สรุปมติแก้ รธน. ส.ว. หัก พปชร.-เหล่าทัพขาดประชุม ก้าวไกลเตรียมดันแก้ทั้งฉบับ

  • 24 มิ.ย. 2564 รัฐสภาลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับ มีเพียงร่างแก้ไขกติกาการเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านการลงมติวาระที่ 1 ส่วนอีก 12 ฉบับ ตกไปเพราะ ส.ว. ไม่ลงมติให้
  • ไอลอว์ตั้งข้อสังเกตว่า พรรคพลังประชารัฐ 103 จาก 120 คน โหวต "ปิดสวิตช์ ส.ว." หลังไม่มี ส.ว. โหวตรับร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ ขณะที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยโหวตไม่รับทุกร่าง
  • หากไม่มี ส.ว. ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านวาระ 1 ทุกร่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ระบบเลือกตั้ง สิทธิเสรีภาพ ปิดสวิตช์ ส.ว. รื้อระบอบ คสช. แก้ที่มานายกรัฐมนตรี และยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น
  • ส.ว. 41 จาก 56 คน ที่เคยโหวตตัดอำนาจ ส.ว. เมื่อปี 2563 เปลี่ยนจุดยืน โหวตไม่รับร่าง "ปิดสวิตช์ ส.ว."
  • ส.ว. ผู้นำเหล่าทัพ ขาดประชุมทั้ง 6 คน
  • เลขาธิการพรรคก้าวไกลมองข้ามช็อต เตรียมผลักดันการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดย สสร.

พลังประชารัฐ ท้าชน ส.ว. เท “ปิดสวิตช์ ส.ว.” 103 เสียง

ไอลอว์รายงานว่า การลงมติการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 13 ฉบับ ของรัฐสภา อันประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 ผลที่ได้ คือ มีร่างเพียงฉบับเดียวที่ผ่านการลงมติในวาระที่ 1 ส่วนอีก 12 ฉบับตกไปเพราะ ส.ว. ไม่ลงมติให้ ผลคะแนนจากการลงมติในครั้งนี้ สามารถถอดรหัสให้เห็นเกมความขัดแย้งทางการเมืองหลายมุม

พรรคการเมืองขนาดใหญ่ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล พรรคภูมิใจไทย มีลักษณะการลงมติที่ “ไม่แตกแถว” ส.ส. ของพรรคลงมติเหมือนกันหมด กล่าวคือ ส.ส. จากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ทุกคน “รับทุกร่าง” ส่วนพรรคภูมิใจไทยรับทุกร่าง ยกเว้นสามฉบับที่เป็นเรื่องการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งซึ่ง “งดออกเสียง” ส่วนพรรรคก้าวไกลรับเฉพาะเรื่องการ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ฉบับอื่นงดออกเสียง

อีกพรรคหนึ่งที่แนวทางชัดเจน คือ พรรครวมพลังประชาชาติไทยที่ ส.ส. ทั้ง 5 คนลงมติ “ไม่รับทุกร่าง” ประกาศเจตนารมณ์ไม่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ระหว่างการลงมติ มีแนวทางการลงมติที่ดูแปลกอย่างน่าสนใจ คือ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐที่ลงมติไม่เหมือนกัน ขณะเดียวกันแนวทางการลงมติไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดเห็นที่หลากหลายของ ส.ส. 120 คนในพรรค แต่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางพร้อมๆ กันอย่างมีนัยยะสำคัญ

การลงมตินั้น ใช้วิธีขานชื่อสมาชิกรัฐสภาทีละคนตามลำดับตัวอักษร และลงคะแนนโดยการขานมติโดยเปิดเผย ในช่วงต้นของการลงมติ ส.ส. ของพรรคพลังประชารัฐลงมติไปในแนวทางเดียวกัน กล่าวคือ “รับ” ร่างฉบับที่ 1, 3, 6, 7, 8 และ 13 ซึ่งเป็นการรับร่างที่แก้ไขระบบเลือกตั้ง ให้แผนยุทธศาสตร์ 20 ปีแก้ไขได้ ให้มีรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า และเพิ่มเติมสิทธิเสรีภาพที่เสนอโดยพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนร่างฉบับอื่นๆ ที่ให้ “ปิดสวิตซ์ ส.ว.” ให้ยกเลิกนิรโทษกรรม คสช. ลงมติงดออกเสียง

เท่ากับว่า ในช่วงแรกแนวทางการลงมติของ ส.ส.​พรรคพลังประชารัฐ ยังคงช่วย ส.ว. ปกป้องอำนาจของ ส.ว. ที่มีขึ้นเพื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐนำเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่เมื่อ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ลงมติไปได้ 16 คน ตามลำดับตัวอักษร มาถึง ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ หลังจากนั้นทิศทางก็เปลี่ยนไป

ชาญวิทย์ วิภูศิริ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่ลงมติเป็นคนที่ 17 ขานมติ “รับหลักการ” ร่างทุกฉบับ และ ส.ส. คนถัดไปหลังจากนั้นจนคนสุดท้ายก็รับหลักการทุกฉบับไปจนจบ

เท่ากับว่า ส.ส.พลังประชารัฐ ลงมติแยกกันเป็นสองแบบ 16 คนแรก รับหลักการ 6 ฉบับ และอีก 103 คนหลังจากนั้น รับหลักการครบทั้ง 13 ฉบับ ส่วนสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภา “งดออกเสียง” ทุกฉบับตามมารยาท

สังเกตได้ว่า พรรคพลังประชารัฐ ที่หัวหน้าพรรคชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรองหัวหน้าพรรค คือ ไพบูลย์ นิติตะวัน ผู้นำการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1 น่าจะมีแนวทางให้ ส.ส. เปลี่ยนทิศทางการลงมติ ระหว่างที่เริ่มลงมติไปได้แล้วส่วนหนึ่ง

การเปลี่ยนทิศทางไปลงมติ “รับทุกร่าง” รวมทั้งร่างที่เสนอให้ “ปิดสวิตซ์ ส.ว.” เป็นปรากฏการณ์ที่น่าแปลกใจ เพราะอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. เป็นกลไกสำคัญที่สุดที่ค้ำยันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังอยู่ในตำแหน่งได้ และทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล หากปราศจากกลไกนี้แล้วก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ตัวแทนจากพรรคพลังประชารัฐจะได้เสียงสนับสนุนเพียงพอสำหรับการรส่งพล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้อีก

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ในรัฐสภาขณะการลงมติดำเนินไป พบว่า มีปรากฎการณ์ที่น่าประหลาดใจอีกเรื่องเกิดขึ้นไปพร้อมกัน คือ การที่ ส.ว. ลงมติ “ไม่รับ” ร่างฉบับที่พรรคพลังประชารัฐเสนอ

ก่อนหน้าการลงมติ ร่างฉบับของพรรคพลังประชารัฐ ถูกคัดค้านจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) โดยมี ส.ว. บางคนออกมาแถลงว่า จะไม่รับร่างฉบับนี้ เนื่องจากเสนอแก้ไขมาตรา 144 และ 185 อันถูกมองว่าเป็นการลดทอนกลไกป้องกันการทุจริต เปิดช่องให้ ส.ส. ใช้อำนาจในทางมิชอบ ระหว่างการอภิปรายก็มี ส.ว. หลายคนลุกขึ้นโจมตีร่างฉบับนี้อยู่ ทำให้ไพบูลย์ นิติตะวัน ต้องออกมาบอกว่า จะยอมถอยในประเด็น มาตรา 144 และมาตรา 185 ในวาระที่สอง เพื่อขอให้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ยอมรับหลักการร่างฉบับนี้ไปก่อน

แต่เมื่อเริ่มลงมติ ก็ปรากฏว่า ไม่มี ส.ว. คนใด “รับหลักการ” ร่างฉบับที่พรรคพลังประชารัฐเสนอเลยแม้แต่คนเดียว ผลรวมสุดท้ายมี ส.ว. ลงคะแนน ไม่รับหลักการ 128 คน และงดออกเสียง 98 คน ส่งผลให้ร่างฉบับนี้มีเสียงสนับสนุนน้อยที่สุดใน 13 ฉบับ

นี่อาจจะเป็นปัจจัยให้ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ เปลี่ยนแนวทางการลงมติ เมื่อเดินหน้าไปแล้วบางส่วน พร้อมกับลงมติให้ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ด้วย

แม้ข้อเสนอให้ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ส.ว. จะไม่ผ่านวาระที่ 1 เนื่องจากเสียงของ ส.ว. ไม่เพียงพอ แต่เมื่อ ส.ส. พรรคพลังประชารัฐกล้าลงมติสนับสนุนให้ถึง 103 คน ทำให้การลงมติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญรอบนี้ เสียงของ ส.ส. ลงมติให้ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” อย่างขาดลอย ที่ 456 : 101 และ 462 : 96

ไอลอว์เปิดเผยว่า 24 มิ.ย. 2564 ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา อันประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้มีนัดลงมติเห็นชอบร่างแก้รัฐธรรมนูญจำนวน 14 ฉบับ โดยผลของการลงมติครั้งดังกล่าว พบว่า มีร่างรัฐธรรมนูญถึง 13 ฉบับที่ถูกตีตกหรือไม่ผ่านการเห็นชอบของรัฐสภา ทั้งๆ ที่ ร่างรัฐธรรมนูญเหล่านี้ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. เกินกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ

สาเหตุที่ทำให้ร่างรัฐธรรมนูญถึง 13 ฉบับต้องตกไป มาจากเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่กำหนดว่า จะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจากทั้ง ส.ส.และ ส.ว.รวมกันเกินกึ่งหนึ่ง หรืออย่างน้อย 367 เสียง และจะต้องได้รับเสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 84 เสียง  แต่ผลการลงมติดังกล่าว พบว่า มีเพียงร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์เพียงร่างเดียวที่ได้รับเสียงจาก ส.ว. ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

อย่างไรก็ดี จากการตรวจดูผลการลงมติแก้รัฐธรรมนูญ พบว่า การลงมติของ ส.ว. เป็นไปอย่าง “ไม่สนโลก” ไม่ว่าจะเป็นการลงมติเพื่อขัดขวางเสียงข้างมากของสภาผู้แทนฯ การขาดประชุมของ ส.ว. ที่ควบตำแหน่งผู้นำเหล่าทัพ หรือ การเปลี่ยนจุดยืนของ ส.ว. ที่เคยลงมติปิดสวิตซ์ ส.ว.

ถ้าไม่มี ส.ว. ร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านทุกร่าง

หากการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญภาคสองไม่มีวุฒิสภา หรือ ส.ว. ร่วมลงมติด้วย หรือถ้าหากประเทศไทยใช้สภาเดี่ยว ไม่มี ส.ว. อยู่แล้ว ผลการลงมติในส่วนของ ส.ส. ทั้ง 13 ร่าง คือ "ผ่าน" ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกติกาแบบที่อาศัยเสียงกึ่งหนึ่งของสภา หรืออาศัยเสียง 2 ใน 3 ก็ "ผ่านทุกร่าง"

ผลการลงมติเฉพาะส่วนของ ส.ส. เป็นดังนี้

  • ร่าง 1  ร่างพรรคพลังประชารัฐ แก้ระบบเลือกตั้งและอื่นๆ

รับหลักการ 335 เสียง ไม่รับ 71 เสียง งดออกเสียง 75 เสียง 

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 2  ร่างพรรคเพื่อไทยเพิ่มสิทธิขั้นพื้นฐาน

รับหลักการ 394 ไม่รับ 8 เสียง งดออกเสียง 79 เสียง 

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 3 ร่างพรรคเพื่อไทย แก้ระบบเลือกตั้ง

รับหลักการ 341 เสียง ไม่รับหลักการ 18 เสียง งดออกเสียง 122 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 4  ร่างพรรคเพื่อไทย แก้ที่มานายกฯ-ปิดสวิตซ์ ส.ว.

รับหลักการ 441 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 32 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 5 ร่างพรรคเพื่อไทย รื้อมรดกคสช. 

รับหลักการ 327 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 146 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 6 ร่างพรรคภูมิใจไทย ทำให้ยุทธศาสตร์ชาติแก้ไขได้

รับหลักการ 420 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 53 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 7 ร่างพรรคภูมิใจไทย สร้างหลักประกันรายได้พื้นฐานถ้วนหน้า

รับหลักการ 422 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 51 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 8 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มสิทธิขั้นพื้นฐาน

รับหลักการ 422 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 51 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 9 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ ตัดอำนาจ ส.ว. แก้รัฐธรรมนูญ

รับหลักการ 401 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 72 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 10 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ แก้การตรวจสอบ ป.ป.ช.

รับหลักการ 399 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 74 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 11 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ แก้ที่มานายกฯ-ปิดสวิตซ์ ส.ว.

รับหลักการ 441 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 32 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 12 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

รับหลักการ 408 เสียง ไม่รับหลักการ 8 เสียง งดออกเสียง 65 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

  • ร่าง 13 ร่างพรรคประชาธิปัตย์ แก้ระบบเลือกตั้ง

รับหลักการ 343 เสียง ไม่รับหลักการ 19 เสียง งดออกเสียง 119 เสียง

ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 3 เสียง

ส.ว. หัก พปชร. ไม่รับร่างเลย แม้แต่คนเดียว

ผลการลงมติ ร่างฉบับที่ 1 ที่เสนอโดยพรรคพลังประชารัฐ โดยการนำของไพบูลย์ นิติตะวัน มีผู้รับหลักการ 335 เสียง ไม่รับหลักการ 198 เสียง งดออกเสียง 174 เสียง ขาดประชุม/ไม่ประสงค์ลงคะแนน 27 เสียง โดยทั้ง 335 เสียงที่รับหลักการ เป็น ส.ส. ทั้งหมด แต่ทว่า ไม่มี ส.ว. แม้แต่คนเดียวที่ลงมติรับหลักการร่างฉบับนี้ และเสียงของ ส.ว. ที่ไม่รับหลักการคิดเป็น 127 เสียง งดออกเสียง 99 เสียง

โดยข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ของพลังประชารัฐ ประกอบไปด้วยประเด็นสำคัญ แยกได้เป็น 5 ประเด็น 13 มาตรา เป็นร่างฉบับเดียวที่เสนอเป็นแพกเกจ เอาทุกประเด็นมาเสนอพร้อมกันเป็นฉบับเดียว ได้แก่

1. เพิ่มสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ยกข้อความจากรัฐธรรมนูญ 2550 มาใช้

2. แก้ระบบเลือกตั้งกลับไปคล้ายปี 2540 ใช้บัตรสองใบ และยกเลิก Primary Vote

3. ลดความเข้มงวดเรื่องโทษกรณี ส.ส. ส.ว. กรณีแปรญัติให้ใช้งบประมาณ (แก้มาตรา144)

4. เลิกห้าม ส.ส. ส.ว. แทรกแซงราชการ (แก้มาตรา 185)

5. ส.ส. ขอร่วมดันแผนปฏิรูปประเทศกับ ส.ว.

ก่อนการประชุม ร่างฉบับนี้ถูกคัดค้านจากองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ว่าจะลดทอนกลไกปราบโกง ตามมาตรา 144 และ 185 โดยมี ส.ว. บางคนออกมาแถลงว่า จะไม่รับร่างฉบับนี้ ทำให้ไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งอภิปรายเปิด ต้องบอกว่าจะยอมถอยในประเด็น มาตรา 144 และมาตรา 185 ในวาระที่สอง เพื่อให้รับร่างฉบับนี้ไปก่อน

นอกจากนี้ พรรคการเมืองคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกล ก็อภิปรายร่างฉบับของพรรคพลังประชารัฐอย่างหนักหน่วงว่า เป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจให้ คสช. ภาคสอง โดยการแก้ไขระบบเลือกตั้งให้เอื้อประโยชน์กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐ 

ระหว่างการอภิปราย มี ส.ว. หน้าประจำหลายคน เช่น นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์, คำนูณ สิทธิสมาน ต่างกล่าวถึงร่างของพรรคพลังประชารัฐในทางที่ไม่ดี แต่ก็บอกเพียงว่า จะรอฟังการอภิปรายก่อนตัดสินใจลงมติ

ด้านอำพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ร่างฉบับที่ 1 ซึ่งเสนอโดยไพบูลย์ นิติตะวัน และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เป็นการเขียนแบบ “ถอยหลังเข้าคลอง” เนื่องจากจะนำไปสู่การเจาะช่องโหว่ที่เอื้อให้เกิดการทุจริต ซึ่งแต่เดิม รัฐธรรมนูญ 2560 ได้อุดช่องว่างนี้ไว้เป็นอย่างดีแล้ว

นอกจากนี้ เหตุผลในการแก้ไขดังกล่าวยังโต้แย้งได้ด้วย “หลักการแบ่งแยกอำนาจ” โดยหน้าที่ของรัฐสภาคือการถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ซึ่งฝ่ายบริหารก็จะมีข้าราชการประจำเป็นผู้ปฏิบัติราชการให้ ดังนั้น ส.ส. และ สว. ไม่มีหน้าที่เข้าไปล่วงเกินการทำงานของข้าราชการ ไปร่วมใช้งบประมาณ หรือใช้อิทธิพลเข้าแทรกแซงโครงการในพื้นที่ หาก ส.ส. ส.ว. ต้องการช่วยเหลือประชาชน ขอบเขตหน้าที่จะอยู่แค่การกำกับการทำงานของครม. การประสานงาน และการให้แนะนำ แต่เพียงเท่านั้น ซึ่งหากมีกรณีการแปรญัตติงบไปใช้ในพื้นที่ของตนเอง ก็จะเกิดความไม่เป็นธรรม กลายเป็นว่า “ใครมือยาวสาวได้สาวเอา”

41 ส.ว. เปลี่ยนจุดยืน ไม่ตัดอำนาจตัวเอง

ศึกการ #แก้รัฐธรรมนูญ ยกสองจบลงไปด้วยความน่าผิดหวัง เมื่อ 24 มิ.ย. 2564 ส.ว. ลงมติ "ไม่รับหลักการ" ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอให้ “ปิดสวิตช์ ส.ว.” ไม่ให้ ส.ว. มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป

ในบรรดาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 13 ฉบับ ร่างที่เสนอให้ตัดอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้มีทั้งหมด 2 ฉบับ คือร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดยส.ส. พรรคเพื่อไทย (ร่างที่ 4) และร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ร่างที่ 11)

ตามหลักเกณฑ์ในรัฐธรรมนูญ 60 การพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่หนึ่ง จำเป็นต้องได้รับเสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา หรือ 375 เสียง โดยในจำนวนดังกล่าวต้องมีเสียง 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ว. ทั้งหมด หรือคิดเป็น 84 เสียงอยู่ด้วย เงื่อนไขการแก้รัฐธรรมนูญที่ต้องอาศัยเสียงของ ส.ว. กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นไปอย่างยากลำบาก

หากยังจำกันได้ เมื่อ 18 พ.ย. 2563 ซึ่งรัฐสภาพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ ครั้งที่แล้ว ในวาระที่หนึ่ง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับภาคประชาชน ซึ่งมาจากการล่ารายชื่อประชาชนกว่า 100,732 ชื่อ และเสนอให้ รื้อ สร้าง  ร่าง รัฐธรรมนูญใหม่ และ "ปิดสวิตช์ ส.ว. ตัดกลไก คสช. ยุติการสืบทอดอำนาจ"  ถูก ส.ว. ปัดตก ปิดทางเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวาระที่สอง เพราะมี ส.ว. เพียง 56 คนเท่านั้นที่ลงมติ "รับหลักการ" จากเงื่อนไขทั้งหมดที่ต้องการเสียงของ ส.ว. ถึง 84 คน ศึกการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ บรรดา ส.ว. ที่เคยโหวตตัดอำนาจตัวเองในครั้งก่อน กลับเปลี่ยนอุดมการณ์จากเดิม เหลือเพียงแค่ 15 คนเท่านั้นที่ "รับหลักการ" ให้ปิดสวิตช์ ส.ว. และ ส.ว. ถึง 41 คนที่เปลี่ยนจุดยืนของตนเอง

มาในวันนี้ พรรคการเมืองแทบทุกพรรคในสภาผู้แทนราษฎรต่างเสนอเรื่องร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรายมาตรา ซึ่งข้อเสนอการยกเลิกอำนาจ ส.ว. ในการเลือกยกเลิกอำนาจ ส.ว ในการเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นหนึ่งในข้อเสนอสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจากส.ส. หลายพรรคการเมือง ผลการลงมติในวาระแรก ร่าง #แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกอำนาจ ส.ว. ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย ได้รับการเห็นชอบอย่างถล่มทลายถึง 456 เสียงจาก 733 เสียงในรัฐสภา ขณะที่ร่าง #แก้รัฐธรรมนูญ ยกเลิกอำนาจ ส.ว. ของพรรคประชาธิปัตย์ มีสมาชิกรัฐสภารับหลักการถึง 459 เสียง

แม้ว่า ส.ส. จากทุกพรรคจะร่วมกันลงคะแนนเสียงให้ยกเลิกอำนาจส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ (439 จาก 484) แต่ร่าง #แก้รัฐธรรมนูญ เพื่อยกเลิกอำนาจส.ว. ทั้งฉบับที่พรรคเพื่อไทยและฉบับที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอ ก็ต้องตกไปเพราะ ส.ว. ลงมติ "ไม่รับหลักการ" ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มาลดอำนาจตัวเอง มี ส.ว. เพียง 15 คนที่ลงมติให้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย และส.ว. อีก 19 คนที่โหวตให้ร่างของพรรคประชาธิปัตย์จากที่ต้องการถึง 84 เสียง เท่ากับว่ามี ส.ว. 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ลงมติเห็นชอบ

เมื่อเปรียบเทียบกับการลงมติ #แก้รัฐธรรมนูญ คราวก่อน ส.ว. ที่เคยเห็นชอบในครั้งที่แล้วแต่เปลี่ยนจุดยืนไม่ลงมติปิดสวิตช์ตัวเองในครั้งนี้ถึง 41 คน โดย ส.ว. ที่เคยโหวต "ไม่รับหลักการ" ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่แล้วทุกคน ก็ยังคงโหวตไม่รับหลักการ ปิดโอกาส "ปิดสวิตช์ ส.ว."

เสนอ "ปิดสวิตซ์ ส.ว." เหมือนกัน แต่ ส.ว. โหวตไม่เหมือนกัน

ในญัตติร่างแก้รัฐธรรมนูญมีร่างรัฐธรรมนูญอย่างน้อย 2 ฉบับที่มีเนื้อหาและหลักการที่ใกล้เคียงกัน คือ ร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ฉบับที่ 4 กับ ร่างแก้รัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ฉบับที่ 11 โดยสาระสำคัญของร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับคือ การเพิ่มช่องทางของผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้มาจาก ส.ส. กับ การปิดสวิตซ์ ส.ว. หรือ การยกเลิกอำนาจของ ส.ว. ในการร่วมเลือกนายกฯ

แต่ทว่า แม้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์จะมีเนื้อหาและหลักการที่ใกล้เคียงกัน แต่ผลการลงมติของ ส.ว. บางคนก็ต่างกันออกไป ดังนี้

1) ส.ว. อย่างน้อย 1 คน โหวต "ไม่เห็นชอบ" ข้อเสนอปิดสวิตซ์ ส.ว. ของเพื่อไทย แต่ "เห็นชอบ" ข้อเสนอเดียวกันของพรรคประชาธิปัตย์ คือ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์

2) ส.ว. อย่างน้อย 5 คน โหวต "งดออกเสียง" ข้อเสนอปิดสวิตซ์ ส.ว. ของเพื่อไทย แต่ "เห็นชอบ" ข้อเสนอเดียวกันของพรรคประชาธิปัตย์ คือ บรรชา พงศ์อายุกูล, วีระศักดิ์ โควสุรัตน์, สม จาตุศรีพิทักษ์, สมชาย เสียงหลาย, สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ

3) ส.ว. อย่างน้อย 8 คน โหวต "ไม่เห็นชอบ" ข้อเสนอปิดสวิตซ์ ส.ว. ของเพื่อไทย แต่ "งดออกเสียง" ข้อเสนอเดียวกันของพรรคประชาธิปัตย์ คือ เชิดศักดิ์ จำปาเทศ, ฐนิธ กิตติอำพน, ณรงค์ สหเมธาพัฒน์, ทัศนา ยุวานนท์, บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์, ประดิษฐ์ เหลืองอร่าม, พิศณุ พุทธวงศ์, ภาณุ อุทัยรัตน์ และ สมหมาย เกาฏีระ

ส.ว. ผู้นำเหล่าทัพ ขาดประชุม ในการลงมติชี้ชะตาแก้รัฐธรรมนูญ

ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ส.ว. จะไม่สามารถเป็นข้าราชการไปพร้อมๆ กันได้ เพราะถือว่ามีลักษณะต้องต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 108 ข. (2) ที่กำหนดให้ตำแหน่งข้าราชการเป็นลักษณะต้องห้ามของ ส.ว. อีกทั้ง ในมาตรา 184 (1) ยังกำหนดด้วยว่า ส.ว. ต้อง ไม่ดํารงตําแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น

ทว่าในหมวดบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ ส.ว. ในวาระเริ่มแรก มีข้าราชการประจำมาดำรงตำแหน่ง ส.ว. ด้วย 6 คน ได้แก่  ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และ ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ โดยบรรดาผู้นำเหล่าทัพจะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐธรรมนูญที่ได้รับการงดเว้นเรื่อง 'ลักษณะต้องห้าม' ตามรัฐธรรมนูญ ที่ห้าม ส.ว. เป็นข้าราชการ ทั้งในมาตรา 108 ข. (2) และ 184 (1) ของรัฐธรรมนูญ

อย่างไรก็ดี ศึกการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า ส.ว. ผู้นำเหล่าทัพ ได้ขาดการประชุม ทั้งที่ญัตติดังกล่าวเป็นญัตติสำคัญที่สัมพันธ์กับอนาคตทางการเมือง

ก้าวไกลเตรียมเสนอประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ

ด้านทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานว่า ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อผลการลงมติในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 13 ฉบับ โดยระบุว่า ผลการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 เป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ที่สุดท้ายร่างที่เสนอให้ปิดสวิตช์ ส.ว. ทั้งสองฉบับถูกปัดตกทั้งหมด ทั้งๆ ที่ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส. มากที่สุดและเกินกึ่งหนึ่งของเสียงในรัฐสภา แต่กลับต้องตกไปเพราะเสียงของ ส.ว.

“ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิก ม.272 ของพรรคฝ่ายค้านและของพรรครัฐบาล 3 พรรค ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ส. มากที่สุด 441 และ 440 เสียงตามลำดับ เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาแล้ว แต่ได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. 15 และ 21 เสียงเท่านั้น ไม่ถึงเกณฑ์ 1 ใน 3 ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. กำหนด เช่นเดียวกับร่างฉบับอื่นทั้งหมดที่ไม่มีร่างใดได้เสียง ส.ว. ถึง 1 ใน 3 เลย ดังนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้อุปสรรคสำคัญที่สุดในการแก้ไขวิกฤตรัฐธรรมนูญ ซึ่งควรเริ่มต้นจากการปิดสวิตช์ ส.ว. คือ ส.ว. ซึ่งส่วนใหญ่ยังลุแก่อำนาจที่ตนเองได้มาโดยคณะรัฐประหาร ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย”

อย่างไรก็ตาม พรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะเดินหน้าปิด สวิตช์ ส.ว. ต่อไปในสมัยประชุมถัดไปเดือน พ.ย. เพราะถ้าปิดไม่ได้ เสียงของประชาชนก็จะถูกบิดเบือนเหมือนเดิมในการเลือกตั้งครั้งหน้า นอกจากนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการผลักดันให้เกิดการลงประชามติยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 60 เพื่อเปิดทางให้มี สสร. ที่มาจากประชาชนเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ได้

ชัยธวัชกล่าวว่า ขณะนี้ พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติ ผ่านรัฐสภาแล้ว อยู่ในระหว่างรอให้นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ภายใน 90 วัน นั่นหมายความว่าช้าสุด กฎหมายประชามติจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ พรรคก้าวไกลจะเสนอญัตติให้รัฐสภาพิจารณาให้มีการจัดทำประชามติทันที

เลขาธิการพรรคก้าวไกลชี้ว่า พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว. ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการทำประชามติ เพราะที่ผ่านมาตอนคว่ำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้มี สสร. ก็อ้างว่าต้องให้ประชาชนลงประชามติก่อน ขณะเดียวกัน ประชาชนก็สามารถเข้าชื่อ 50,000 ชื่อเพื่อเสนอไปยัง ครม. ให้ทำประชามติได้เช่นกัน  นี่เป็นแนวทางคู่ขนานระหว่างสภากับประชาชนเพื่อแก้วิกฤตรัฐธรรมนูญให้ได้อย่างแท้จริง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท