ฎีกาสั่งประกันชดใช้คดีเผาตลาดหลักทรัพย์ปี 53 ชี้ไม่ใช่ก่อการร้าย เสื้อแดงสลายก่อนเกิดเหตุ

ศาลฎีกาพิพากษาให้ '6 บริษัทประกัน' ชดใช้ 'ตลาดหลักทรัพย์' ร่วม 100 ล้าน เหตุวางเพลิงระหว่างการสลายการชุมนุมการเมืองปี 53 ชี้ไม่ใช่ก่อการร้าย เสื้อแดงสลายก่อนเกิดเหตุ

2 พ.ค.2562 ข่าวสดออนไลน์และโพสต์ทูเดย์รายงานว่าที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 30 เม.ย. ที่ผ่านมา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หมายเลขดำ 8132/2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทศูนย์รับฝากทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทแฟมิลี่ โนฮาว จำกัด โจทก์ที่ 1-3 ยื่นฟ้อง บริษัทนิวแฮมพ์เชอร์อินชัวรันส์, บริษัททิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัทฟอลคอลประกันภัย จำกัด(มหาชน),บริษัทกรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน),บริษัทเทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน),บริษัทเมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-6 ในเรื่องประกันภัย

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามทำสัญญาประกันภัยทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไว้ต่อจำเลยทั้งหก คุ้มครองการเสี่ยงภัยทุกชนิด จำนวนเงินเอาประกันภัยรวม 3,474,408,510.33 บาท ระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.2553 ถึงวันที่ 31 ม.ค.2554 โดยจำเลยทั้งหกแบ่งสัดส่วนการรับประกันภัยดังนี้ จำเลยที่ 1 ร้อยละ 30 จำเลยที่ 2 ร้อยละ 20 จำเลยที่ 3 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 4 ร้อยละ 15 จำเลยที่ 5 ร้อยละ 10 และจำเลยที่ 6 ร้อยละ 10 ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบจำนวนบุกเข้าทุบทำลายและวางเพลิงเผาอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ 

โดยคดีนี้ จำเลยทั้ง 6 ให้การทำนองเดียวกันว่าจำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะความเสียหายจากการวางเพลิงเผาอาคารของโจทก์ที่ 1 และทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ที่อยู่ในอาคารของโจทก์ที่ 1 เกิดจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาลและเป็นการก่อการร้ายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยทั้ง 6 ไม่ต้องรับผิดทั้งความเสียหายจากการทุบทำลาย เพลิงไหม้ น้ำที่ใช้ดับเพลิงจากอุปกรณ์ดับเพลิงอัตโนมัติ และควันไฟมิใช่ภัยเนื่องจากการกระทำอันป่าเถื่อน และกระทำด้วยเจตนาร้ายมุ่งหวังเพื่อทำลายตัวทรัพย์ที่เอาประกันเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. ที่กระทำโดยมุ่งหวังให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง และเป็นการกระทำโดยมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองเป็นสำคัญ และโจทก์ทั้ง 3 เรียกค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ประกอบกิจการตลาดหลักทรัพย์โดยไม่นำผลกำไรมาแบ่งปันกัน จัดให้มีการให้บริการซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียน จัดระบบและวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด

โดยโจทก์ที่ 2 ประกอบกิจการรับฝากหลักทรัพย์ ส่วนโจทก์ที่ 3 ประกอบกิจการจัดการงานนิทรรศการ การแสดงสินค้า การฝึกอบรม และประชุมสัมมนา จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับหนังสือรับรองให้ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัย จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด ประกอบธุรกิจรับประกันวินาศภัย

เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2553 โจทก์ทั้ง 3 ร่วมกับผู้เอาประกันรายอื่นทำสัญญาประกันภัยสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เลขที่ 26 ถนนรัชดาภิเษก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร (รวมฐานราก) ที่จอดรถ สิ่งต่อเติมต่าง ๆ กำแพงประตู รั้วตลอดแนว เฟอร์นิเจอร์ สิ่งตกแต่งต่าง ๆ อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ทุกชนิด ระบบปรับอากาศและระบบอื่น ๆ

จำเลยทั้ง 6 แบ่งสัดส่วนการรับประกันภัยตามลำดับ โดยกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อยกเว้นความรับผิดว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความเสียหายอันเป็นผลโดยตรงหรือโดยอ้อมมาจาก หรือสืบเนื่องมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนถึงขนาดลุกฮือต่อต้านรัฐบาล การกบฏ การปฏิวัติ การยึดอำนาจการปกครองโดยทหาร หรือการก่อการร้ายโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคล

ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการผู้ก่อการร้ายที่ใช้กำลังอย่างรุนแรงเพื่อผลทางการเมืองและรวมถึงการใช้กำลังอย่างรุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่สาธารณชนตามกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ระหว่างวันที่ 12 มี.ค. 2553 ถึงวันที่ 19 มี.ค. 2553 มีเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือกลุ่ม นปช. เพื่อประท้วงรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งหรือยุบสภาและให้มีการเลือกตั้งใหม่ มีการตั้งเวทีใหญ่บริเวณแยกราชประสงค์ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง และมีการตั้งเวทีย่อยบริเวณแยกคลองเตยใกล้อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดยมีการปิดการจราจรบนถนนรอบพื้นที่การชุมนุมทุกแห่งการชุมนุมมีการใช้ความรุนแรง รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 รัฐบาลส่งกำลังทหารสลายการชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์และได้เกิดเหตุเพลิงไหม้สถานที่หลายแห่งรวมทั้งอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ได้รับความเสียหาย

โจทก์ทั้ง 3 จึงได้แจ้งเหตุความเสียหายต่อจำเลยทั้ง 6 ซึ่งจำเลยทั้ง 6 มอบให้บริษัทแม็คลาเรนส์ (ประเทศไทย) จำกัด สำรวจความเสียหายจากเหตุดังกล่าว แล้วปฏิเสธความรับผิด อ้างว่าเหตุความเสียหายเข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โจทก์ทั้งสามบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยทั้ง 6 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่จำเลยทั้ง 6 เพิกเฉยไม่ชำระ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ทั้ง 3 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาในประการแรกว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเกิดจากภัยประเภทใดและเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องหรือไม่

เมื่อปรากฏว่าเหตุความเสียหายต่อทรัพย์สินตามฟ้องเป็นผลมาจากมีกลุ่มบุคคลบุกรุกเข้าไปในอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารจนทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ทั้ง 3 ที่อยู่ภายในอาคารและตัวอาคารดังกล่าวได้รับความเสียหาย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นภัยที่เกิดจากเหตุเพลิงไหม้และการกระทำด้วยเจตนาร้ายซึ่งเป็นภัยที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ขณะที่ทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเหตุเพลิงไหม้อาคารเกิดขึ้นตอน 15.00 น. ภายหลังแกนนำประกาศยุติชุมนุมตอน 13.00 น. ตลอดจนผู้ก่อเหตุทุบทำลายและเผาอาคาร ก็มีประมาณ 10 คน ทั้งเป็นกลุ่มบุคคลที่ปิดบังอำพรางใบหน้า และกลุ่มที่ทำในลักษณะมีเจตนาก่อเหตุร้ายแล้วหลบหนีไปทันที โดยไม่มีประชาชนอื่นใดร่วมกระทำการ พยานหลักฐานของจำเลยทั้ง 6 ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังว่าเหตุเพลิงไหม้ตามฟ้องเป็นผลมาจากการก่อความไม่สงบของประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาล และเป็นการก่อการร้ายเพื่อหวังผลทางการเมืองตามข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งหก ดังนั้นจำเลยทั้ง 6 จึงไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดชอบตามกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน

ปัญหาว่าจำเลยทั้ง 6 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้ง 3 เพียงใด ข้อนี้โจทก์ทั้ง 3 นำสืบความเสียหายของโจทก์แต่ละรายไว้แล้ว พร้อมตารางสรุปจำนวน โดยโจทก์มิได้นำสืบแสดงรายละเอียดความเสียหายตามที่กล่าวอ้างในแต่ละรายการ แต่กลับปรากฏความเสียหายบางรายการที่มิใช่ความเสียหายอันเกิดจากวินาศภัยภายใต้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยยังได้คำเบิกความของ เจ้าหน้าที่วิศวอาคารและหัวหน้าช่างซ่อมบำรุงอาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พยานโจทก์ทั้ง 3 ว่า ทรัพย์สินบางรายการ เช่น พรม หรือเฟอร์นิเจอร์ อาจไม่ต้องซ่อมแซม เพียงแต่ทำความสะอาดก็ สามารถใช้งานได้ดังเดิม

เมื่อจำเลยทั้ง 6 ปฏิเสธโต้เถียงว่าโจทก์ทั้ง 3 เรียกค่าเสียหายสูงเกินกรณีจึงไม่อาจรับฟังว่าโจทก์ทั้ง 3 ต้องเสียหายตามจำนวนที่กล่าวอ้าง แต่แม้โจทก์ทั้ง 3 จะนำสืบความเสียหายได้ ไม่สมข้ออ้าง

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคก็มีอำนาจกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์ จึงเห็นควรกำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 89 ล้านบาท ส่วนโจทก์ที่ 2 ที่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าซื้อโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 8 ชุด ซึ่งเป็นความเสียหายที่ไม่อยู่ในความคุ้มครองตามกรมธรรม์ฯ

ส่วนค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนผ้าหุ้มเก้าอี้พนักงาน จำนวน 13,209 บาท ก็ไม่มีหลักฐานการชำระเงิน คงมีเฉพาะส่วนที่จำเลยทั้ง 6 ได้นำสืบยอมรับค่าเสียหายของโจทก์ที่ 2 มีเพียง 50,414 บาท ดังนั้นศาลจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 57,500 บาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ศาลเห็นควรกำหนดค่าเสียหายจำนวน 9 ล้านบาท

และเมื่อปรากฏว่าหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคาร พวกโจทก์ได้มีหนังสือเรียกร้องค่าสินไหม และหนังสือแจ้งปรับปรุงข้อมูลความเสียหายให้จำเลยทั้ง 6 ชำระ แต่พวกจำเลยมีหนังสือแจ้งปฏิเสธความรับผิด โจทก์ทั้ง 3 ขอให้บังคับจำเลยทั้ง 6 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย มิใช่ผู้กระทำละเมิด เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2554 จึงถือว่าจำเลยทั้ง 6 ผิดนัดชำระตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 จึงต้องได้รับดอกเบี้ยตั้งแต่วันดังกล่าว

ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้ง 3 มานั้น ศาลฎีกาฯ ไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้ง 3 ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 26,700,000 บาท จำเลยที่ 2 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 17,800,000 บาท จำเลยที่ 3 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 13,350,000 บาท จำเลยที่ 4 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 13,350,000 บาท จำเลยที่ 5 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,9000,000 บาท และจำเลยที่ 6 ใช้ค่าสินไหมทดแทน 8,900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 ม.ค. 2554 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ข่าวสดออนไลน์ https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2474317 หรือ โพสต์ทูเดย์ https://www.posttoday.com/social/general/587947

สำหรับคดีก่อการร้ายของแกนนำ นปช. นั้น เมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดสุดท้าย 2 ปาก คือ จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พร้อมกับกำหนดวันฟังคำพิพากษาคดีนี้ ในวันที่ 14 ส.ค.นี้

ส่วนคดีเผาอาคารช่วงสลายชุมนุมวันที่ 19 พ.ค.2553 อีกคดีคือคดีเผาอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ที่มี 2 แนวร่วม นปช. คือ สายชล แพบัว กับพินิจ จันทร์ณรงค์ นั้น เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2557 ศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น อย่างไรก็ตามสายชลถูกจับกุมและถูกคุมขังตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.53 ส่วนพินิจถูกจับกุมและคุมขังตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค.53 ทั้งสองถูกปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังจากศาลชั้นต้นสั่งยกฟ้อง รวมแล้วสายชลถูกจำคุก 1,022 วัน ส่วนพินิจถูกจำคุก 1,041 วัน 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท