คดี ม.112 'ช่างตัดแว่นเชียงราย' ตำรวจระบุได้ภาพแคปหน้าจอมาจากทหาร

สืบพยานโจทก์คดี 'ช่างตัดแว่นเชียงราย' ถูกกล่าวหา ม.112 ตำรวจเจ้าของคดีระบุได้หลักฐานมาจากทหารยศพันโทที่เป็นผู้แคปหน้าจอมาฟ้อง ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหา และวิธีดำเนินคดียึดระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามที่ได้อบรมมา

14 ธ.ค. 2561 ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย นัดสืบพยานโจทก์ในคดีของ "สราวุทธิ์" ช่างตัดแว่นตาในจังหวัดเชียงราย ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหารกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) จากกรณีการโพสต์เฟสบุ๊ครูปภาพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อเดือนกรกฎาคม 2559 (พระอิสริยยศในขณะนั้น)

โดยในห้องพิจารณาคดีนอกจากทนายความและสราวุทธิ์แล้ว วันนี้มีผู้สังเกตการณ์จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมุษยชนร่วมฟังการสืบพยานด้วย

อัยการทหารแถลงกับศาลว่าพยานโจทก์วันนี้คือ พ.ต.ท.สมชาย เข็มดี หลังสาบานตนในคอกพยานแล้ว พ.ต.ท.สมชาย เริ่มเบิกความว่า ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรเชียงราย ตำแหน่งรองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนตั้งแต่ปี 2552 คดีนี้้เกี่ยวข้องโดยเป็นพนักงานสอบสวนรับผิดชอบในคดี

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความว่า คดีนี้ พ.ท.อิสระ เมาะราษี รองหัวหน้าฝ่ายการข่าวค่ายพญาเม็งราย เป็นผู้กล่าวหา โดยกล่าวหาว่า สราวุทธิ์ผิดตามข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯตามมาตรา 112 ทั้งนี้พยานเคยเห็นและชี้ตัวสราวุทธิ์ในห้องพิจารณาคดี

ส่วนเหตุในคดี พ.ต.ท.สมชาย เบิกความว่าเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 ที่ตำบลรอบเวียง อำเภอเวียง จังหวัดเชียงราย โดยในวันที่ 5 สิงหาคม 2559 พ.ท.อิสระ เมาะราษีนำภาพเป็นบันทึกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บัญชีเฟสบุ๊คชื่อสราวุทธิ์

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความเพิ่มเติมว่า หลังรวบรวมพยานหลักฐานแล้วและเห็นว่าคดีมีมูลว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อกล่าวหา จึงแจ้งข้อหาดังกล่าวกับจำเลย ทั้งนี้วิธีการรวบรวมพยานหลักฐานพยานเบิกความว่า ตรวจสอบวิธีการดำเนินคดีตามข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้อบรมมา จากนั้นตรวจสอบว่าเฟสบุ๊คของสราวุทธิ์นั้นเป็นของสราวุทธิ์จริงหรือไม่ หรือถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ และตรวจสอบจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทั่งพบข้อมูลที่สรุปได้ว่าเฟสบุ๊คบัญชีดังกล่าวเป็นของสราวุทธิ์จริง มีภาพถ่ายและข้อความที่สรุปยืนยันได้ ส่วนภาพที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดนั้นไม่พบแล้ว

พ.ต.ท.สมชาย เบิกความย้อนไปว่า นอกจากนั้นยังเคยสอบปากคำพยานไว้อีกสองปาก คือ อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียราย และอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทั้งสองต่างยืนยันว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ อันล่วงละเมิดมิได้ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

นอกจากแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 แล้ว ยังมีความผิดตาม พระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (1) อีกด้วย ก่อนเบิกความทิ้งท้ายว่าไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน

หลังจากนั้นช่วงถามค้าน พ.ต.ท.สมชาย เบิกความว่า ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคดีคอมพิวเตอร์มาก่อน เพียงแต่ได้รับมอบหมายมาทำคดีนี้ตามตำแหน่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย

ส่วนผลการตรวจสอบหลักฐานของกลาง จาก ปอท. ไม่ได้พบภาพหรือข้อความตามที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิด ผลการตรวจสอบพบเพียงบัญชีเฟสบุ๊คดังกล่าวยังเปิดใช้งานอยู่ แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นผู้ลงทะเบียนเข้าใช้ เพราะบริษัทที่ดูแลเฟสบุ๊คนั้นตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และพนักงานสอบสวนเองก็ไม่ได้เรียกตัวพยานที่เห็นเหตุการณ์และบันทึกภาพการกระทำนั้นมาสอบปากคำ โดยอ้างว่าบุคคลนั้นเป็นบุคคลลับ และต้องการปกป้องลักษณะพยานแบบนี้ไว้

หลังเสร็จสิ้นพยานปากนี้ ศาลนัดสืบพยานนัดหน้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562

คดีช่างตัดแว่นเชียงราย

ฐานข้อมูลคดี

สำหรับ สราวุทธิ์ ก่อนถูกจับอายุ 32 ปี เปิดกิจการรับตัดแว่นและขายแว่นตาในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเขาและภรรยามีลูก 2 คน คนโตอายุ 5 ปี และคนเล็กเพิ่งคลอดอายุ 3 เดือน สราวุทธิ์เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 หลังจากนั้นก็ติดตามการเมืองมาโดยตลอด แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้สังกัดกลุ่มใด ส่วนมากสราวุทธิ์มักใช้วิธีแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนโลกออนไลน์ ทำคลิปวีดีโอล้อเลียน เฟสบุ๊คส่วนตัวของเขาจึงมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

หลังการรัฐประหาร สราวุทธิ์ถูกทหารควบคุมตัวในค่ายเม็งรายมหาราชเป็นเวลา 7 วัน ก่อนถูกแจ้งข้อหากล่าวว่า ฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง จากกรณีที่เขากับเพื่อนไปชูป้ายในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ทำกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ต้านรัฐประหาร เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวเขาไปเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 คดีนี้ ศาลทหาร มทบ.37 จังหวัดเชียงราย พิพากษาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2557 ให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 เดือน ปรับ 5,000 บาท และคดีมีเหตุอันควรปราณีเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ศาลจึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้เป็นเวลา 1 ปี และให้จ่ายค่าปรับ 5,000 บาท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท