12 พ.ค.2558 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) เสนอความเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ... ว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐศาสนา และมีการเลือกปฏิบัติ หรือเกิดการจำกัดเสรีภาพทางศาสนา และกีดกันศาสนาอื่นๆ เปิดช่องให้รัฐแทรกแซงกิจการของศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา คปก.ได้จัดทำบันทึกความเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ... เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยระบุว่า มาตรา 4 ของร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่กำหนดแนวทางของรัฐในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยกลายเป็นรัฐศาสนา และทำให้หลักธรรมของพุทธศาสนากลายเป็นอุดมการณ์หนึ่งของรัฐ ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาเปลี่ยนแปลงไป และอาจก่อให้เกิดผลเสียหายในระยะยาว เนื่องจากสังคมไทยมีความเป็นพหุเชื้อชาติ และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และความศรัทธา
คปก.ยังมีความเห็นด้วยว่า ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งกำหนดให้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และกลไกต่างๆ ในการกำกับดูแลกิจการของศาสนา เป็นเรื่องที่ขัดกับหลักเสรีภาพในการนับถือศาสนา เนื่องจากให้อำนาจแก่รัฐในการเข้ามาเป็นผู้ควบคุมการตีความเรื่องศาสนา ทำให้ศาสนาเข้ามาอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายหรือแนวทางของรัฐ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มชาวพุทธที่มีแนวทางแตกต่างไปจากรัฐ รวมถึงกลุ่มศาสนาอื่นๆ ไม่ได้รับการอุปถัมภ์และคุ้มครองจากรัฐ รวมถึงอาจถูกกีดกัดหรือจำกัดเสรีภาพในทางศาสนา และยังเป็นการเปิดช่องให้รัฐสามารถใช้กลไกการควบคุมดังกล่าวในการแทรกแซงกิจการศาสนาเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองได้ ทั้งนี้ คปก.เห็นว่า การปกครองคณะสงฆ์ต้องให้คณะสงฆ์เป็นผู้ปกครองดูแลกันเอง
สำหรับบทบัญญัติของร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ... ที่กำหนดให้มีพระวินยาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจในการดูแลกิจการของพุทธศาสนา โดยให้พระวินยาธิการและพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งจะส่งผลให้พระภิกษุจำนวนหนึ่งกลายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ คปก.เห็นว่า เป็นเรื่องที่ผิดเจตนารมณ์อย่างมากต่อการบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา เนื่องจากบทบาทในการตีความและควบคุมการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยควรเป็นบทบาทขององค์กรทางศาสนา