สื่ออเมริกันพูดถึง ‘คาราวานอพยพละตินอเมริกา’ ค้านโวหารกีดกันของ ‘ทรัมป์’

ภาพคาราวานผู้อพยพจากอเมริกากลาง-ใต้ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ นำเสนอในแบบสร้างความหวาดกลัว เชื่อมโยงกับแกงค์อาชญากรและยาเสพติด ถูกสื่อในประเทศหลายแห่งพูดถึงในแบบที่แตกต่าง ไม่ว่าจะในฐานะผู้หนีความยากจนไปตายดาบหน้าในที่ๆ น่าจะมีโอกาสที่ดีกว่า หรือในฐานะผู้บริสุทธิ์ที่หนีตายจากแกงค์อาชญากรจริงๆ ที่รัฐบาลเป็นผู้เอื้อประโยชน์ให้

ขบวนผู้คนพร้อมธงทีมฟุตบอลฮอนดูรัส(ซ้าย) และธงที่คาดว่าเป็นธงชาติฮอนดูรัสที่อยู่แถวที่สอง (ที่มา: Facebook: Honduras NO TE Rindas)

นิตยสาร Yes! จากสหรัฐฯ นำเสนอเรื่องของคาราวานผู้อพยพจากอเมริกากลางสู่สหรัฐฯ ครั้งประวัติศาสตร์ในฐานะกลุ่มคนจนและถูกทำให้เป็นชายขอบจำนวนมหาศาลที่เคลื่อนขบวนพร้อมกัน โดยก่อนหน้านี้พวกเขามักเดินทางคนเดียวหรือมากับครอบครัวผ่านการจ่ายให้กับผู้ลักลอบนำคนเข้าเมืองด้วยทรัพย์สินที่พวกเขามีอยู่น้อยนิด

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้มีกรณีการเดินขบวนของผู้อพยพจากอเมริกากลางและใต้ โดยเฉพาะจากฮอนดูรัสซึ่งพยายามจะเข้าสู่สหรัฐฯ Yes! ระบุว่าพวกเขาเดินทางร่วมกันเป็นขบวนเพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกละเลย ทั้งที่ในช่วงปลายเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐฯ เริ่มปิดท่าเรือที่มีความพลุกพล่านและยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่พยายามบุกข้ามรั้วไปยังสหรัฐฯ  และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังกล่าวหาผู้อพยพอย่างไม่มีมูลใดๆ ว่าเป็นพวก "แก๊งอาชญากร" และ "ผู้ก่อการร้าย" ทั้งๆ ที่ผู้คนจำนวนมากที่อพยพมาล้วนแต่หนีจากสภาพย่ำแย่ที่ต้องเผชิญกับแก๊งอาชญากรในชีวิตประจำวัน

ผู้อพยพฮอนดูรัสหลักพันปักหลักชายแดนเม็กซิโก หวังหนีจน-ตาย สู่สหรัฐฯ

ในทิฮัวนา ประเทศเม็กซิโกเริ่มมีกระแสต่อต้านผู้อพยพเพิ่มมากขึ้นจนฮวน กาสเตลัม นายกเทศมนตรีของเมืองประกาศว่าทิฮัวนากำลังเกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรม เพื่อขอให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ช่วยเหลือผู้อพยพจากอเมริกากลางราว 5,000 ราย ที่ส่วนใหญ่อาศัยในที่พักพิงชั่วคราวที่ศูนย์การกีฬาหลังจากต้องใช้เวลาเป็นเดือนอยู่บนท้องถนน

มานูเอล ฟิกูรัว อธิบดีกรมสังคมสงเคราะห์ของเมืองทิฮัวนากล่าวว่าในขณะที่เมืองของพวกเขาให้การช่วยเหลือผู้อพยพเหล่านี้ด้วยปัจจัยพื้นฐานต่างๆ แต่รัฐบาลกลางของเม็กซิโกกลับเมินเฉยและละเลยในเรื่องนี้ทำให้พวกเขาต้องเรียกร้องจากสถาบันระดับนานาชาติอย่างสหประชาชาติแทน

Yes! ระบุว่าในทุกๆ ปีจะมีผู้ลี้ภัยและขอลี้ภัยจากอเมริกากลางและอเมริกาใต้เสียชีวิตกลางทะเลทรายก่อนถึงสหรัฐฯ ทุกครั้ง ทั้งที่ถ้าหากพวกเขาไปถึงสหรัฐฯ แล้วจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นภาคส่วนการเกษตร การบริการ หรือการก่อสร้าง การสำรวจของศูนย์วิจัยพิว (PEW Research Center) เมื่อปี 2555 ระบุว่ามีแรงงานภาคส่วนการบริการในสหรัฐฯเป็นผู้อพยพที่ยังไม่มีใบอนุญาตถึงร้อยละ 33 เทียบกับคนที่เกิดในสหรัฐฯ มีเพียงร้อยละ 17 ในภาคส่วนการก่อสร้างและการขุดเจาะทรัพยากรมีผู้อพยพที่ยังไม่มีใบอนุญาตทำงานอยู่ร้อยละ 15 และมีชาวอเมริกันโดยกำเนิดทำงานอยู่ในภาคส่วนนี้เพียงร้อยละห้าเท่านั้น

อนา เซซิเลีย เปเรซ นักกิจกรรมด้านความเป็นธรรมทางเชื้อชาติสีผิวเขียนถึงประสบการณ์ของเธอในเว็บไซต์ Yes! เล่าว่าตัวเธอและครอบครัวก็เคยอพยพเดินทางจากเอลซัลวาดอร์ ผ่านสามประเทศเพื่อมาถึงสหรัฐฯ เมื่อประมาณมากกว่า 40 ปีที่แล้ว คล้ายกับกลุ่มคาราวานผู้อพยพจำนวนมากที่ทิฮัวนาในตอนนี้ ที่ครอบครัวเธอต้องอพยพไปที่สหรัฐฯ ในตอนนั้นเป็นเพราะพวกเธอต้องหนีตายจากกองทัพเอลซัลวาดอร์ จากสงครามที่คร่าชีวิตคนไป 75,000 คน ครอบครัวเธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคหลายอย่างมาก ทั้งถูกปล้น ถูกคุกคาม และถูกคุมขังกว่าที่จะเดินทางไปถึงสหรัฐฯ ได้

"หลายคนถามว่า ทำไมพวกเราถึงต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย ทำไมพวกเราถึงต้องเสี่ยงเดินทางในแบบที่ไม่รู้จะไปจบตรงไหนแบบนี้ โดยเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายจากกลุ่มค้ายาเสพติดและกลุ่มค้ามนุษย์ เสี่ยงถูกคุกคามจากรัฐบาลเม็กซิกัน และอาจจะถูกปฏิเสธที่ชายแดนสหรัฐฯ รวมถึงเสี่ยงถูกพรากลูกออกจากพวกเรา" เปเรซระบุในบทความ และตอบคำถามเหล่านี้โดยอ้างอิงถึงสถิติความยากลำบากทางเศรษฐกิจที่พวกเขาต้องเผชิญ สหรัฐฯ เองก็เคยส่งอิทธิพลไปสู่ประเทศเหล่านี้จนเกิดผลกระทบ โดยผู้คนอาศัยอยู่ในประเทศอย่างฮอนดูรัสและเอลซัลวาดอร์ต้องเผชิญกับความเลวร้ายของแก๊งค้ายาที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์และปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ทำให้ประเทศคลอนแคลน

"ผู้คนเหล่านี้อพยพเพราะความสิ้นไร้หนทาง พวกเขาไม่มีหนทางอื่นใดที่จะเลี้ยงครอบครัวได้" เปเรซระบุในบทความ

สื่อ Vice ก็ระบุถึงกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้จากการที่ทรัมป์พูดถึงคาราวานผู้อพยพที่ปักหลักในทิฮัวนาโดยเรียกพวกเขาว่าเป็น "อาชญากร" เป็น "คนร้าย" และมีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้อพยพแม้กระทั่งกับเด็กที่ประท้วงแถบชายแดน อย่างไรก็ตามการกล่าวหานี้คือความเข้าใจที่ตรงกันข้ามเพราะผู้ลี้ภัยเหล่านี้พยายามหนีจากสภาพที่ย่ำแย่ของที่ๆ คนค้ายาเสพติดมีอำนาจต่างหาก

Vice ยังนำเสนอข้อมูลเรื่อง ฮวน ออร์ลันโด เฮอร์นันเดซ อัลวาราโร จากพรรคฝ่ายขวาที่เพิ่งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของฮอนดูรัสเมื่อปี 2557 ที่น้องชายของเขา "โทนี" ได้เข้าพบกับแก๊งค้ายาที่มีอิทธิพลที่สุดในประเทศและทำข้อตกลงให้มีการติดสินบนโทนีเพื่อให้เขาช่วยทวงหนี้กับหน่วยงานของรัฐบาลที่ติดค้างไว้กับบริษัทที่คนค้ายารายใหญ่นั้นใช้ฟอกเงิน

คนค้ายารายที่ติดสินบนโทนีนั้นเป็น เดวิส เลออนเนล ริเวรา มาราเดียกา ผู้ที่เป็นสายสืบให้กับสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ (DEA) และมีการบันทึกการสนทนาของทั้ง 2 คนเอาไว้ ทำให้เรื่องนี้กลายมาเป็นหลักฐานที่สหรัฐฯ ใช้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับน้องชายของประธานาธิบดีฮอนดูรัสเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ฐานเป็นผู้ปกป้องขบวนการขนยาเสพติดและพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อปกป้องผู้ค้ายารายใหญ่

ไม่เพียงแค่กรณีของโทนีเท่านั้น อดีตประธานาธิบดีฮอนดูรัสอีกรายคือ ปอร์ฟิลิโอ โซซา โลโบ และลูกของเขาฟาบิโอ ก็ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยปกป้องกลุ่มผู้ค้ายาเช่นกัน นอกจากนี้โทนีและพรรคพวกของเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มแก๊งอาชญากรรมและยาเสพติดอย่าง MS-13 และ Barrio 18 ที่รัฐบาลทรัมป์ใช้สร้างความหวาดกลัว และเปรียบเทียบกับผู้อพยพที่ไม่จดทะเบียนตามกฎหมายในระดับเดียวกันกับแก๊งเหล่านั้น ทั้งนี้ สองแก๊งดังกล่าวถูกก่อตั้งขึ้นในลอสแองเจอลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อพยพทั้งหลายจากประเทศที่มีปัญหาเหล่านี้จะถือเป็นอาชญากรไปด้วย ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเป็นคนที่ตกเป็นเหยื่อจนต้องหนีตายมาหาที่ๆ ดีกว่าในการมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้เป็นสิ่งเดียวกับที่อดีตหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการนานาชาติขององค์กรป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ ไมค์ วิจิล กล่าวไว้

วิจิลบอกว่าคนแบบโทนีนั้นแทนที่จะช่วยให้ประเทศตัวเองดีขึ้น กลับทำให้เกิดสภาพที่คนในประเทศตัวเองต้องถูกบีบให้หนีไปยังเม็กซิโกและสหรัฐฯ เพราะคนแบบโทนีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด

เรียบเรียงจาก

How Cocaine-Fueled Corruption Helped Spark the Migrant Caravan, Vice, Dec. 4, 2018

Refusing to Hide: Migrants Find Power in Caravans, Yes! Magazine, Nov. 26, 2018 

Tijuana, Mexico, declares migrant 'humanitarian crisis' , NBC News, Nov. 24, 2018

Share of Unauthorized Immigrant Workers in Production, Construction Jobs Falls Since 2007, Pew Research Center, Mar. 26, 2018

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท