Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

เปิดเพจ "เวทีไทย-เยอรมันในยุโรป" โดยคนไทยในสหภาพยุโรปหวังผลักดันหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน และต่อต้านหลักการฟาสซิสต์

หมายเหตุ - เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2557 กลุ่มเวทีไทย-เยอรมันและยุโรปเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ "เวทีไทย–เยอรมันและยุโรปเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน" โดยมีรายละเอียดดังนี้

000

"เวทีไทย–เยอรมันและยุโรปเพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน"

"การเข้าไปมีส่วนร่วม เป็นวิถีทางเดียว ดำรงอยู่คู่ความจริง”
ไฮน์ริช เบิลล์ นักเขียนเยอรมันรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

เราเป็นคนเชื้อสายไทยที่อาศัยอยู่ในสหภาพยุโรป ต่างก็มีอาชีพที่หลากหลายแตกต่างกัน แต่เรามีคุณค่าทางสังคมร่วมกันคือ หลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน  เราตระหนักและชื่นชมสหภาพยุโรปอย่างยิ่งที่วางรากฐานประเทศอยู่บนหลักนิติรัฐและประชาธิปไตย แต่เราก็อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง และรู้ดีว่าแม้ในยุโรปเองประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ก็ยังไม่มี แต่บุคคลเชื้อชาติต่างๆที่อาศัยอยู่ในยุโรปก็เป็นแนวร่วมและให้การสนับสนุนเรา

พื้นฐานของประชาธิปไตย คือสิทธิเท่าเทียม เสรีภาพ และภราดรภาพ  สิทธิมนุษยชนถูกแบ่งออกเป็น 2 หมวด หมวดแรกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนทางสังคม (ด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม อื่นๆ) และ สิทธิมนุษยชนทางการเมือง ทั้งสองหมวดจะแยกจากกันไม่ได้ เพื่อปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมาย นั่นคือการป้องกันการละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ทุกคนไม่มีการยกเว้น

สิทธิมนุษยชนและกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

องค์กรสิทธิมนุษยชนสากลหลายองค์กรเช่น ฮิวแมนไรท์วอทชท์  แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล  กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนเอเชีย และนักข่าวไร้พรมแดน ได้รายงานถึงสถานการณ์ด้านสิทธิฯ ของไทยที่มีแนวโน้มตกต่ำลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีโทษรุนแรงมากที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายในลักษณะเดียวกัน เนื่องจากมีโทษจำคุกอย่างต่ำ 6 ถึง 15 ปี และผู้ถูกกล่าวหาส่วนใหญ่มักไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างถูกดำเนินคดี

ประชาธิปไตย สะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า 

เราใส่ใจในการพัฒนากระบวนการประชาธิปไตยและสถานการณ์ด้านสิทธิฯในประเทศไทยให้ดีขึ้น หลังจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ประเทศไทยก็ไร้ความสงบสุขเรื่อยมา ฝ่ายรัฐประหารได้ทิ้งมรดกผลไม้พิษไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อปกป้องอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำเก่า ด้วยกลไกสำคัญหลายประการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย อาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งขาดความชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตย หน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ เหล่านี้คือปกป้องรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยฉบับนี้ไว้ให้ได้ทุกวิถีทาง  ซึ่งโดยพฤตินัยแล้วรัฐสภาจึงไม่สามารถปรับปรุงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นได้ ดังที่วิกฤติการณ์ครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้ว

อิทธิฤทธิของรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยปี 2550

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการคอรัปชั่นแห่งชาติ (ปปช.) ได้ชี้มูลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และวุฒิสมาชิก (สว.) จำนวน 308 คนที่ลงคะแนนเสียงร่วมแก้รัฐธรรมนูญในรัฐสภาและสภาสูงพ้นจากตำแหน่ง หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของ สส. และ สว. ทั้งหมด 381 คนเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แม้ในความเป็นจริง สิ่งที่ ส.ส. และ ส.ว. กระทำเป็นการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คือให้สมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง เฉกเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 หาใช่ "อาชญากรรม" ไม่ ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ให้ วุฒิสมาชิกครึ่งหนึ่งมาจากการแต่งตั้ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งหมายถึงมีความชอบธรรมตามระบบประชาธิปไตยเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.พ. พวกกลุ่ม กปปส. ซึ่งเป็นแนวร่วมของชนชั้นนำที่ยังมีอำนาจมาก ได้ขัดขวางการเลือกตั้ง ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ประกอบด้วยผู้นิยมพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในกรุงเทพฯ และภาคใต้ ผู้นำกลุ่ม กปปส. ก็เป็นอดีตผู้นำพรรค ปชป.เกือบทั้งหมด ซึ่งเพิ่งลาออกจากพรรคเมื่อเริ่มชุมนุม เช่น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยเป็นเลขาฯ พรรค ปชป.ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งเป็นเลขา กปปส.ทันที  พวกการ์ดของม็อบ กปปส. จึงไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายแต่อย่างใดเพราะตนรู้ว่ามีผู้ใหญ่คุ้มครอง ขณะที่ข่มขู่ทำร้ายประชาชนที่เห็นว่าคิดต่างหรือผู้สัญจรที่ไปขยับกรวยกำกับเขตแดนม็อบของตน ชนชั้นนำในหมู่ข้าราชการชั้นสูงและฝ่ายเอกชนกลุ่มทุนใหญ่ก็ได้ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผย  ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินแล้ว ให้ "ฟอกขาว" ให้กับการชุมนุมที่ผิดกฎหมายเป็นเวลากว่า 6 เดือน แม้จะมีการยึดครองกระทรวงและสำนักงานรัฐต่างๆ หลายแห่ง ด้วยคำวินิจฉัยว่าการชุมนุมนี้เป็นไป "อย่างสงบสันติและถูกต้องตามกฎหมาย"  ซึ่งการวินิจฉัยเช่นนี้ส่งผลให้หลักนิติรัฐสั่นคลอน

รัฐประหารอย่างมีนวัตกรรม โดย “วงมโหรีการเมืองวงใหญ่" กฎอัยการศึก

ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระต่างๆ อาทิ ปชช. ซึ่งขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยประสานงานสอดรับกันเป็นอย่างดีเพื่อก่อรัฐประหารแบบซ่อนรูป ศาลรธน.ตัดสินให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง โดยมีความผิดฐานย้ายเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ขณะที่รัฐบาลชุดก่อน (อภิสิทธิ์) ก็ได้ย้ายเลขาฯ สมช. คนเก่าเช่นกัน เมื่อนายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามความเป็นจริง รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องทำหน้าที่รักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาดำรงตำแหน่ง จึงไม่สามารถถูกปลดออกจากตำแหน่งได้อีก หนำซ้ำผู้บัญชาการทหารบกยังประกาศใช้กฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมโดยพละการ ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกาศใช้กฎอัยการศึกเนื่องจากไม่ได้เกิดภาวะสงครามหรือจลาจล และไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลผู้ใดที่เป็นผู้สนองพระบรมราชโองการประกาศใช้กฎอัยการศึกฉบับนี้  

องค์กร "อิสระ" ก.ก.ต. ซึ่งมีหน้าที่จัดการการเลือกตั้งก็รับช่วงต่อโดยการพยายามที่จะเลื่อนการเลือกตั้งออกไปอย่างไม่มีกำหนดแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อจะทำให้เกิดสูญญากาศทางอำนาจ ประธานสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากถูกศาลรัฐธรรมนูญและ ปปช.ถอดถอนแล้ว จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่  ขณะเดียวกันแนวร่วมกลุ่มชนชนนำนี้ก็พยามยามขับไล่รัฐบาลที่เหลืออยู่แล้วหา “นายกคนกลาง” นอกกฎหมายและนอกรัฐธรรมนูญของฝ่ายตนเข้ามา แม้ว่ารัฐธรรมนูญมีบทบังคับชัดแจ้งว่า นายกฯ ต้องมาจาก ส.ส. และผู้โปรดเกล้าฯ คือประธานรัฐสภาเท่านั้น ในขณะที่มีการประกาศกฎอัยการศึก ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาจึงมีอำนาจสูงสุด เหนือรัฐบาลรักษาการภายใต้การนำของนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล

ผลที่หวังจากการชิงยึดอำนาจ

สืบเนื่องจากเหตุผลดังกล่าว กลุ่มอำนาจเก่ารวมทั้งกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ จึงต้องการทำลายการเลือกตั้งด้วยทุกวิถีทาง เพราะรู้ว่าไม่สามารถใช้วิถีทางประชาธิปไตยเอาชนะในคูหาเลือกตั้งได้  พรรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถนำเสนอนโยบายที่เป็นทางเลือกให้แก่ประชาชนได้ แม้รัฐบาลชุดที่แล้วจะพลาดพลั้งอย่างใหญ่หลวงที่เสนอ พรบ.นิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่ายเมื่อปี 2556 ฉะนั้นกลุ่มอำนาจเก่าจึงต้องใช้หนทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเพื่อขึ้นครองอำนาจ โดยไม่ต้องชนะการเลือกตั้ง  

วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 16.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และผู้อำนวยการกองรักษาความสงบเรียบร้อยซึ่งประกาศกฎอัยการศึกเมื่อสามวันที่แล้ว ประกาศยึดอำนาจรัฐและก่อการรัฐประหารในที่สุด พวกชนชั้นนำเก่าจะวางกฎเกณฑ์ทางการเมืองในหม่แต่เพียงฝ่ายเดียว ไม่ให้มีการเลือกตั้งที่จะส่งผลให้พรรคที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากที่สุดได้ชัยชนะในการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลอีกเป็นอันขาด หลังการรัฐประหารปี 2549 มีการเลือกตั้ง 3 ครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่าพรรคการเมืองพรรคนี้ก็ยังได้ชัยชนะเหนือพรรคการเมืองพรรคอื่นตลอดมา รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแพ้การเลือกตั้งมาตลอดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

เราเปิดเพจนี้ เพื่อสร้างเวทีแก่ผู้รักประชาธิปไตย และขอเชิญชวนทุกคนให้ส่งเสริมและสนับสนุนพันธกิจและกิจกรรมของเรา โดยการทำให้เพจ และข้อเรียกร้องของเราเป็นที่รู้จัก และทำให้เสียงของเราดังขึ้นจนเป็นที่ได้ยินได้ในสังคมนานาชาติ

เป้าหมายของเรา
1. ส่งเสริมการพัฒนาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบในประเทศไทยโดยผ่านการศึกษาสู่ชาวไทย
2. ส่งเสริมการศึกษาสิทธิมนุษยชนโดยใช้การศึกษาผู้ใหญ่
3. แลกเปลี่ยนข้อมูลในหัวข้อดังกล่าว
4. เป็นกระบอกเสียงต่อต้านการยึดอำนาจแบบผิดหลักประชาธิปไตยโดยกลุ่มฟาสซิสต์
5. ประสานงานในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net