ในสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นมาเมื่อไรก็ได้ คนหลายกลุ่มได้ออกมาเสนอให้ “ยุบสภา” แต่แทบทุกกลุ่มล้วนมีข้อเสนออื่นพ่วงมาด้วย แม้ว่าข้อเสนอของกลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะมาจากความปรารถนาดีที่อยากแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้น แต่การมีเสนอข้ออื่นพ่วงมาด้วยนี้สะท้อนให้เห็นว่าในส่วนลึกของกลุ่มผู้เสนอแต่ละกลุ่มยังแฝงไว้ด้วยการคิดแบบฝักฝ่าย เพราะยังอยากแก้ไขปัญหาในแบบที่จะทำให้ “ ฝ่ายตัวเอง” ได้เปรียบทางการเมือง
ข้อเสนอ “ยุบสภา “ พร้อมด้วย “ข้อเสนอพ่วง” จึงทำให้การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการที่แต่ละกลุ่มเสนอขึ้นมานั้นบรรลุผลในทางปฏิบัติได้ยาก เพราะ “ข้อเสนอพ่วง” ต่างๆ ล้วนเป็น “ปัญหา” ที่จะเกิดความเห็นพ้องต้องกันระหว่างคู่ขัดแย้งได้ยากมากถึงอยากที่สุด
“ข้อเสนอพ่วง” ที่น่ารังเกียจและหยาบคายมากที่สุด ได้แก่ ข้อเสนอให้การยุบสภาพร้อมกับเรียกร้องให้คนในตระกูลชินวัตรถอยออกจากการเมือง ของกลุ่ม สว.สรรหา 40 คน เพราะการเสนอเช่นนี้เป็นการกีดกันคนไทยออกจากการเมืองอย่างไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่คนทุกคนในสังคมไทยจะต้องปฏิเสธ ที่จริงแล้วกลุ่มสว.กลุ่มนี้เองก็เคยต่อสู้กับเรื่องนี้มาในหลายกรณี แต่ถึงวันนี้กลับกลืนน้ำลายตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ “ข้อเสนอพ่วง” นี้จึงไม่มีคุณค่าทางวิชาการใดๆที่จะต้องถกเถียงด้วย
ข้อเสนอยุบสภาที่นำโดยนักวิชาการอาวุโสมี “ข้อเสนอพ่วง” ว่าให้ทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นข้อเสนอที่เกรงว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 จะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม แต่ “ข้อเสนอพ่วง” นี้ ก็เป็นข้อเสนอที่ลักลั่นและขัดแย้งกันเอง
ข้อเสนอแรกระบุว่าให้มีการลงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พร้อมการจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่ข้อสองกลับระบุว่าหลังจากนั้น รัฐบาลต้องประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องถามว่า “ตกลงจะเอายังไงแน่?” จะให้ลงประชามติเมื่อไร และหากทำตามข้อแรกเมื่อยุบสภาแล้ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นจะมีสถานะอย่างไร และหากทำตามข้อเสนอที่สอง ก็ต้องถามว่าจะทำประชามติไปทำไม ในเมื่อการเลือกตั้งก็เป็นโอกาสสำหรับพรรคการเมืองที่จะเสนอนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับให้ประชาชนพิจารณาได้อยู่แล้ว
การที่ใส่ “ข้อเสนอพ่วง” เรื่องการลงประชามติเช่นนี้เกิดขึ้นเพราะความวิตกว่าหากเลือกตั้งแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะเกิดไม่ได้และกลัวว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว ก็จะเกิดการเดินขบวนคัดค้านอย่างเดิม ความวิตกเช่นนี้จึงทำให้เกิดม่านบดบังปัญญาและทำให้มีข้อเสนอแบบที่มาจาก “วิธีคิดที่ไม่เป็นประวัติศาสตร์ “
หากพรรคเพื่อไทยต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็ให้ประกาศเป็นนโยบายชัดๆไปเลย หากไม่เห็นด้วย ก็ไม่ต้องเลือกพรรคเพื่อไทย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็เสนอมาเลยว่าคิดอย่างไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การลงคะแนนเสียงจะเป็นกระบวนการค้ำยันข้อเสนอที่เข้มแข็งที่สุดของพรรคการเมืองแต่ละพรรคโดยไม่ต้องมีการประชามติแต่อย่างใด
น่าแปลกใจกับความกลัวที่ว่าเมื่อเลือกตั้งแล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิม ก็คงต้องบอกว่า “ประวัติศาสตร์ไม่มีวันซ้ำรอย” การเคลื่อนไหวของประชาชนทั้งหมดในปัจจุบันได้ทำให้ประเด็นการเมืองชัดเจนและปลุกประชาชนให้เกิดสำนึกทางการเมืองมากขึ้น จึงย่อมส่งผลให้เกิดพลังขึ้นมาคัดค้านการกระทำนอกลู่นอกทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี และพลังของประชาชนดังกล่าวนี้ก็จะทำให้สามารถควบคุมพรรคการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นมาก
ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอและข้อโต้แย้งของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ในเรื่องนี้ การยุบสภาทันทีโดยไม่ต้องมี “ข้อเสนอพ่วง” จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน คำอธิบายของอาจารย์สมศักดิ์ต่อข้อกังวลที่ว่าถ้าหากเลือกตั้งแล้วกลับมาเหมือนเดิมก็เป็นคำอธิบายที่ชัดเจนและเป็นการมองอย่าง “เป็นประวัติศาสตร์” ที่พิจารณาบริบททางการเมืองอย่างรอบด้าน รวมทั้งการเสนอในมุมมองมนุษยฺธรรมที่ปฏิเสธโอกาสในการสร้างความสะใจบนการนองเลือดที่อาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย
ในวันนี้ จำเป็นที่จะต้องมีข้อเสนอที่ชัดเจน แจ่มแจ้ง ครอบคลุมการแก้ปัญหาให้มากที่สุด และเป็นไปได้มากที่สุดไม่ว่าในส่วนลึกใจของท่านจะเอนไปทางฝ่ายใดก็ตาม