Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ความเข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยมีนัยหนึ่งที่สำคัญคือ ความคิดในการเขียนประวัติศาสตร์ แม้จะมีบางฝ่ายพยายามที่จะทวนคืนประวัติศาสตร์ก็ตาม ประวัติศาสตร์จึงไม่ตาย กลับโลดแล่น พลิกผัน เกิดใหม่ แปลงร่าง พรางกายอย่างพิสดารพันลึก นักเรียนประวัติศาสตร์ต่างเฝ้ามองมันอย่างพินิจ พิเคราะห์ และหาคำอธิบาย "ความเปลี่ยนแปลง" อย่างใจจดจ่อ แต่กระนั้นเราไม่อาจอธิบายทั้งโลกได้อย่างที่มันเป็น แต่เราอธิบายภายใต้ "สิ่งที่เราเป็น" หรือว่า "นักเรียนประวัติศาสตร์" อธิบาย "อดีต" (1) เป็นเรื่องที่เหมือนเกี่ยวกับเรา (2) หรือเพื่อเข้าใจในสิ่งที่แตกต่างจากที่เราเป็น[1] การผลิตสร้างประวัติศาสตร์ในสังคมไทยเกิดภายใต้ความคิดประวัติศาสตร์ 3 กระแสด้วยกัน

 

ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม

ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม[2] ถือเอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นแก่นแกนในการอธิบายประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์สกุลนี้มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยชนชั้นนำให้ความสนใจต่อประวัติศาสตร์ภายใต้บริบทของการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้เกิดการรวบรวมประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นต่างๆ รวมถึงประวัติศาสตร์ประเทศเพื่อนบ้านอย่างละเอียด การกลับมาค้นหาตัวตน หรือการให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ของคนในยุคนี้เกิดจากวิกฤติอัตลักษณ์ว่า “ฉันคือใคร และฉันจะอยู่ในโลกยุคใหม่นี้ได้อย่างไร?”[3]  รวมถึงการใช้ประวัติศาสตร์เพื่อยืนยันสิทธิเหนือดินแดนที่ผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม คือ ล้านนา และภาคอีสาน ความสนใจในประวัติศาสตร์ในสมัยรัชกาลที่ 5 แม้ว่าต่อมาภายหลังในช่วงรัชกาลที่ 6 จะเกิดความซบเซาของการศึกษาประวัติศาสตร์ เนื่องด้วยวิกฤติอัตลักษณ์ของชนชั้นนำได้บรรเทาเบาบางลง[4] แต่ในรัชสมัยนี้มีความมุ่งหมายในการใช้ประวัติศาสตร์เพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้าง “ชาติ” “ชาติ” ที่มีกษัตริย์เป็นแก่นแกน หรือผู้นำ เป็นผู้ผลักวิถีประวัติศาสตร์ เพื่อตอบสนองต่อความไม่มั่นคงในสถานะของรัชกาลที่ 6 ที่เกิดความแตกแยกในกลุ่มเจ้านาย และเกิดการเปรียบเทียบรัชสมัยของพระองค์ และพระบิดา (รัชกาลที่ 5) ยุคนี้จึงได้เกิดแนวคิดชาตินิยม “ไทย” เป็นใหญ่ภายใต้วาทะที่สำคัญที่เป็นหัวใจของชาติว่า “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” และเบียดขับคนกลุ่มกลุ่มอื่นที่ไม่ยอมเป็น “ไทย” ให้เป็นอื่น  เช่น คนจีน เป็นต้น

จังหวะต่อมาที่มีการใช้ประวัติศาสตร์เพื่อสร้าง “ชาติ” ที่สำคัญ คือ ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม (ช่วงทศวรรษที่ 2480) มีการใช้ประวัติศาสตร์สร้าง “ชาติ” โดยในยุคนี้ถือว่าเป็นยุค “ชาตินิยม” เพื่อนำไทยสู่อารยะ มีการออก “รัฐนิยม” เพื่อให้ราษฎรปฏิบัติ ทั้งการใส่หมวก ห้ามกินหมาก[5] รวมถึงมีการสร้างความเป็นไทยผ่านประวัติศาสตร์ วรรณกรรม นิยาย ละคร เพื่อสร้างมหาอาณาจักรไทย โดยมีปัญญาชนที่สำคัญ คือ หลวงวิจิตรวาทการ โดยแก่นแกนสำคัญของชาตินิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็คือ “ผู้นำ” เป็นผู้นำที่เป็น “สามัญชน” มิใช่ผู้นำที่เป็นกษัตริย์ดั่งเช่นรัชกาลที่ 6 เน้น เนื่องด้วยจอมพล ป. เป็นผู้ก่อการที่สำคัญในการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประวัติศาสตร์ในสมัยนี้ลดบทบาทและพื้นที่ของพระมหากษัตริย์ลง และเพิ่มพื้นที่ให้แก่ผู้นำที่เป็นสามัญชน[6] เช่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังคำขวัญว่า “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” แต่อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ชาตินิยมทำนองนี้ก็ไม่มีพื้นที่ให้แก่คนตัวเล็กตัวน้อยและท้องถิ่นอื่นนอกศูนย์กลางในประวัติศาสตร์

จังหวะต่อมาที่สำคัญของกระแสประวัติศาสตร์ชาตินิยม หรือราชาชาตินิยม คือ หลังทศวรรษที่ 2500 -ปัจจุบัน เป็นยุคแห่งการพัฒนาและต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในยุคนี้ได้นำแนวคิด “ราชาชาตินิยม”[7] มาเป็นอุดมการณ์ในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ และสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐบาลเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ภายใต้บริบทของการยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารที่ขาดความชอบธรรมจากสังคม และนานาชาติ วิธีการหนึ่งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ใช้ คือ การอ้างความชอบธรรมของสถาบันกษัตริย์ ที่ถูกลดบทบาทในช่วงจอมพล ป. พิบูลสงครามมีอำนาจ(พ.ศ. 2490-2500)

อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” เป็นอุดมการณ์ที่เริ่มก่อตัวขึ้นภายหลังจากรัชกาลที่ 9 ทรงกลับมาประทับในประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ 2490 แต่บทบาทของพระองค์ก็ไม่ได้รับความสำคัญจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามมากนัก เพราะในสมัยจอมพล ป. เป็นยุคที่เน้นผู้นำที่เป็นสามัญชน แม้ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 จะทรงพระกรณียกิจก็เป็นแต่เพียงงานทางด้านพิธีการ แต่พระองค์ทรงได้ความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก เห็นได้จากการเสด็จพระราชดำเนินตามผู้ภูมิภาคต่างๆ มีผู้คนมาเฝ้ารับเสด็จเป็นจำนวนมาก และหลังจากเสด็จพระราชดำเนินในภาคอีสานรัฐบาลก็ไม่สนับสนุนในพระกรณียกิจนี้อีกต่อไป เพราะเกรงว่าสถานะของรัฐบาลจะสั่นคลอน รวมถึงเกรงว่าพระองค์จะทรงมีบทบาทนำเหนือจอมพล ป. พิบูลสงคราม[8]

อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” เป็นอุดมการณ์ที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ เป็น “หัวใจของชาติ” เป็นผู้นำทางด้านศีลธรรม คุณธรรม พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้มีลำดับชั้นสูงสุดในสังคมไทย เป็นผู้คอยถวายคำแนะนำให้แก่ผู้นำ เพราะฉะนั้นประชาชนไม่ต้องคอยตรวจสอบถ่วงดุลผู้นำ เพราะผู้นำมีคุณธรรมและศีลธรรมอยู่แล้ว รวมถึงได้รับคำแนะนำจากกษัตริย์ด้วย จากอุดมการณ์ข้างต้นทำให้อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” ตอบสนองต่อการปกครองระบอบเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในสมัยจอมพลสฤษดิ์  ได้สร้างเสริมพระบารมีให้แก่สถาบันกษัตริย์เป็นอย่างมาก เช่น การส่งเสริมให้เสด็จประพาสยังต่างประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ ซึ่งการเสด็จประพาสต่างประเทศสร้างความประทับใจให้แก่ประเทศไทย ประชาชนไทย และรัฐบาลไทย รวมทั้งหันเหความสนใจของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐบาล และลดคำวิจารณ์ของชาวต่างชาติต่อรัฐบาลเผด็จการของไทย[9]

นอกจากนี้จอมพลสฤษดิ์ ยังได้เปลี่ยนแปลงวันชาติจากวันที่ 24  มิถุนายน ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรืออีกนัยยะหนึ่งคือตัวแทนคณะราษฎรได้กำหนดไว้ในปี พ.ศ. 2481 มาเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมแทน ในปี พ.ศ. 2503 รวมถึงรื้อฟื้นสถานภาพและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ เช่น การเสด็จพยุหยาตราทางชลมารค งานเฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ[10] เป็นต้น รวมถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่กระทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย เช่น โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ[11] หรือทรงระงับวิกฤติในสังคมไทยหลายครั้ง เช่น 14 ตุลาคม 2516 หรือ พฤษภาคม 2535 ทำให้พระบารมีของพระองค์ทรง “สถิต” ในใจราษฎร ทำให้อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” ฝังลึกในสังคมไทย และมีผลต่อการเขียนประวัติศาสตร์ให้มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์

แม้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้จะเกิดแนวทางการเขียนประวัติศาสตร์แนวอื่น เช่น ท้องถิ่นนิยม(หลัง พ.ศ. 2526) ประวัติศาสตร์แนวสังคมนิยม แต่ก็ไม่ทรงพลังเท่าประวัติศาสตร์แบบ “ราชาชาตินิยม” ที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลักที่ครอบงำการรับรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย และคงอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน
 

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนิยม

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนิยม เป็นประวัติศาสตร์กระแสใหม่ที่เกิดในทศวรรษที่ 2520  เป็นประวัติศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับสังคม ความเป็นมาของผู้คนในท้องถิ่นเดียวกัน ทั้งด้านประเพณี ความเชื่อ และความทรงจำ โดยถือเอาท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการอธิบายประวัติศาสตร์ เกิดภายใต้ความเปลี่ยนแปรสำนึกทางประวัติศาสตร์ หลังการปฏิวัติของนักศึกษาประชาชนในปี พ.ศ. 2516 ที่หันมาให้ความสนใจในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น[12] ทำให้มีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นต่างๆ มากขึ้น รวมถึงการจัดสัมมนาประวัติศาสตร์ของวิทยาลัยครูในท้องถิ่นต่างๆ ในช่วงทศวรรษที่ 2520 ทำให้เกิดความตื่นตัวของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากขึ้น ดูได้จากงานวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ปริศนา ศิรินาม เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและประเทศราชในหัวเมืองลานนาไทย สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในปี พ.ศ. 2516  ชมัยโฉม สุนทรสวัสดิ์ เรื่อง การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกิจการป่าไม้ทางภาคเหนือของไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2439 ถึง พ.ศ. 2475 ในปี พ.ศ. 2521 ชูสิทธ์ ชูชาติ เรื่อง วิวัฒนาการเศรษฐกิจหมู่บ้านในภาคเหนือของประเทศไทย (พ.ศ.2394-2475) ในปี พ.ศ. 2523 สรัสวดี ประยูรเสถียร เรื่อง การปฏิรูปการปกครองมณฑลพายัพ (พ.ศ. 2436-2476) ในปี พ.ศ. 2522 เป็นต้น ที่หันมาศึกษาเรื่องราวในท้องถิ่นอื่นๆ นอกเหนือจากประวัติศาสตร์รัฐราชาธิราชในลุ่มน้ำเจ้าพระยา

แต่อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์สกุลท้องถิ่นนี้ในช่วงแรกเป็นแต่การสนใจ และขับเคลื่อนจากสถาบันการศึกษามิได้เกิดจากความตื่นตัวของท้องถิ่นอย่างแท้จริง และการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในสกุลนี้ก็มีความหลากหลายทั้ง ศึกษาท้องถิ่นในฐานะส่วนหนึ่งของศูนย์กลาง หรือหาตัวตนของท้องถิ่น ไม่เพียงแต่การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคเหนือเท่านั้น การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคอื่นๆ ก็มีจำนวนมากด้วยเช่นกัน[13] เช่นงานคลาสสิค 2 ชิ้นของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ก็ผลิตในยุคนี้ คือ จากรัฐชายขอบถึงมณฑลเทศาภิบาล : ความเสื่อมสลายของกลุ่มอำนาจเดิมในภูเก็ต (2528) และ นครศรีธรรมราชในอาณาจักรอยุธยา รวมถึงการปริวรรคเอกสารในท้องถิ่น เช่น ตำนานพระยาเจือง (2524) กฎหมายมังรายศาสตร์ (2528) หัตถกัมมวินิจฉัยบาฬีฎีกาสมมุติราช (2527) เป็นต้น จะเห็นว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นทำให้ผู้คนในท้องถิ่นตระหนักในประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเองมากขึ้น จนทำให้เกิดการศึกษาประวัติศาสตร์ในสกุล “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น(นิยม)” ความตื่นตัวของการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในช่วงทศวรรษที่ 2520 เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในภูมิภาคต่างๆ

แต่อย่างไรก็ตามความเฟื่องฟูของสกุล “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น” มาได้รับความสนใจอย่างจริงจังภายหลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. 2540 ที่มีหลายมาตราเอื้อต่อการสร้างสำนึกท้องถิ่นนิยม เช่น มาตราที่ 46 ที่กำหนดให้ “บุคคลที่รวมตัวกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั่งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณีภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ...”[14] และมาตราที่ 56 “สิทธิของบุคคลที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการบำรุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครอง ส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้อยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่อง...”[15] โดยเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้เข้ามาจัดการทรัพยากรในท้องถิ่นมากขึ้น ดังปรากฏในงานวิจัยประวัติศาสตร์ชุมชนของกลุ่มอาจารย์อรรถจักร สัตยานุรักษ์ ที่ได้เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมในการวิจัยทางประวัติศาสตร์[16] รวมถึงเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร นอกจาก 2 มาตราข้างต้นแล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 ยังได้กำหนดบทบัญญัติในการเข้าถึงทรัพยากรของท้องถิ่นในมาตรา 79 ,84[17] ที่ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนและท้องถิ่นมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับอื่น

ภายใต้บริบทที่เอื้อต่อการสร้าง รื้อฟื้น ประวัติศาสตร์และความทรงจำท้องถิ่นเช่นนี้นำมาสู่การสร้างประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นต่างๆอย่างกว้างขวาง ในภูมิภาคต่างๆ กอปรกับในปี พ.ศ. 2539 เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ทรงครองราชย์ครบ 50 ปี จึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองต่างๆ เช่น งานฉลองเชียงใหม่ 700 ปี การสร้างอนุสาวรีย์พญาพลเมืองแพร่ เป็นต้น การสร้างอนุสาวรีย์ และหนังสืออนุสรณ์จึงเฟื่องฟูภายใต้บริบทของความเป็นปีมหามงคล และการเฉลิมฉลอง

 

ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม

 ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม คือ การผสมระหว่างประวัติศาสตร์ชาตินิยม และท้องถิ่นนิยมเกิดในราวทศวรรษที่ 2530 ภายใต้อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม”ทรงพลังสูงสุด ทำให้พลังท้องถิ่นนิยมอย่างเดียวไม่มีพลังในการจัดตำแหน่งแห่งที่แก่ท้องถิ่น จึงได้เกิดประวัติศาสตร์แบบ “ท้องถิ่นชาตินิยม” โดยเป็นการอธิบายประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ชาติเนื่องด้วยประวัติศาสตร์ชาตินิยมกระแสหลักทรงอิทธิพลจนทำให้การอธิบายประวัติศาสตร์จากมุมมองของท้องถิ่นไม่มีตำแหน่งแห่งที่ในประวัติศาสตร์ จึงต้องอธิบายประวัติศาสตร์ท้องถิ่นให้เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติเพื่อให้มีตำแหน่งแห่งที่ในประวัติศาสตร์ การสร้างประวัติศาสตร์เมืองแพร่ที่ไม่มีความชัดเจนถึงที่มาที่ไปจึงเอื้อต่อการสร้างประวัติศาสตร์เมืองแพร่ในโครงเรื่องต่างๆของคนหลากหลายกลุ่มเพื่อจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของเมืองแพร่ในหน้าประวัติศาสตร์ และจะเห็นว่าประวัติศาสตร์เมืองแพร่ที่สร้างในสมัยหลังขาหนึ่งวางอยู่บนการหาตัวตนของท้องถิ่น แต่ขาอีกข้างกลับวางอยู่บนอุดมการณ์ราชาชาตินิยม ซึ่งแสดงให้เห็นการผสมทั้งลงตัว และลักลั่นระหว่างประวัติศาสตร์ท้องถิ่นนิยมและอุดมการณ์ราชาชาตินิยม จึงเกิดเป็นกระแสที่ 3 คือ “ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นชาตินิยม”


การเกิดการเขียนประวัติศาสตร์ภายใต้อุดมการณ์ “ราชาชาตินิยม” “ท้องถิ่นนิยม” และ “ท้องถิ่นชาตินิยม” เป็นการเขียนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย แตกต่างกันเพียงกระแสประวัติศาสตร์แบบใดจะมีอิทธิพลมากกว่ากันในบริบทของเวลา แต่กระนั้นประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมดูจะสามารถสถาปนาอำนาจนำเป็นประวัติศาสตร์ที่ครอบงำประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ ที่มีสถานะเป็นแค่เชิงอรรถของราชา และชาติเท่านั้น

 

 

อ้างอิง

[1] ไชยันต์ รัชชกูล. การรับรู้และการทำความเข้าใจอดีต. กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. 2549. และดูเพิ่มใน, ไชยันต์ รัชชกูล. ปั้นอดีตเป็นตัว. กรุงเทพฯ : อ่าน. 2557. และ อาร์โนลด์, จอห์น เอช. ; ไชยันต์ รัชชกูล, แปล. ประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : อ่าน. 2560.

[2] ในสมัยหลังนิยมเรียกว่า ประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยม เป็นแนวคิดเสนอโดยธงชัย วินิจกูล ที่แสดงให้เห็นถึงพลังของอุดมการณ์ที่ถือเอาพระมหากษัตริย์เป็นผู้ผลักวิธีการพัฒนา ในที่นี้จะขอเรียกว่าประวัติศาสตร์ชาตินิยมเพื่อสอดคล้องกลับประวัติศาสตร์สกุลท้องถิ่นชาตินิยม ดูข้อถกเถียงนี้เพิ่มใน ธงชัย วินิจจะกูล. ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย : ว่าด้วยประวัคิศาสตร์นอกขนบและวิธีวิทยาทางเลือก. นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน. 2562.

[3] นิธิ เอียวศรีวงศ์. 200 ปี ของการศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และทางข้างหน้า. ใน กรุงแตกพระเจ้าตากฯและประวัติศาสตร์ไทย ว่าด้วยประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์นิพนธ์. กรุงเทพฯ : มติชน. 2550, หน้า 3-39.

[4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 20-26.

[5] ดูรายละเอียดในงานวิจัยของอาจารย์สายชล สัตยานุรักษ์ ในโครงการ ประวัติศาสตร์วิธีคิดเกี่ยวกับสังคม และวัฒนธรรมไทยของปัญญาชน พ.ศ. 2435-2535” ที่ได้วิเคราะห์การสร้าง ชาติไทย และ ความเป็นไทย ของปัญญาชนที่สำคัญในสังคมไทย เช่น สมเด็จฯกรมดำรงราชานุภาพ หลวงวิจิตรวาทการ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช พระยาอนุมานราชธน ฯลฯ ที่ได้สถาปนา สัจจะ” “ความจริง ที่ครอบงำสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน

[6] ดูเพิ่มใน, นครินทร์ เมฆไตรรัตน์. การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475.  กรุงเทพฯ : อมรินทร์. 2546.

[7] เป็นแนวคิดที่เสนอโดย ธงชัย วินิจกูล ในทศวรรษที่ 2540 เป็นการสร้างคำ เพื่ออธิบายแนวคิด ชาตินิยม และ กษัตริย์ ภายใต้ความแข็งแกร่งของอุดมการณ์ ราชาชาตินิยม ภายใต้การสั่งสมบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีอิทธิพลต่อกาศึกษาประวัติศาสตร์และศาสตร์สาขาอื่นๆ ในสายมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ เป็นแนวคิดที่แสดงให้เห็นบทบาทของกษัตริย์ และสถาบันกษัตริย์ ต่อสังคมไทย ดูเพิ่มใน,ธงชัย วินิจจะกูล . ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม จากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยม ใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยในปัจจุบัน. ศิลปวัฒนธรรม, 23 : 1(พฤษจิกายน) 2544.

[8] ชนิดา ชิตบัณฑิต. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ : การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2550, หน้า 58-87.

[9] ทักษ์ เฉลิมเตียรณ. การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. 2548, หน้า 255-259.

[10] ดูเพิ่มใน, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล. ประวัติศาสตร์วันชาติไทย จาก 24 มิถุนา ถึง 5 ธันวา. ใน ฟ้าเดียวกัน, 2 : 2(เมษายน-มิถุนายน 2547) : 70-121.

[11] ดูรายละเอียดได้ในงานของชนิด ชิตบัณฑิต, เพิ่งอ้าง.

[12] ดูเพิ่มใน, ยงยุทธ ชูแว่น. โครงการประมวลวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เพื่อเขียนตำรา เรื่องการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นไทย. สำนักงานส่งเสริมการวิจัย, 2548.

[13] ดูเพิ่มใน, เรื่องเดียวกัน.

[14] สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540. กรุงเทพฯ : การศาสนา. 2542, หน้า 15.

[15] เรื่องเดียวกัน, หน้า 19.

[16] ดูเพิ่มใน, อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ . ประวัติศาสตร์เพื่อชุมชนทิศทางใหม่ของการศึกษาประวัติศาสตร์ . กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุน

สนับสนุนการวิจัย, 2548.

[17] สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติฯ. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ , หน้า 24 และ  25.

 

หมายเหตุ: ส่วนหนึ่งของบทความนี้เคยตีพิมพ์ในเว็บไซต์หนึ่ง แต่ได้ปิดไปในเวลาต่อมา ผู้เขียนคิดว่างานชิ้นนี้พอมีประโยชน์อยู่บ้าง จึงได้นำมาปรับปรุงและเผยแพร่ใหม่

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net