เห็นโฉมหน้า สมาชิก สนช. ทั้ง 200 คนแล้ว เป็นไปตามคาดว่า เพราะเต็มไปด้วยทหารและข้าราชการประจำเป็นหลัก ซึ่งพอจะบ่งบอกโฉมหน้ารัฐบาลและยุทธศาสตร์ระยะยาวของการยึดอำนาจครั้งนี้ได้ว่า
จะขับเคลื่อนเคลื่อนโดยพึ่งพากลไกและวิธีคิดรัฐราชการเป็นหลัก ยังคงรักษาระยะห่างที่มีกับภาคประชาชน ทุกกลุ่มทุกขั้วอย่างระมัดระวัง
ทำให้ สนช.มีภาพออกมาไม่ถูกโจมตีว่าเป็นสภาของคู่ขัดแย้งหรือสีใดสีหนึ่ง ถ้าจะคาดสีให้ ก็ต้องเรียก "สภาสีเขียว (ทหาร)" มากกว่า
ผมคิดว่ามีงานที่ท้าทาย สนช. ในเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 3 เรื่องที่จะเป็นบทพิสูจน์ว่ายึดอำนาจครั้งนี้ "เสียของ" หรือไม่
- การสลายเครือข่ายระบอบทักษิณ ที่ไม่ใช่แค่ดำเนินคดีที่กระทำผิด แต่ต้องเท่าทันยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณที่วิวัฒนาการไปตลอดเวลา โดยเฉพาะระบบธุรกิจการเมือง ที่อำนาจทางธุรกิจและการเมือง กลายเป็นเครืองมือหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทำให้สังคมอ่อนแอ เกิดระบบผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจการเมือง จนสังคมการเมืองกลายเป็นหลุมดำ
- การปรองดองสมานฉันท์ ต้องเอาความจริงและต้นเหตุปัญหามาพูดกัน ไม่ใช่แกล้งลืมหรือแกล้งตายกัน งานปรองดองไม่ใช่งานที่ทำได้ในปีเดียว อาจยกสถานะของกระบวนการปรองดองเป็นหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีแผนปรองดองระยะกลางและระยะยาวด้วย
- จะต้องออกกฎหมายที่เป็นต้นน้ำหรือแม่บทของการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ โดยเฉพาะใน 11 ประเด็นที่ คสช. วางเค้าโครงไว้ ถือเอาโอกาสนี้ออกกฎหมายสำคัญๆ ที่สภาผู้แทนไม่ทำและไม่กล้าทำ เพราะกระทบผลประโยชน์นายทุนพรรค
เราคงไปหวังให้ สนช.ทำทุกเรื่องทุกความคาดหวังไม่ได้ เพราะมีขัอจำกัดมากมาย แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะคาดหวังว่ายึดอำนาจครั้งนี้ ไม่ใช่แค่สถาปนาขั้วอำนาจใหม่ขึ้นมา หรือเสียของซ้ำซาก
อย่าให้เสียของ เพราะมีของเสียในสภาฯ
ผมขอให้กำลังใจ สนช. ที่หวังดีต่อส่วนรวมและบ้านเมืองครับ!
ที่มา: เฟซบุ๊ก สุริยะใส กตะศิลา