บันทึกคำบอกเล่าจากจำเลย : ‘สายชล แพบัว’ ผู้ต้องหาเผาเซ็นทรัลเวิลด์

 

สายชล แพบัว เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาเผาห้างเซ็นทรัลเวิลด์ (Central World – CTW) เหตุเกิดเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 เขาถูกจับกุมตัวหลังจากนั้นไม่นานและถูกคุมขังมาจนปัจจุบัน ทุกวันนี้เขาอยู่ที่เรือนจำพิเศษหลักสี่ร่วมกับผู้ต้องขังเสื้อแดงในคดีเกี่ยวเนื่องทางการเมืองคดีอื่นๆ

คดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์นี้มีผู้ต้องหาร่วมกันอีกคนหนึ่งคือ พินิจ จันทร์ณรงค์ รวมถึงเยาวชนอีก 2 คน ซึ่งได้รับการประกันตัวและต่อมาศาลเยาวชนได้พิพากษายกฟ้องไปเมื่อ 12 ธันวาคม 2555  (อ่านที่ ศาลยกฟ้อง 2 เยาวชน จำเลยคดีเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เจ้าตัววอนเยียวยา "เรียนและงาน") เยาวชนทั้งสองยังโดนข้อหาปล้นเซ็นทรัลเวิลด์ด้วยแต่ภายหลังศาลก็สั่งยกฟ้องเช่นกัน (อ่านที่ ยกฟ้อง 2 เยาวชน คดีปล้นเซ็นทรัลเวิลด์ ปี 53-ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รอกำหนดโทษ 1 ปี) ขณะที่คดีปล้น จำเลยที่เป็นผู้ใหญ่อีก 7 คน ในจำนวนนี้เป็นหญิง 2 คนถูกขังยาว 1 ปีครึ่งก่อนศาลจะพิพากษายกฟ้อง (อ่านที่ ยกฟ้อง! เสื้อแดงปล้น CTW ฝ่าฝืนพ.ร.ก.สั่งจำคุกครึ่งปี หลังถูกขังปีครึ่ง)

วันที่ 21 ม.ค.ที่อาญากรุงเทพใต้ สายชลจะขึ้นเบิกความด้วยตนเอง หลังจากคดีนี้สืบพยานมาแล้วหลายครั้ง เขาเป็น ‘คนสนามหลวง’ ที่เข้ามาอยู่ร่วมขบวนการทางการเมืองเหมือนอีกหลายๆ คน เราจึงพยายามพูดคุย เก็บข้อมูลเกี่ยวกับเขาเพื่อให้รู้ถึงที่มาที่ไป ไม่เพียงเฉพาะเรื่องราวในคดี แต่รวมถึงชีวิตของเขาด้วย

สายชล แพบัว เป็นชาวอำเภอหันคา จังหวัดชัยนาท เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ เพราะไม่ชอบเรียนหนังสือ แม้มารดาของเขาจะบังคับให้ไปเรียนหนังสือ แต่เขาก็มักหนีออกจากโรงเรียนเป็นประจำจึงทำให้เขาเรียนไม่จบ เขายังจำวัน-เดือน-ปีเกิดของตนเองไม่ได้ ต้องดูจากบัตรประจำตัวประชาชนและเขาก็ไม่มีบัตรอยู่กับตัวในวันที่เราเข้าไปเยี่ยมและพูดคุย

เขาเล่าว่า บิดาของเขาเสียชีวิตหลายปีแล้ว ต่อมามารดาของเขาก็เสียชีวิตอีก เขาจึงเป็นเด็กกำพร้าต้องไปอาศัยอยู่กับลุง ช่วงวัยรุ่นเขามักทะเลาะกับลุงเป็นประจำ จนวันหนึ่งเกิดทะเลาะกันอย่างรุนแรง เขาตัดสินใจที่จะไปตายดาบหน้า พอดีวันนั้นแถวบ้านของเขามีคนที่กำลังจะขับรถยนต์เดินทางไปทำงานที่กรุงเทพ เขาจึงตัดสินใจติดรถมาด้วยโดยไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่บาทเดียว

เมื่อรถยนต์มาถึงกรุงเทพ เพื่อนบ้านผู้เอื้อเฟื้อส่งเขาลงที่หมอชิต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางเข้ากรุงเทพ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าคนไม่มีบ้านจะไปนอนกันที่สนามหลวง เขาจึงต้องการไปอยู่ที่สนามหลวง โดยการเดินเท้าและถามทางไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเดินทางอยู่หลายวัน

เขาบอกว่า ด้วยความที่ไม่มีเงินเขาจึงไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน แต่ก็ยังไปไม่ถึงสนามหลวงซักที ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อขออาหารกินประทังชีวิต โดยแลกกับการทำงานล้างจาน เจ้าของร้านผู้ใจดีไม่ขัดข้อง ให้เขากินอาหารฟรี แลกกับการล้างจานกองโต เขาล้างจานกองโตทั้งหมด เจ้าของร้านชักชวนให้เขาปักหลักเป็นเด็กล้างจานที่นี่เพื่อที่จะได้มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่เขาปฏิเสธ เป้าหมายของเขาคือสนามหลวงเท่านั้น เพราะเขาอยากจะไปนอนที่สนามหลวง เจ้าของร้านจึงให้เงินเขา 500 บาทเป็นค่าแรงสำหรับวันนั้น

หลังจากเดินเท้าหลายวันในที่สุดก็มาถึงสนามหลวง เขานอนอยู่สนามหลวงหลายวันโดยไม่มีรายได้ใดๆ ช่วงแรกเขาจะเดินทางไปหาน้าซึ่งทำงานอยู่ในโรงงานแถวจ.นนทบุรี เพื่อขอเงินครั้งละ 300-400 บาท เขามักเรียกน้าคนนี้ว่า "แม่" ซึ่งอาจเพราะเป็นญาติที่ใกล้ชิดและช่วยเหลือเขามากที่สุด แม้น้าจะชวนให้เขากลับไปอยู่กับลุงที่จังหวัดชัยนาทหลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธ เพราะไม่อยากทะเลาะกับลุงอีก

วันร้ายคืนร้ายเกิดเหตุการณ์ฆาตรกรรมขึ้นบริเวณท้องสนามหลวง ผู้เสียชีวิตถูกวัยรุ่นคู่อริแทงตาย บังเอิญเขาอยู่ในบริเวณดังกล่าว ตำรวจจึงจับตัวเขาในข้อหาฆาตรกรรม เขาต้องติดคุกอยู่นานหลายเดือน จนในที่สุดศาลก็พิพากษายกฟ้อง เพราะเป็นการจับผิดตัว เขาจึงได้รับอิสรภาพ เขาว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขากลัวตำรวจเป็นที่สุด

เขาเล่าต่อถึงเส้นทางอาชีพขายน้ำของเขาว่า วันหนึ่งผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของรถเข็นขายน้ำดื่ม-น้ำอัดลมแถวสนามหลวงมาชักชวนเขาให้มาช่วยขายน้ำดื่ม เธอเป็นเจ้าของรถเข็นหลายคัน ต้องการขยายสาขา โดยให้ค่าแรงเขาวันละ 300 บาท พร้อมอาหารและที่พัก เขาจึงตัดสินใจรับงานทันที โดยขายอยู่บริเวณฝั่งตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์

ช่วงแรกเจ้าของรถเข็นจะเป็นคนขายและให้เขาช่วยขาย หลังจากอยู่ตัว เธอก็ให้อีกคนมาช่วยกันขาย และเธอไปขายที่อื่นต่อ การขายของมี 2 กะ เขาเลือกกะตอนกลางวัน ส่วนเพื่อนอีกคนเลือกกะตอนกลางคืน การค้าไม่แน่ไม่นอน บางวันขายดี บางวันขายไม่ดี แต่ยังไงเขาก็ยังได้อาหาร 3 มื้อและที่พัก ส่วนค่าแรงจะได้เฉพาะวันที่ขายเท่านั้น

ปี 2548 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จัดชุมนุมที่สนามหลวงช่วงกลางคืน เขาบอกว่าเขาไม่ชอบ พธม. จึงไม่เคยไปขายของช่วงเวลานั้น แม้ว่าจะมีคนเยอะก็ตาม นอกจากนี้เขาไปได้ยินมาว่าคนที่เข้าไปในม็อบจะถูกกักตัวไม่ให้ออกมา เขาจึงยิ่งไม่อยากเข้าร่วม

หลังรัฐประหาร ปี 2549 กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการจัดปราศรัยที่สนามหลวงเป็นประจำทุกวันเสาร์ เขาเข้าร่วมฟัง และไปขายของเกือบทุกครั้ง โดยแลกกะกับเพื่อน บางครั้งกลุ่มคนที่ต่อต้านการรัฐประหารจัดชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เขาก็จะเข็นรถเข็นเข้าร่วมด้วย

เดือนมีนาคม 2553 แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดชุมนุมที่ถนนราชดำเนิน เขากับเพื่อนเข็นรถเข็นมาปักหลักขายที่ถนนสายนี้โดยตลอด หลังสลายการชุมนุม 10 เมษายน 2553 นปช. รวมตัวกันที่สี่แยกราชประสงค์ เขาและเพื่อนก็ตามไปขายของที่สี่แยกราชประสงค์อีก

ต่อมารัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้เขาและเพื่อนไม่สามารถเข้าไปขายของบริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้ จึงต้องย้ายกลับมาขายของที่สนามหลวงเหมือนเดิม วันที่ 19 พ.ค. 53 เขายืนยันว่า เขาไม่ได้เข้าไปในบริเวณสี่แยกราชประสงค์แต่อย่างใด หลังเหตุการณ์สงบลงเขาและเพื่อนยังคงขายของอยู่ที่สนามหลวงบริเวณฝั่งตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ เหมือนเดิม

เขาเล่าว่า ผ่านไปหลายเดือน วันหนึ่งขณะที่เขากำลังจะเดินไปกินข้าวเที่ยง มีชายกลุ่มหนึ่งกว่า 10 คนเดินมาถามเขาว่า เขาใช่ ‘สายชล แพบัว’ หรือไม่ ตอนนั้นเขารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลจึงปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ชายกลุ่มนั้นจึงปล่อยตัวเขาไป เขารีบเดินไปที่ถนนและเรียกรถแท็กซี่เพื่อหลบหนี แต่ชายกลุ่มนั้นเดินไปถามโสเภณีหญิงคนหนึ่ง โสเภณีหญิงคนนั้นรู้จัดเขาจึงชี้นิ้วมาที่เขาซึ่งกำลังจะขึ้นรถแท็กซี่ ชายกลุ่มนั้นรู้ทันทีว่า เขากำลังจะหลบหนี เขาจึงเรียกรถแท็กซี่ให้รีบออกโดยเร็ว ชายกลุ่มนั้นขับมอเตอร์ไซด์ติดตามรถแท็กซี่ และตัดหน้ารถแท็กซี่เพื่อให้แท็กซี่จอด หลังจากแท็กซี่จอดชายกลุ่มนั้นแสดงตัวเป็นตำรวจ ก่อนเปิดประตูรถและลากเขาออกมาจากรถแท็กซี่
ตำรวจสั่งให้เขาหมอบลงกับพื้น แต่เขาปฏิเสธ ตำรวจจึงจับเขากดหัวลงกับพื้นและรุมกระทืบเขาหลายครั้งต่อหน้าผู้คนที่มองดูเขาอยู่สองข้างถนน

  "มึงวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ใช่ไหม !!!!"
   "ไม่ใช่ผม"

เขาบอกว่า ตำรวจจับเขาใส่กุญแจมือและพาตัวเขาไปยังรถกระบะซึ่งจอดอยู่หน้า ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อพาไป สน.ชนะสงคราม เขาถูกนำตัวเข้าไปในห้องสอบสวน โดยในห้องมีตำรวจสอบสวน 2 คน ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มตำรวจที่ถามหาเขา เขาโดนยึดโทรศัพท์มือถือเพื่อไม่ให้ติดต่อกับใคร

ตำรวจพยายามถามซ้ำๆ ว่า "มึงจะรับว่าวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ไหม?" เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ทันใดนั้นมีตำรวจที่ฟังอยู่ด้านนอกซึ่งเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มตำรวจที่ถามหาเขาเหมือนกันเดินเข้ามาในห้อง และยกเท้าเตะมาที่หน้าของเขาอย่างเต็มแรง ก่อนที่จะเดินออกไป

ตำรวจที่สอบสวนถามแบบเดิมอีก และเขาก็ตอบแบบเดิม เหตุการณ์เป็นไปแบบเดิม ตำรวจคนเดิมเข้ามาและเตะที่ใบหน้าของเขาอีกครั้งก่อนเดินออกไป

เขาโดนถามและกระทำซ้ำๆ แบบนี้หลายครั้ง ผ่านไปประมาณ 3 ชม. เขาก็ทนไม่ไหวจนต้องยอมรับสารภาพ ตำรวจให้เขาลงลายมือชื่อรับสารภาพ ก่อนนำตัวขึ้นไปยังห้องขัง เขาต้องอยู่ในห้องขังหลายวันด้วยใบหน้าที่ปูดบวม แม้ตำรวจจะให้ยาแก้ปวดกับเขา แต่ก็ช่วยได้ไม่มากนัก

เมื่อรอยช้ำบนใบหน้ายุบลงเขาก็ถูกนำตัวโดยสวมกุญแจมือไปแถลงข่าว เขาถูกพาตัวเข้าไปในห้องแรกซึ่งในห้องนั้นมีโต๊ะซึ่งมีผ้าแดงคลุมอยู่ ตำรวจเปิดค้าคลุมออก เขาตกใจ เพราะบนโต๊ะมีปืน, กระสุน, ระเบิด และอาวุธสงครามวางอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนเป็นของใหม่แกะกล่อง

เขาเล่าว่าเขารีบถามทันทีว่า "เฮ้ย ไหนบอกว่าจะให้รับสารภาพแค่วางเพลิงไง" "อุ๊ยๆ โทษที พาเข้าห้องผิด"ตำรวจพาเขาไปอีกห้องซึ่งอยู่ใกล้กัน ตำรวจหลายคนรออยู่ในห้องรวมถึงตำรวจชั้นผู้ใหญ่ จัดการแถลงข่าวว่า สามารถจับกุมผู้ที่วางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ได้ เขาต้องนั่งก้มหน้าแม้ตอนนั้นอยากจะเงยหน้าขึ้นมาปฏิเสธ แต่ก็ถูกตำรวจที่นั่งด้านข้างแตะขาไว้ ความกลัวจากการถูกกระทำที่ผ่านมาทำให้เขาไม่กล้าพูดอะไร

หลังแถลงข่าวเสร็จ เขาถูกนำตัวกลับไป สน.ชนะสงคราม อีกครั้ง เขาต้องอยู่ในห้องขังอีกหลายวันจนรอยช้ำบนใบหน้ายุบลงจึงถูกส่งตัวไป สน.ปทุมวัน เมื่อรถส่งนักโทษมาถึง สน.ชนะสงคราม เขาถูกนำตัวลงจากรถ แต่ก่อนที่เขาจะถูกนำตัวเข้าห้องขัง ตำรวจใน สน.ปทุมวัน มองหน้าเขาแล้วทักว่าเขาไม่ใช่คนที่เผา เวลานั้นเขารู้สึกดีใจอย่างมาก ตำรวจไขกุญแจมือเพื่อปล่อยตัวเขา เขาเดินอย่างอิสระเพื่อจะออกจาก สน.ปทุมวัน แต่ยังไม่ทันพ้นประตู ตำรวจที่มาจาก สน.ชนะสงคราม ก็จับตัวเขากลับเข้ามาอีก

   "ไอ้นี่มันรับสารภาพแล้ว"

ฝันร้ายกลับมาอีกครั้ง เขาถูกส่งตัวไปห้องสอบสวนของ สน.ปทุมวัน ตำรวจสอบสวนเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ตำรวจถามว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ เขาตอบปฏิเสธทันใด เพราะเขารู้สึกว่า สน. แห่งนี้ต้องไม่เหมือนกับ สน. ก่อนหน้านี้ เขาจึงกล้าที่จะกลับคำ ตำรวจถามถึงรอยช้ำบนใบหน้าของเขา เขาจึงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน สน.ชนะสงคราม

ตำรวจถามเขาว่า "มันทำกับเอ็งขนาดนี้เลยหรือวะ" เขาพยักหน้ารับ ตำรวจสอบสวนเขาด้วยความเห็นใจ ตอนนั้นเขาสังเกตเห็นมีตำรวจบางคนมีน้ำตาไหลด้วย ตำรวจคนหนึ่งแอบกระซิกกับเขาว่า มีทนายเสื้อแดงมารอทำคดีให้อยู่ อย่างไรก็ตาม เขาต้องอยู่ที่ สน. แห่งนี้อีกหลายวันจนรอยช้ำบนใบหน้าเกือบหายสนิท ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังศาลอาญากรุงเทพใต้ ตลอดเวลาที่เขาอยู่ที่นี่เขาได้รับการดูแลอย่างดีจากตำรวจ สน.ปทุมวัน

หลังศาลอาญากรุงเทพใต้ประทับรับฟ้อง เขาก็ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ เขาต้องอยู่ในเรือนจำหลายเดือนโดยไม่ได้รับการประกันตัว เขาอยู่ในแดน 4 ซึ่งในแดนนี้เขาถูกเพื่อนนักโทษทำร้าย เนื่องจากเข้าใจว่า เขาเป็นผู้วางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์

หลายวันต่อมามีเจ้าหน้าที่จาก DSI มาพบเขาที่เรือนจำ เขาเดินออกมาแดน 4 เพื่อไปยังห้องสอบสวนซึ่งอยู่ด้านข้างห้องเยี่ยมผู้ต้องหา วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าของ พินิจ จันทร์ณรงค์ ซึ่งอยู่แดน 6 เจ้าหน้าที่จาก DSI แจ้งข้อกล่าวหาวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ เพิ่มเติมกับ พินิจ จันทร์ณรงค์ (พินิจ จันทร์ณรงค์ ถูกจับเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 ที่ลานจอดรถของเซ็นทรัลเวิล์ด ในข้อหาลักทรัพย์กับจำเลยอีก 8 คนก่อนหน้านี้) เขาและพินิจจึงต้องกลายเป็นผู้ต้องหาวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์ร่วมกับเยาวชนอีก 2 คนซึ่งได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้

ต่อมาเขาและผู้ต้องหาทางการเมืองช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 53 ถูกย้ายไปอยู่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่  ที่แห่งนี้เขาอยู่อย่างสุขสบายกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ มีคนเสื้อแดงมาเยี่ยมเขามากกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่เขาก็ยังอยากได้รับการประกันตัว

เขาบอกว่า เขาคาดหวังจากการนิรโทษกรรม โดยเฉพาะข้อเสนอของ นปช. และกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล นอกจากนี้คดีวางเพลิงของ 2 เยาวชนถูกยกฟ้องไปแล้ว เขาและพินิจจึงคาดหวังอย่างมากว่า จะได้รับการยกฟ้องเช่นเดียวกัน หากศาลพิพากษายกฟ้อง และเขาถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ เขาคิดที่จะกลับบ้านที่จังหวัดชัยนาท และจะไม่กลับมาที่กรุงเทพอีก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท