Skip to main content
sharethis

'ธีรัจชัย ก้าวไกล' เปิดข้อมูลขบวนการแทรกแซงคดี 'บอส อยู่วิทยา' ทำลายระบบยุติธรรมไทย มีเอี่ยวกันตั้งแต่ตำรวจทำคดียัน 'ประยุทธ์-ประวิตร' จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคนในขบวนการแทรกแซงถูกลงโทษ

 

17 ก.พ.2564 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า วานนี้ (16 ก.พ.2564) ที่รัฐสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เน้นไปที่ประเด็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากคดีที่วรยุทธ อยู่วิทยา หรือ ‘บอส กระทิงแดง’ ตกเป็นผู้ต้องหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สน.ทองหล่อ ถึงแก่ความตาย เหตุเกิดเมื่อปี 2555 แต่จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเอาคนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดมาลงโทษได้

ธีรัจชัย พันธุมาศ

ธีรัจชัย พันธุมาศ

แม้ต่อมาคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่มี วิชา มหาคุณ เป็นประธาน จะได้สรุปข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า "มีความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยานและบุคคลทั่วไป ในการเข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเริ่มดำเนินคดี จนถึงปัจจุบัน โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และสร้างพยานหลักฐานเป็นเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการดำเนินคดี ตามกฎหมาย” แต่ทว่าก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใดๆ  

ธีรัจชัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นคดีที่โด่งดัง ได้รับความสนใจจากประชาชนคนไทยและคนทั่วโลก กองพิสูจน์หลักฐานส่งผลตรวจความเร็วของรถผู้ต้องหาที่ขับชน 177 กม./ชม.  ซึ่งตามกฎหมายต้องไม่เกิน 80 กม./ชม. โดยตำรวจสั่งฟ้องวรยุทธด้วยข้อหา

1.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย
2.ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
3.ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล

เมื่อส่งเรื่องให้อัยการ มีการสั่งฟ้องทั้ง 3 ข้อหาตามที่ตำรวจส่งเรื่องมา แต่เพิ่มข้อหาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดด้วย ซึ่งขัดแย้งกับความเห็นสั่งไม่ฟ้องของตำรวจ ทั้งนี้ คดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนเพราะ ผู้ต้องหาเป็นทายาทมหาเศรษฐีระดับโลก ที่ขับรถด้วยความเร็วถึง 177 กม./ชม.ใจกลางเมืองจนชนคนแล้วลากร่างไปกับรถโดยไม่ช่วยเหลือ อีกทั้งยังให้ผู้อื่นมารับรับผิดแทนรวมถึงการสร้างหลักฐานเท็จยัดเยียดความผิดให้กับผู้เสียชีวิตอีก และไม่มีการตรวจหาแอลกอฮอล์อย่างทันท่วงที สุดท้ายผู้ต้องหายังหนีไปต่างประเทศอีก

ธีรัจชัย กล่าวว่า คดีนี้มีจุดพลิกผันหลัง คสช.ทำรัฐประหารปี 2557 โดยหลังยึดอำนาจแล้ว คสช.ได้ ตั้งสภานิติบัญญัติ (สนช.) ขึ้นมา และมีคณะกรรมาธิการของ สนช. คือ กมธ.การกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม โดย กมธ.ชุดนี้ล้วนมีแต่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ ประวิตร อาทิ 1.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายของ พล.อ.ประวิตร เป็นประธาน กมธ., 2.พล.ต.อ.พัชรวาท อดีต ผบ.ตร. น้องชายของ พล.อ.ประวิตร, 3.พล.ต.ท.วิบูลย์  บางท่าไม้ น้องเขย พล.อ.ประยุทธ์, 4.พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ยุค คสช. ซึ่งแต่งตั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์  และ 5.พล.ต.อ.จักรทิพย์  ชัยจินดา  อดีต ผบ.ตร.  ซึ่งได้รับเสนอชื่อให้เป็น ผบ.ตร. โดย พล.ต.อ.สมยศ และได้รับความเห็นชอบโดย พล.อ.ประวิตรวงษ์ ซึ่งเป็นประธานที่ประชุม ก.ตร. ในการแต่งตั้ง

"นับตั้งแต่อัยการสั่งฟ้องคดี นายวรยุทธได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรม ขอให้พิจารณาหลักฐานและพยานใหม่นับ 10 ครั้ง แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ พนักงานอัยการได้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมทุกครั้ง จนวันที่ 4 พ.ค.2559 นายวรยุทธให้ทนายความมายื่นขอความเป็นธรรมต่อ กมธ.การกฎหมายฯ ในประเด็นที่รองอัยการสูงสุด น.ส.นิภาพร รุจนรงศ์ ไม่นำเอาคำให้การใหม่ของ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ที่เปลี่ยนความเร็วรถวันเกิดเหตุ จาก 177 กม./ชม. มาเป็น 79.23 กม./ชม. มาพิจารณา โดยนายวรยุทธขอให้ กมธ.พิจารณาว่าการกระทำของรองอัยการสูงสุดมิชอบด้วยกฎหมาย และขอให้เรียกรองอัยการสูงสุดและผู้เกี่ยวข้องอีกหลายรายมาสอบ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาสอบข้อเท็จจริง กลับไม่มีการเรียกคนที่ถูกร้องมาสอบในประเด็นที่ร้องขอความเป็นธรรม แต่กลับเรียกพยานอื่นมาสอบเพิ่มเติมเต็มไปหมด โดยเป็นการสอบข้อเท็จจริงใน  2 ประเด็นหลัก 1. คือเรื่องความเร็วรถไม่ใช่ 177 แต่เป็น 79.23 กม./ชม.  และ 2.เรื่อง ด.ต.วิเชียรขับรถตัดหน้าโดยประมาทเอง" ธีรัจชัย กล่าว

ธีรัจชัย กล่าวว่า เอกสารที่ถูกนำเข้า กมธ.การกฎหมายฯ สนช. เป็นรายงานหนาเกือบ 100 หน้า ไม่เกี่ยวกับการศึกษาการปฏิบัติหน้าที่ของรองอัยการสูงสุดตามที่ร้องขอความเป็นธรรม แต่ดูแล้วเหมือนเป็นการเอา กมธ. เป็นกลไกเพิ่มพยานหลักฐาน แก้ต่างเรื่องความเร็วรถกับเรื่อง ด.ต.วิเชียรขับรถตัดหน้าโดยประมาทเองมากกว่า โดยเรื่องความเร็วรถ ได้มีการทำหนังสือถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือขอความอนุเคราะห์มอบหมายผู้เชี่ยวชาญมาให้ตรวจความเสียหายวัดความเร็วรถยนต์  คือ รศ.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม เจ้าของทฤษฎีความเร็วรถ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 

ส่วนเรื่อง ด.ต.วิเชียร ขี่รถจักยานยนต์ตัดหน้าเองโดยประมาทมีการนำพยาน 2 คนมาให้ข้อเท็จจริงต่อคณะทำงานของ กมธ. เมื่อวันที่ 4 ส.ค.2559 ห่างจากวันเกิดเหตุถึง 4 ปี  โดยอ้างว่าขับรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ รุ่น 230 อี สีขาว อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ ขับตามหลังดาบวิเชียรในระยะประมาณ 10 เมตร และทั้งสองเห็นว่า ด.ต.วิเชียรขับรถปาดหน้าวรยุทธ แต่จากการดูคลิปในที่เกิดเหตุไม่ว่ากี่เที่ยวก็ไม่ปรากฏรถเบนซ์ขับตามที่กล่าวอ้าง

กดดัน พฐ.เปลี่ยนความเร็วรถ

ธีรัจชัย กล่าวว่า ยังมีอีกหนึ่งกลไกที่เกิดขึ้นก่อนเรื่องเข้าสู่ กมธ.การกฎหมายฯ สนช. เพื่อเปลี่ยนหลักฐานหลายครั้งในเรื่องความเร็วรถจาก 177 กม./ชม. เหลือไม่เกินตามกฎหมายกำหนดคือ 80 กม./ชม. เพราะนี่เป็นประเด็นพลิกผันสำคัญของคดี ที่ทำให้มีโอกาสที่จะรอดจากการสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการยาก  แต่พนักงานอัยการไม่รับฟัง

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ในระหว่างการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ 9 ต่ออัยการ เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2559 พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ แตงจั่น จากกองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่งทำรายงาน 177 กม./ชม. เพิ่มเติม ซึ่งมีความบังเอิญที่แปลกมากเกิดขึ้น โดยต่อมาตนเองได้สอบสวนด้วยตัวเองเมื่อครั้งเรื่องเข้าสู่กรรมาธิการ ปปช. สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน มีการให้การตรงกันหลายปาก รวมถึง พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานด้วยว่า พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.ซึ่งเป็น กมธ.การกฎหมายฯ สนช. ในตอนนั้น ได้ไปพบกับ พล.ต.ท.มนู พร้อมกับ รศ.สายประสิทธิ์ คนที่ต่อมา กมธ.การกฎหมายฯ สนช. ที่มี พล.ต.อ.สมยศ นั่งอยู่เรียกเข้าไปให้ข้อมูลเรื่องความเร็ว

"พล.ต.อ.สมยศ เข้าไปในกองพิสูจน์หลักฐาน มีสถานะอดีต ผบ.ตร. ติดไปด้วย และบังเอิญ พล.ต.ท.มนู ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน เคยเป็นหน้าห้อง พล ต.อ.สมยศ และบังเอิญ รศ.สายประสิทธิ์ ไปอธิบายเรื่องความเร็วรถนายวรยุทธว่าคำนวณได้ 79.23 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตรงข้ามกับที่ พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ และกองพิสูจน์หลักฐาน ได้คำนวณไว้ ผมว่าถ้าท่านเป็น พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ท่านจะกล้ามีความเห็นขัดแย้งกับอดีต ผบ.ตร. และผู้เชี่ยวชาญที่มากับอดีต ผบ.ตร. หรือไม่ จึงไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายในวันนั้น พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ ยอมให้การต่อพนักงานสอบสวน ยอมเปลี่ยนความเร็วรถจาก 177 กม./ชม.  เป็น 79.23  กม./ชม. ซึ่งขัดแย้งกับรายงานของกองพิสูจน์หลักฐาน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องให้รายละเอียดต่อ กมธ.  พ.ต.ท. ธนะสิทธิ์ ต้องการยืนยันว่าการคำนวณในตอนแรกของกองพิสูจน์หลักฐานที่ได้ความเร็ว 177 กม./ชม. ว่าถูกต้องแล้ว  แม้จะถูกเรียกมาถึงหน้าห้องคณะทำงานของ กมธ.แล้ว แต่กลับไม่ได้เข้าไปให้การ  ซึ่งเรื่องนี้ ผมเป็นคนสอบข้อเท็จจริง พ.ต.ท. ธนสิทธิ์เอง ตอนเรื่องนี้เข้าสู่กรรมาธิการ ปปช .สภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันซึ่งผมทำหน้าที่อยู่ และเขายืนยันว่าเขาไม่ได้ถูกเรียกเข้าห้องไปให้การ ทั้งที่ได้รับเชิญมาให้ข้อมูล" นายธีรัจชัย กล่าว

ธีรัจชัย กล่าวด้วยว่า นี่อาจเป็นเหตุให้ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา มีการนำเรื่องนี้เข้าสู่  กมธ.การกฎหมายฯ สนช. เพื่อพยายามยัดหลักฐานเข้าสู่การพิจารณาคดีให้ได้ เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่รายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่นายวิชาเป็นประธาน ยืนยันว่าเป็นหลักฐานว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธจริง ทั้งนี้ สิ่งที่ กมธ.การกฎหมายฯ สนช.ทำ คือการสรุปรายงานที่มีการระบุพยานหลักฐานใหม่อันเป็นคุณกับนายวรยุทธส่งให้พนักงานอัยการ

เรื่องนี้แม้แต่สมาชิก กมธ.ในชุดเดียวกันหลายคนก็ยังคัดค้านว่าไม่เหมาะสม เช่น ศ.พิเศษ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง ทักท้วงรายงานดังกล่าวว่า เป็นการแสดงหลักฐานสำคัญที่หักล้างคำสั่งฟ้องเดิมได้ เป็นความเห็นที่ฟันธง ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะออกไปจาก กมธ. แต่อย่างไรก็ตาม พล.ร.อ.ศิษฐวัชร ประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร ก็ยืนยันที่จะส่งรายงานนี้ให้พนักงานอัยการ และ พล.ต.ท.วิบูลย์  น้องเขย พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของพลเอกประยุทธ์

หนึ่งใน กมธ. ก็ยืนยันสนับสนุนเต็มที่ให้ส่งรายงานให้กับพนักงานอัยการ จนสุดท้าย 22 ธ.ค.2559 มีมติส่งรายงานคดีนายวรยุทธอยู่วิทยาไปยังสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้และสำนักงานอัยการสูงสุด และมีการร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายครั้ง แต่โชคดีที่อัยการสูงสุดไม่เล่นด้วย รายงานนี้จึงถูกดองอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกลับมามีบทบาทในการพลิกคดีในอีกไม่นานต่อมา

ย้ายตำรวจที่ขอออกหมายแดง Interpol ตามตัว "บอส อยู่วิทยา"

ธีรัจชัย กล่าวว่า การร้องขอความเป็นธรรมของวรยุทธต่อพนักงานอัยการรวมตั้งแต่ต้นแล้วถึง 13 ครั้ง แต่โชคดีที่อัยการสูงสุดและรองในขณะนั้นไม่เล่นด้วย  ทำให้รายงาน กมธ.ฉบับยัดหลักฐานใหม่ยังไม่ถูกนำมาใช้ อัยการได้เรียกตัว วรยุทธมาเพื่อนำตัวไปส่งฟ้องต่อศาลในวันที่ 27 เม.ย.2560 แต่วรยุทธได้ออกนอกประเทศตั้งแต่วันที่ 25 เม.ย.2560 ก่อนหน้านัดอัยการ 2 วัน โดย 28 เม.ย.2560 ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับ

พล.ต.ต. อภิชาต สุริบุญญา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ ในขณะนั้น ได้ประสานออกหมายแดงตำรวจสากล ซึ่งเป็นเป็นหมายแดงแบบสาธารณะ ที่บุคคลทั่วไปเช็คจากเว็บไซต์ Interpol หรือตำรวจสากลได้  ซึ่งจะทำให้ติดตามตัววรยุทธได้ง่ายเพราะมีคนเห็นทั่วโลกเป็นพันล้านคน

"แต่หลังจากที่มีการออกหมายแดงแบบสาธารณะ  เมื่อ 21 ส.ค. 2560 ความปกติได้กลายเป็นความไม่ปกติ ภายใต้คดีที่ถูกอำนาจมืดพยายามบิดผัน นายตำรวจที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาคนนี้ กลับถูกสั่งย้ายไปเป็นผู้การประจำภาค 3 เพียง 9 วันหลังการออกหมายแดง เรียกว่าเป็นการย้ายเข้ากรุไปสู่ตำแหน่งลอยที่ไม่ได้มีอำนาจใดๆ  ซึ่งคนสั่งย้าย หรือบุคคลที่นั่งหัวโต๊ะ กตร. ในวันที่ 30 ส.ค.2560 ที่มีคำสั่งย้ายนี้ ก็คือ พล.อ.ประวิตร ซึ่งรับมอบอำนาจมาจากนายกรัฐมนตรี และเมื่อ พล.ต.ต.อภิชาติ โดนย้าย หมายแดงก็โดนระงับไปชั่วคราวตามการร้องเรียนของนายวรยุทธ ก่อนจะมีการออกใหม่อีกครั้ง แต่ถูกเปลี่ยนเป็นหมายแบบบุคคล ซึ่งคนทั่วไปตรวจสอบไม่ได้ในเว็บไซต์ตำรวจสากลหรือ interpol และที่สำคัญเลขหนังสือเดินทางที่ตำรวจไทยใส่ข้อมูลลงในหมายแดง ยังเป็นหนังสือเดินทางที่ทางการไทยยกเลิกไปแล้ว ทำให้หมายแดงนี้ เป็นหมายปาหี่ ตามยังไงก็ไม่เจอ เพราะนายวรยุทธย่อมไม่สามารถใช้หนังสือเดินทางที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ในการหลบหนีได้" ธีรัจชัย กล่าว

ธีรัจชัย กล่าวอีกว่า ฐานข้อมูล Interpol ไม่ได้มีช่องให้ใส่แค่เลขหนังสือเดินทาง  แต่สามารถใส่ข้อมูล Biometric  เช่นรูปหน้า ลายนิ้วมือ และม่านตา ซึ่งจะทำให้การติดตามตัวง่ายขึ้นมาก แต่ตำรวจไทยซึ่งมีลายนิ้วมือวรยุทธอยู่แล้ว มีภาพถ่ายวรยุทธ อยู่แล้ว ก็ไม่ได้ใส่ข้อมูลเข้าไปในระบบ Interpol ตำรวจสากล ทำให้หมายแดงที่แลกมาด้วยการถูกย้ายของ พล.ต.ต.อภิชาติ ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ไม่เพียงเท่านี้  พล.ต.ต.อภิชาตถูกย้ายอีกเป็นครั้งที่สองด้วยหลังได้รับการเลื่อนขั้นตามลำดับอาวุโสตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองกฎหมายและคดีด้วย แต่ตำแหน่งนี้ยังข้องเกี่ยวกับคดีได้จึงมีการย้ายไปเป็นรองผู้บัญชาการส่งกำลังบำรุง ในเดือนตุลาคมปี 2562

หลังพล.ต.ต.อภิชาติถูกย้ายครั้งที่สองเพียง 1 สัปดาห์ วรยุทธได้มอบอำนาจให้ทนายความร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ครั้งที่ 14 และเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าจะบังเอิญว่าอัยการสูงสุดและรองอัยการสูงสุด ก็เพิ่งมีการโยกย้ายในล็อตเดียวกับ พล.ต.ต.อภิชาติ โดยผู้พิจารณาแต่งตั้งอัยการสูงสุด คือวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ 250 คน

"เมื่อทางสะดวกเรียบร้อย แบบบังเอิญมากๆ มีทั้งการตั้งอัยการชุดใหม่ ทั้งมีการย้ายตำรวจที่ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาออกจากเส้นทางที่จะเห็นแย้ง คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้ การร้องขอความเป็นธรรมของนายวรยุทธครั้งนี้ จึงเป็นผล พนักงานอัยการสั่งให้สอบพยานเพิ่ม สอดคล้องกับรายงานของ กมธ.การกฎหมายฯ สนช. ทั้งเรื่องความเร็วรถ และเรื่อง ด.ต.วิเชียรขับรถโดยประมาทเอง และต่อมา 20 ม.ค.2563 รองอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา วันที่ 3 มี.ค. 2563 สำนักงานกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับสำนวนจากพนักงานอัยการ ซึ่งหาก พล.ต.ต อภิชาต ไม่ถูกย้ายไปก็จะต้องเป็นผู้พิจารณาหลักว่าจะมีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการหรือไม่ วันที่ 5 มิ.ย. 2563 รอง ผบ.ตร.ที่ได้รับมอบหมายจาก ผบ.ตร.มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ซึ่ง ณ เวลานั้น เรื่องการสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธเป็นไปโดยความเงียบไม่มีใครรับรู้" ธีรัจชัย กล่าว

ธีรัจชัย ระบุด้วยว่า ถึงเรื่องจะเงียบไปจากการสมคบคิดของ ‘ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่ทำกันมา 6 ปีเต็ม แต่ในวันที่ 23 ก.ค.2563 สำนักข่าว CNN เผยแพร่ข่าวที่ทายาทมหาเศรษฐีกระทิงแดงหลุดรอดจากคดีขับรถชนตำรวจตาย ทำให้ประชาชนชนกลับมาให้ความสนใจ และแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อกระบวนการยุติธรรม ที่เห็นชัดว่าไม่อาจนำตัวผู้มีเงินและอิทธิพลมาเข้าสู่กระบวนการได้  จากแรงกดดันดังกล่าวสำนักงานอัยการสูงสุดก็ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดีวรยุทธ

แต่ผลสอบในครั้งนั้น ไม่พูดถึงความผิดของพนักงานอัยการคนใดเลย กลับไปสั่งให้ตำรวจดำเนินคดีเพิ่มเติมแก่วรยุทธ ในข้อหาเสพโคเคนและขับรถความเร็วเกินกำหนด  ในวันเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงคดีนี้เช่นกัน ผลออกมาพบว่ามีตำรวจทำผิดวินัยไม่ร้ายแรงบางส่วน และเสนอให้ส่งหลักฐานเกี่ยวกับความเร็วรถให้อัยการใหม่  ต่อมาตำรวจได้ดำเนินคดี และอัยการจึงสั่งฟ้องวรยุทธ ในข้อหาขับรถชนคนตายและเสพโคเคน และมีการออกหมายแดงติดตามตัวนายวรยุทธกลับมาดำเนินคดี  แต่ก็ยังคงติดตามตัวกลับมาไม่ได้ เพราะหมายแดงที่ออก ยังคงเป็นหมายปาหี่ ที่มีข้อมูลเป็นเลขหนังสือเดินทางที่ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.2559

ทำไม นายกฯ ไม่ลงโทษผบ.ตร.เหตุละเว้นปฏิบัติหน้าที่

ธีรัจชัย กล่าวว่า อีกหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล สตช. ไม่ได้มีความกระตือรือร้นในการติดตามตัววรยุทธเลย ก็คือการที่สถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย อุตส่าห์แจ้งข้อมูลว่าวรยุทธขอวีซาเชงเกน ซึ่งเป็นวีซาเข้าออก 26 ประเทศในยุโรป แสดงว่าน่าจะพำนักและเดินทางเข้าออกในแถบยุโรประหว่างหลบหนีคดี กลุ่มประเทศยุโรปใช้ข้อมูลลายนิ้วมือและใบหน้าในการเข้าออกเมืองอยู่แล้ว หากตำรวจไทยใส่ข้อมูลลายนิ้วมือของวรยุทธในระบบของตำรวจสากล หรือ  interpol ก็จะตามตัวนายวรยุทธได้อย่างง่ายดาย  แต่สิ่งที่ตำรวจทำคือการส่งจดหมายไปยังกระทรวงต่างประเทศ ขอให้สถานทูตไทยในเวียนนา ประเทศออสเตรีย ช่วยตามสืบหาที่อยู่วรยุทธ แล้วแจ้งให้ตำรวจทราบ กรณีนี้ ถามหน่อยว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยเป็น CIA หรือครับ ถึงต้องไปเที่ยวสืบหาตัวผู้ต้องหาให้ตำรวจ แบบนี้แสดงชัดครับว่าท่านไม่ได้ตั้งใจจะนำตัววรยุทธกลับมาดำเนินคดีเลย

"แบบนี้ ผบ.ตร. คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา จะต้องถูกฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่  กับความผิดปกติตลอดทางของคดีนี้ และความไม่กระตือรือร้นในการตามตัวนายวรยุทธกลับมาดำเนินคดี จะต้องถูกนายกรัฐมนตรีสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยหรือไม่ หรือที่นายกรัฐมนตรีไม่ยอมลงโทษ เพราะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ คือคนใกล้ชิด โดยเป็นคนที่พรรคพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค กำลังจะส่งลงผู้ว่ากรุงเทพมหานคร อย่างที่เรารับรับรู้กันนั่นเอง" นายธีรัจชัย กล่าว

ธีรัจชัย กล่าวว่า หลักฐานสำคัญที่สุดที่ยืนยันว่ากระบวนการบิดคดี ช่วยเหลือวรยุทธ เป็นการบงการของพล.อ.ประยุทธ์ ก็คือหลังจาก CNN เผยแพร่ข่าวอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีวรยุทธ กระแสความไม่พอใจของประชาชนพุ่งสูงจนกระทั่งลำพังการตั้งคณะกรรมการสอบโดยตำรวจและอัยการ ไม่สามารถลดกระแสสังคมได้ สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงคดีวรยุทธ โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน

คณะกรรมการนี้ใช้เวลาเพียง 30 วัน ได้ข้อสรุปว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อช่วยเหลือนายวรยุทธจริง และมีข้อเสนอให้ดำเนินคดีอาญา และลงโทษทางวินัยกับคน 8 กลุ่ม คือ

1.พนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับสำนวน,
2.พนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,
3.ผู้บังคับบัญชาซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่,
4.สมาชิก สนช. ซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่,
5.ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่,
6.ทนายความซึ่งกระทำผิดกฎหมาย,
7.พยานที่ให้การเท็จ,
8.ตัวการผู้ใช้และผู้สนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว

เมื่อผลสอบออกมาแบบนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มอบหมายให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือ ปปท. ไปดำเนินคดี ซึ่ง ปปท. ต้องส่งเรื่องต่อให้ ปปช. แต่จนถึงขณะนี้ ผ่านไปแล้ว 5 เดือน ไม่มีการขยับเขยื้อนเอาผิดใดๆ กับคนทั้ง 8 กลุ่ม

"พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิทย์ ท่านเลิกพูดเสียทีว่าปล่อยไปตามกระบวนการ ถ้าหัวไม่กระดิกหางก็ไม่ขยับ คือนี่เป็นความรับผิดชอบของท่าน ท่านไม่มีความเป็นผู้นำโดยสิ้นเชิง เพราะท่านปฏิเสธความรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่เคยผลักดันอะไรสักอย่าง แล้วท่านก็โบ้ยให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทำเอง ทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เคยตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงไปแล้ว 2 ครั้ง ผลก็ออกมาว่ามีนายตำรวจบางคนผิดวินัยไม่ร้ายแรง สำนักงานอัยการสูงสุดก็เคยตั้งกรรมการสอบเรื่องนี้มาแล้วผลไม่พูดถึงว่ามีพนักงานอัยการกระทำผิดบ้าง ปปช.ก็เคยสอบเรื่องนี้มาแล้วผลก็คือมีนายตำรวจบางคนผิดวินัยไม่ร้ายแรง ท่านยังจะส่งเรื่องไปให้หน่วยงานเหล่านี้สอบแบบเดิมอีกหรือ  เรื่องนี้ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เลย มันผ่านมาตั้งแต่ ท่านร่วมกันทำรัฐประหาร ตั้ง สนช.  ตั้ง กมธ. ตั้ง ผบ.ตร. เครือข่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม คำถามคือว่าในฐานะผู้นำ จริงจังจัดการกับเรื่องนี้แค่ไหน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าพูดไม่จริงจังกับการแก้ไข ทั้งที่นี่เป็นข้อเสนอจากกรรมการชุดที่นายกฯ ตั้งเอง” ธีรัจชัยอธิบาย

ทำลายกระบวนการยุติธรรม - สร้างระบบมาเฟีย

ธีรัจชัย กล่าวว่า กรณีนี้ถึงขั้นที่วิชา กล่าวกับกรรมาธิการ ปปช. เมื่อครั้งเข้ามาให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า “ฝากคณะกรรมาธิการ ปปช. ติดตามต่อด้วย ผมมาสุดทางแล้วจริงๆ” เพราะถ้าไปดูคน 8 กลุ่มที่ว่าผู้บังคับบัญชาที่แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา คนที่ท่านกำลังหมายมั่นปั้นมือให้เป็นแคนดิเดทผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิก สนช. ที่มีส่วนแทรกแซงคดี คือน้องชาย 2 คนของ พล.อ.ประวิตรและน้องเขยของ พล.อ.ประยุทธ์ ส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่แทรกแซง คือ พล.อ.ประยุทธ และพี่ใหญ่ของท่าน พล.อ.ประวิตร
 
"ผมยืนยันว่าคดีนี้ ไม่ใช่เพียงคดีอาญาสะเทือนขวัญทั่วไป แต่เป็นคดีที่สั่นคลอนความเชื่อถือศรัทธาที่ประชาชนมีต่อระบบยุติธรรมไทยทั้งระบบ สร้างความเสื่อมเสียให้กับชื่อเสียงของประเทศ ทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หาก พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ไม่สมคบกันใช้อำนาจในฐานะผู้บริหารประเทศ แทรกแซงกระบวนการเอาผิดนายวรยุทธ ตั้งแต่ต้นน้ำ นี่ไม่ใช่การกระทำของคนระดับนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี แต่เป็นพฤติกรรมของมาเฟียเก็บค่าต๋ง ที่ใช้อำนาจบารมีปัดเป่าดลบันดาลให้กับใครก็ได้ที่เข้ามาสวามิภักดิ์และเสนอผลประโยชน์ให้กับตนเอง  นี่หรือที่ท่านบอกว่ารัฐประหารเข้ามาเพื่อความสมานสามัคคีของคนในชาติ เพื่อปราบปรามการทุจริต สุดท้ายเข้ามาเพื่อสร้างระบบมาเฟียแบบนี้ ช่วยคนมีเงิน มีอิทธิพล บนความเจ็บปวดของตำรวจชั้นผู้น้อย บดขยี้ศักดิ์ศรีของกระบวนการยุติธรรมใช่ไหม ผมไม่อาจทนมีนายกฯ และรองนายกที่มีพฤติกรรมมาเฟียเช่นนี้ได้ ผมขอไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี" ธีรัจชัย กล่าว

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net