Skip to main content
sharethis

ชุมชนบ่อแก้ว 'หมู่บ้านเกษตรอินทรีย์' กับ 'สวนป่ายูคาฯ' ความล่าช้าในการตัดสินทางนโยบาย 'คือความอยุติธรรม' ในกระบวนการแก้ไขปัญหา จนมาถึงสถานการณ์เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2562 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ สนธิกำลังเข้ามาปิดหมายบังคับคดี มีคำสั่งให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 27 ส.ค.2562

ปัญหาข้อพิพาทการปลูกป่าคอนสารทับที่ดินทำกินของชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ กับองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ อ.อ.ป.ที่ยืดเยื้อมานานจนปัจจุบัน  หากย้อนกลับไปถึงเหตุปัญหา จะพบว่าชาวบ้านผู้เดือดร้อนกว่า 277 ราย ได้ถือครองทำประโยชน์ในที่ดินมาตั้งแต่ปี 2496 กระทั่งปี 2516 รัฐบาลประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม ต่อมา อ.อ.ป.ได้เข้ามาดำเนินการปลูกสร้างสวนป่าคอนสาร ในปี 2521 ตามเงื่อนไขการสัมปทานทำไม้ในพื้นที่ป่าสงวนฯ รวม เนื้อที่ทั้งสิ้น 4,401 ไร่ อย่างไรก็ตาม อ.อ.ป.ไม่ได้ดำเนินการในพื้นที่เป้าหมายคือบริเวณป่าเหล่าไฮ่ แต่ได้นำไม้ยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกในที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ทำให้เกิดทับซ้อนที่ดิน อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ นำมาสู่ปัญหาผลกระทบ และความขัดแย้ง เกิดการต่อสู้เรียกร้องในสิทธิที่ดินทำกินของชาวบ้าน

จากมติข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานภาครัฐเป็นไปอย่างล่าช้า ตามที่ชาวบ้านมีข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานภาครัฐในที่ดินทำกิน ให้ร่วมจัดการแก้ไขปัญหาด้วยความถูกต้อง คือ ให้ยกเลิกสวนป่าคอนสาร ให้จัดสรรที่ดินให้ผู้เดือดร้อนในรูปแบบโฉนดชุมชน และในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำประโยชน์ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน จำนวนเนื้อที่ 1,500 ไร่ ชาวบ้านจึงได้เข้าปักหลักยึดที่ดินทำกินเดิมกลับคืนมาเมื่อวันที่ 17 ก.ค.2552  และได้จัดตั้งชื่อหมู่บ้านบ่อแก้ว เพื่อรอคำตอบจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ตามที่ชาวบ้านได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล และมีมติที่ประชุมในการแก้ไขปัญหาให้ลงมาร่วมกันรับผิดชอบ

นอกจากนี้ ชาวบ้านร่วมกันพลิกพื้นผืนดินให้สมบูรณ์ด้วยการคิดค้นแนวทางจัดการที่ดินไปสู่วิถีชีวิตเกษตรกรรมอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจต่อสังคมว่าพืชเศรษฐกิจเช่นไม้ยูคาฯ ที่รัฐนำเข้ามาปลูกนั้น ไม่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสวนป่ายูคาฯ ของ อ.อ.ป. นอกจากเป็นการไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่แล้ว ไม้ยูคาฯ ยังได้ลำลายสภาพแวดล้อม ส่งผลความเสียหายต่อผืนดินอันอุดมสมบูรณ์เกิดการเสื่อมโทรม ซึ่งจะเห็นว่ามีความแตกต่างกันมากกับการผลิตของชาวบ้านที่ร่วมกันรักษาสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการผลิตของชาวบ้านยังสามารถพึ่งตนเองในระดับครอบครัว โดยไม่ต้องพึ่งแหล่งอาหารจากภายนอก มีบางรายที่สามารถขายเป็นรายได้ในครัวเรือน จำพวกกล้วย ตะไคร้ งา ถั่วแดง ข้าวโพด และพืชผักบางชนิด เป็นต้น

เหล่านี้ถือเป็นความก้าวหน้าของชาวบ้าน ที่ลุกขึ้นมาปฏิรูปที่ดินโดยไม่ได้ยึดติดกับการถือครองที่ดินแต่เพียงอย่างเดียว แต่มีการดำเนินวิถีชีวิตการผลิต คือการทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นบนเส้นทางการสร้างความยั่งยืนให้ผืนดิน ที่มีผลต่อการมีสุขภาพร่างกายที่ดี และการสร้างความมั่นคงในอาหารให้กับสังคม

แต่ทั้งนี้ ในข้อเท็จจริงกรณีปัญหาข้อพิพาทสวนป่าคอนสาร ชาวบ้านได้ต่อสู้เรียกร้องสิทธิในที่ดินทำกินมายาวนาน มีการคุยกันในระดับนโยบายมาหลายรัฐบาล 

แต่การดำเนินงานแก้ไขปัญหาของหน่วยงานรัฐที่เพิกเฉย และการดำเนินงานเป็นไปด้วยความล่าช้า และไม่มีความต่อเนื่อง ส่งผลให้การกลับเข้ามายังที่ดินทำกินเดิม จนนำไปสู่การที่ อ.อ.ป.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องดำเนินคดีชาวบ้าน ในข้อหาบุกรุก จำนวน 31 คน เมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้ชาวบ้านได้แสดงหลักฐาน กระทั่งไปขุดเอากระดูกบรรพบุรุษของพ่อ ของแม่ รวมทั้งเอาเอกสารทุกอย่างมายืนยัน แต่ทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ รวมทั้งศาลฏีกา พิพากษาว่าชาวบ้านมีความผิดในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า

และนี่คือผลกระทบของชาวบ้านบ่อแก้ว ถือเป็นความอยุติธรรม แทนที่รัฐบาลควรจะตัดสินให้เป็นที่ยุติต่อในกระบวนการแก้ไขปัญหาทางนโยบาย ตามมติที่ได้ร่วมแก้ไขปัญหา แต่กลับเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ต่อเนื่อง  และเพิกเฉยต่อแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้มีมติในที่ประชุมร่วมกัน

กระทั่งมาถึงสถานการณ์เมื่อวันที่ 26 ก.ค.2562 ชาวบ้านชุมชนบ่อแก้ว ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตำรวจ สนธิกำลังเข้ามาปิดหมายบังคับคดี และมีคำสั่งให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่ภายในวันที่ 27 ส.ค.2562

การเดินทางของชาวบ้าน ชุมชนบ่อแก้ว ต.ทุ่งพระ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เรื่องราวการต่อสู้ในที่ดินที่ทำกินของชาวบ้าน การจัดการป่า โดยชุมชนอย่างยั่งยืน ความเป็นมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและความอยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดิน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://1th.me/B3Cd

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net