Skip to main content
sharethis

เครือข่าย NGO 21 องค์กร และ ปชช.ไทย เมียนมา และต่างชาติ 315 คน ร่วมออกแถลงการณ์ เรียกร้องอัยการไม่สั่งฟ้องอดีต บก.กรีนนิวส์ หลังถูก บ.เหมืองแร่ไทย ดำเนินคดีหมิ่นประมาทจากการรายงานข่าวเหมืองดีบุกทำลายสิ่งแวดล้อมในพม่า

ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ อดีตบรรณาธิการ (บก.) สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม (GreenNews)

24 พ.ย. 64 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก ETO Watch เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 64 ระบุว่า เมื่อ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา เครือข่ายภาคประชาสังคมทั้งไทยและต่างประเทศ จำนวน 21 องค์กร และประชาชนเมียนมา ไทย และต่างชาติ รวม 315 คน ออกแถลงการณ์ร่วมกรณีบริษัทเหมืองแร่ดีบุกของนักลงทุนไทยในเมืองเฮงดา ประเทศเมียนมาแจ้งความดำเนินคดีต่อ ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ อดีตบรรณาธิการ (บก.) สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม (GreenNews) พร้อมเรียกร้องให้อัยการจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งไม่ฟ้อง เพื่อเป็นการยืนยันและสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและประชาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อัยการนครปฐมเลื่อนฟ้องคดีบริษัทเหมืองแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท อดีต บก.กรีนนิวส์ ลงข่าว

ตำรวจนัดส่งฟ้องอัยการ คดีเหมืองดีบุกไทยในเมียนมาฟ้องนักข่าวสิ่งแวดล้อม

แถลงการณ์ระบุว่า "สืบเนื่องมาจากบริษัท เมียนมาร์ พงษ์พิพัทธ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ไทยในเมียนมาได้แจ้งความต่อ นายปรัชญ์ รุจิวนารมย์ บรรณาธิการสำนักข่าวสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น จากการรายงานข่าวเรื่อง ‘ศาลพม่าสั่งบริษัทเหมืองแร่ไทยชดใช้ชาวบ้านทวาย 2.4 ล้านบาท เหตุเหมืองดีบุกทำสิ่งแวดล้อมพัง’ ซึ่งเผยแพร่ลงบนเว็บไซต์ของสำนักข่าวสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 ในข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา

"เนื้อหาของข่าวดังกล่าวอ้างถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมืองทวายที่พิพากษาให้ บริษัท เมียนมาร์ พงษ์พิพัทธ์ จำกัด จ่ายค่าชดเชยแก่นายซอดาฉ่วย (Saw Dah Shwe) ชาวบ้านหมู่บ้านกะบันเชาว์ ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่เหมือง เป็นเงินจำนวน 114,800,000 จ๊าต (ประมาณ 76,533 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,400,000 บาท) เนื่องจากก่อนหน้านี้ในปี 2558 นายซอดาฉ่วย ฟ้องคดีต่อศาลทวาย เรียกร้องให้บริษัทฯ ชดเชยความเสียหายที่เกิดต่อทรัพย์สิน โดยเรียกร้องค่าเสียหายสำหรับต้นหมากที่ล้มตายจำนวน 882 ต้น เนื่องจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ของบริษัทที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม"

“ในฐานะเครือข่ายภาคประชาสังคมข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา ที่ทำงานติดตามการลงทุนข้ามพรมแดนที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เห็นว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชน ได้รับการรับรองไว้ทั้งภายใต้กฎหมายภายใน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 35 ที่บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ” และยังรับรองโดยกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ได้แก่ ข้อ 19 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights: UDHR) และข้อ 19 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ซึ่งไทยเป็นรัฐภาคี การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ และให้ทำโดยได้สัดส่วนและจำเป็นเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การเอาผิดทางอาญาต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะต่อสื่อมวลชนนั้น เป็นการสร้างความหวาดกลัวสำหรับสื่อมวลชนและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งการรายงานข่าวทั้งในประเด็นสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ล้วนมีความสำคัญต่อการปกป้องประโยชน์สาธารณะทั้งสิ้น

“นอกจากนั้นแล้ว เรามีความกังวลต่อการใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา เพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกเพื่อข่มขู่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้สื่อข่าว เราขอประณามการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทเพื่อข่มขู่ผู้สื่อข่าวและชุมชนที่ได้รับผลกระทบ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการใช้ยุทธศาสตร์ในการฟ้องคดีเพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมหรือแสดงความคิดเห็นของประชาชน หรือที่เรียกว่า Strategic Lawsuit Against Public Participation (SLAPP)"

“เราขอเรียกร้องให้อัยการจังหวัดนครปฐมมีคำสั่งไม่ฟ้องต่อ นายปรัชญ์ รุจิวนารมย์ บรรณาธิการสำนักข่าวสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการยืนยันและสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการนำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และให้เกิดการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ซึ่งประเทศไทยและสาธารณชนจะได้รับประโยชน์ก็ต่อเมื่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้สื่อข่าว และสื่อมวลชน ได้รับความคุ้มครองให้ปฏิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพของตนอย่างสงบและสามารถทำงานโดยไม่เกรงกลัวต่อการข่มขู่หรือการคุกคามโดยใช้กระบวนการยุติธรรม"

“กรณีดังกล่าวยังมีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนข้ามพรมแดนที่มีผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม เราจึงขอเรียกร้องไปยังบริษัท รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมธุรกิจไม่ให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกกระบวนการ โดยยึดแนวทางตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) ที่มีหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ คุ้มครอง (Protect) เคารพ (Respect) และเยียวยา (Remedies) อย่างจริงจัง และปฏิบัติการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2565) ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่มีการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ และประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ที่ได้ระบุถึงมาตรการเพื่อป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน และกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการลงทุนข้ามพรมแดนของภาคธุรกิจจากประเทศไทยที่จะไม่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศที่ไปลงทุนไว้ด้วย"

“สุดท้ายนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทางบริษัท ภาคธุรกิจ และภาครัฐ จะตอบสนองต่อข้อเรียกร้อง ไม่คุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน โดยอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในการปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการนำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อพันธกรณีระหว่างประเทศต่างๆ ดังที่กล่าวไปข้างต้น” 

สำหรับความคืบหน้าคดี เฉลิมศรี ประเสริฐศรี ทนายความของนายปรัชญ์ ระบุว่า ขณะนี้คดีความอยู่ในชั้นอัยการจังหวัดนครปฐม ต้องติดตามต่อไปว่าทางอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งทางอัยการจะแจ้งให้ทราบภายในวันที่ 25 พ.ย. 64

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net