฐบาล หรือพรรคการเมืองเหมือนที่เคยเกิดขึ้น ฉะนั้น หากรัฐบาลและกองทัพยังไม่ส่งสัญญาณที่เป็นเอกภาพให้พี่น้องประชาชน เห็นว่า รัฐบาลชุดนี้ ศอฉ.และเหล่าทัพ สามารถปกป้องประชาชนได้ ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลก็จะมีปัญหา ความไว้วางใจที่แม้ว่าโพลบางสำนัก จะบอกว่านายกฯ สอบผ่านก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่า ประชาชนอยู่ในความหวาดกลัวต่อภยันตรายที่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหนอย่างไร การส่งสัญญาณที่จะเป็นรูปธรรมที่สุด คือ การที่นายอภิสิทธิ์ ต้องเข้ามานั่งเป็น ผอ.ศอฉ.ด้วยตนเอง ไม่ใช่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อย่างที่แล้วมา เพราะวันนี้สิ่งที่ ศอฉ.ยังไม่สามารถสร้างผลงานได้เนื่องจากยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน หมดยุคแล้วที่จะปล่อยให้งานด้านความมั่นคงเป็นเรื่องของทหาร หรือตำรวจ แต่ลำพังอีกต่อไป ตราบใดที่กองทัพ หรือหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่สามารถแสวงหาร่วมมือจากพี่น้องประชาชนได้ ก็ไม่สามารถรับมือกับความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ส่วนกรณีการระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น อ.บางบัวทอง นายสุริยะใสกล่าวว่า ถือเป็นโชคดีของคนไทย หากการประกอบระเบิดครั้งนั้น ประสบความสำเร็จและไม่เกิดอุบัติเหตุก่อน ก็ไม่ทราบว่า จะนำไปก่อเหตุที่ไหน ที่สำคัญ หากเกิดกรณีแบบนี้อีกไม่ทราบว่าพระสยามเทวาธิราชจะปกปักรักษาอีกหรือไม่ หากดูจากคำสัมภาษณ์ของภรรยานายสมัย วงศ์สุวรรณ์ ที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จะเห็นได้ว่า ความรุนแรงที่มีมาต่อเนื่องเข้าใกล้โมเดลการพลีชีพในตะวันออกกลาง และในบางเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และเมื่อดูจากประวัติของ นายสมัย พร้อมคำให้การของภรรยา จะเห็นได้ว่าเป็นปฏิบัติการที่ไม่กลัวความตาย เป็นปฏิบัติการที่ถูกปั่นหัว สร้างชุดความเชื่อว่าตัวเขาพร้อมที่จะตายแทนคนที่เขารักที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหนีคดี ณ ขณะนี้เราต้องดูว่ามีคนแบบนี้กี่คนใน กทม.หรือในประเทศไทย หากมี 64 คนตามที่ดีเอสไอระบุ ก็ต้องมีมาตรการเพื่อจับกุม และป้องกันเหตุที่คนกลุ่มนี้จะก่อขึ้นอีก เป็นเรื่องที่อันตราย ตนไม่อยากให้พี่น้องคนไทยอยู่แบบพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว

“หวังว่ารัฐบาลและทุกพรรคการเมืองหยุดเล่นการเมือง หันมาตระหนักถึงวิกฤตของชาติในขณะนี้ โดยเฉพาะการก่อเหตุโดยอาวุธหนัก ที่เชื่อว่า ยังมีอีกหลายจุดใน กทม.และจะมีการใช้อาวุธหนักมากขึ้น ก่อนที่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสิน เพราะมีการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง เพื่อให้เข้าทางกลุ่มอำนาจบางกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ผมคิดว่าการส่งสัญญาณเพื่อรับมือกับภัยความมั่นคงเป็นสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ ต้องทำ และจำเป็น โดยสิ่งแรก คือ มาดูความมั่นคงด้วยตนเอง และทำความเข้าใจตกผลึกร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าปัญหาคืออะไร และร่วมกันแก้ไข ไม่ใช่ต่างคนต่างทำอย่างที่ผ่านมา” นายสุริยะใสกล่าว

ที่มา: เรียบเรียงจากเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net