เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวประชาธรรม รายงานว่า ในวันดังกล่าว ที่ศาลจังหวัดลำพูน ศาลฎีกาได้นัดสืบโจทก์และพยานเพิ่มเติม ต่อคดีปัญหาพิพาทที่ดินระหว่างนายทุนกับชาวบ้าน บ้านไร่ดง (ตำบลน้ำดิบ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน) ซึ่งเป็นหนึ่งในคดีปัญหาที่ดินที่มีอายุคดียาวนานกว่า 12 ปี และกำลังนำไปสู่การปฏิรูปที่ดินด้วยการเป็นพื้นที่นำร่องของสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (จากทั้งหมด 5 พื้นที่) โดยมีจำเลยที่ 1 คือ รังสรรค์ แสนสองแคว และจำเลยที่ 2 สืบสกุล กิจนุกร ซึ่งพยานที่นัดสืบเพิ่มเติมได้แก่ สถิตย์พงษ์ สุดชูเกียรติ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.)

ผู้พิพากษาได้สืบข้อสงสัยต่อ สถิตย์พงษ์ โดยมีข้อสงสัยว่า ที่ดินพิพาทบ้านไร่ดงครั้งนี้อยู่ในโครงการนำร่องของ บจธ. หรือไม่ ซึ่ง สถิตย์พงษ์ ได้กล่าวว่า อยู่ในพื้นที่โครงการนำร่องจริง 10 แปลง อีกทั้งได้ชี้แจงถึงการดำเนินการที่ล่าช้าต่อศาลฎีกาว่า โครงการการจัดการธนาคารที่ดินเป็นโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในรัฐบาลปี 2554 แต่หลังจากนั้น ไม่มีการสานต่อนโยบายจึงทำให้โครงการไม่มีความคืบหน้า

ต่อมาปี 2557 รัฐบาลได้สานต่อนโยบายนี้และจัดตั้งสถาบันการจัดการธนาคารที่ดินขึ้นโดยมีตนมีเป็นผู้อำนวยการคนแรก เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2558 จึงทำให้โครงการเพิ่งได้เริ่มดำเนินการ ขณะที่ฝ่ายโจทย์ที่ 1-4 (ผ่านทนายความ) ยินดีร่วมแก้ไขปัญหากับสถาบันการจัดการธนาคารที่ดิน ไม่มีข้อติดใจ ซึ่งศาลฎีกาได้รับการชี้แจงข้อสงสัยนี้แล้วจะนัดฟังคำอ่านการพิพากษาอีกครั้ง

โดยในดังกล่าว รังสรรค์ จำเลยที่ 1และ สืบสกุลจำเลยที่ 2  พร้อมด้วยญาติพี่น้องได้มาร่วมรับฟังการสืบพยานด้วยพร้อมให้กำลังใจแก่กัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ (25 พ.ค.59) กลุ่มชาวบ้านบ้านแพะใต้ ตำบลหนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน (ซึ่งเป็น 1 ใน 5 พื้นที่โครงการนำร่องของสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน) จำนวน 7 คน ที่ต้องคดีคล้ายคลึงกันได้ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ญาติ รังสรรค์ รายหนึ่งกล่าวว่า ค่อนข้างมีความหวังมากขึ้นเมื่อมีการสืบจากทางสถาบันบริหารการจัดการธนาคารที่ดิน เพราะจะทำให้มีน้ำหนักต่อแนวทางที่เสนอไปว่า ให้มีการขอซื้อที่ดินผืนนี้โดยธนาคารที่ดินเป็นผู้รับซื้อและให้ชาวบ้านผ่อนกับธนาคารเพื่อจัดสรรที่ดินทำกินให้ชาวบ้าน