Skip to main content
sharethis
  • คิดออกแต่คนละครึ่ง 'ศิริกัญญา' อัดรัฐบาลไร้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม วาดฝันสวยหรูแต่ไม่มีอนาคต ทิ้งประชาชนอุ้มกลุ่มทุน - อัด' รถไฟเชื่อมสนามบิน - ดิวตี้ ฟรี - ซุปเปอร์ดีล บ.โทรคมนาคม'
  • 'สุรเชษฐ์' ชี้ รัฐอุ้มเจ้าสัวรถไฟฟ้าทำค่าโดยสารแพง ลั่นต้องกล้าชนทุนใหญ่บีบคลอดตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วม

 

17 ก.พ.2565 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานต่อสื่อมวลชนถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ที่รัฐสภา  ของ ส.ส.พรรคอีก 2 คน คือ ศิริกัญญา ตันสกุล และ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค 

ศิริกัญญา ระบุว่า ฟังนายกรัฐมนตรีชี้แจงแล้วทำให้รู้สึกโกรธ เพราะท่านพูดราวกับว่ารัฐบาลไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวเศรษฐกิจจะดีขึ้นมาเอง ส่งออกดีจีดีพีก็จะขึ้นเอง ถ้าเปิดประเทศนักท่องเที่ยวจะกลับมาเศรษฐกิจจะดีเอง ธุรกิจบริการ โรงแรม ท่องเที่ยว ก็จะฟื้นขึ้นมาได้เอง โดยที่รัฐบาลแทบไม่ต้องทำอะไรเลย และทุกวันนี้ที่ทำดีอยู่ดีแล้ว ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มีปัญหามากๆ  

อัดรัฐบาลไร้แผนฟื้นฟู ศก.-สังคม คิดออกแต่คนละครึ่ง - เต็มไปด้วยโครงการเบี้ยหัวแตก

ศิริกัญญา กล่าวว่า ถ้าเราย้อนไปดูรัฐบาลนี้ ที่ผ่านมาคิดอะไรไม่ออกก็แจกคนละครึ่ง กระตุ้นเศรษฐกิจก็แจกคนละครึ่ง เยียวยาก็แจกคนละครึ่ง ช่วยค่าครองชีพก็แจกคนละครึ่ง ตอนนี้โครงการคนละครึ่งใช้ไปกว่า 220,000 ล้านแล้ว แต่เศรษฐกิจในประเทศยังวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน โครงการคนละครึ่งนั้น ยอมรับว่าเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นที่ดี แต่มันไม่เหมาะในการนำมาใช้เยียวยาหรือนำมาใช้ช่วยเหลือค่าครองชีพ เพราะว่าเป็นการแจกแบบใครมาก่อนได้ก่อน สุดท้ายแล้วคนที่ไม่สมควรได้รับกลับได้ แต่คนที่ควรได้รับกลับไม่ได้ และที่สำคัญคือประเทศ ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาวได้จากการแจกคนละครึ่ง ข้อเสนอที่เรามีคือ รัฐบาลจำเป็นต้องมีแผนฟื้นฟูประเทศจริงๆ จังๆ ได้แล้ว ไม่ใช่แค่พาเศรษฐกิจเรากลับมาสู่จุดเดิมได้ แต่ต้องใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้ทุนเล็กทุนน้อยได้มีที่อยู่ที่ยืน เติบโต เกิดการจ้างงานที่มีคุณภาพ และทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ในโลกยุคหลังโควิดเกิดขึ้นจริงได้ 

"ตั้งแต่เกิดวิกฤติโควิด-19 เป็นต้นมา รัฐบาลนี้กู้เงินผ่าน พ.ร.ก. เงินกู้ มาแล้ว 2 ครั้ง 1.5 ล้านล้านบาท ผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปี ตั้งแต่มีเงินกู้ครั้งแรก ตอนนี้งบประมาณอนุมัติเกือบเต็มวงเงินแล้ว และยังไม่นับรวมงบกลางที่มีอยู่บนหน้าตักอีก 2 ปี รายการสำรองจ่ายฉุกเฉินและจำเป็น และงบกลางโควิด รวมกันเกือบ 240,000 ล้านบาท แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า เงินเกือบ 2 ล้านล้าน มีงบประมาณสำหรับสิ่งที่เรียกว่า 'แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม' จริงๆ ไม่รวมงบกระตุ้นเศรษฐกิจ แค่ 77,000 ล้านบาทเท่านั้น งบฟื้นฟูจำนวนเท่านี้ แทบจะเป็นงบฟื้นฟูที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เราเคยมีวิกฤตเศรษฐกิจมา ทั้งๆ ที่วิกฤตครั้งนี้หนักหนากว่าทุกครั้ง แล้วถามว่าฟื้นฟูได้จริงหรือเปล่า ฟื้นไม่ได้ เพราะว่าเศรษฐกิจภูมิภาคยังไม่ฟื้น  2 ตัวที่ดู คือ การอุปโภคบริโภคกับรายได้เกษตรกร ทุกตัวติดลบ หรือไม่ก็ลดลงอย่างน่าใจหาย แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นใช้ไม่ได้ผล รัฐบาลใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยโครงการเบี้ยหัวแตกแบบที่ไม่มีวันเสร็จ" ศิริกัญญา กล่าว 

วาดฝันสวยหรูแต่ทำจริงไม่มีอนาคต - ยกตัวอย่างความสำเร็จต่างประเทศ - ซัดไทยยังเดินตามหลัง

ศิริกัญญา กล่าวว่า ตอนแรกที่รัฐบาลมานำเสนอแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับสภา วาดฝันให้เราเป็นอย่างดีว่าจะสร้างมีเกษตรอัจฉริยะ เกษตรมูลค่าสูง Bio Economy ท่องเที่ยวคุณภาพ ระบบ Digital รองรับ Local Economy ซึ่งเต็มไปด้วยคำสวยหรูดูดี แต่สุดท้ายไม่มีโครงการพวกนี้อยู่ในแผนฟื้นฟู การท่องเที่ยวคุณภาพจะเกิดขึ้นได้อย่างไรถ้าทั้งประเทศมีแค่ 3 โครงการ ใช้เงินเพียงแค่ 800 ล้านบาท อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูง bioeconomy จะมาได้ยังไง ถ้ามีโครงการเรื่องนี้แค่ 4 โครงการ มูลค่า 450 ล้าน เกษตรอัจฉริยะ precision farming ก็ไม่มี มีแต่เกษตรแปลงใหญ่จัดให้แปลงละ 3 ล้าน ซึ่งก็ยังเห็นเกษตรกรเอาซื้อรถเกี่ยว รถแทรกเตอร์เหมือนเดิม ไม่ได้สมาร์ทขึ้น และก็ดูเหมือนเศรษฐกิจไทยยุคหลังโควิดนี้จะไม่มีอนาคตไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่แค่ย่ำอยู่กับที่แต่ว่าคือการเดินถอยหลัง ประเทศอื่นเขาใช้ช่วงโควิด ในการอัดฉีดเงินลงทุนสร้างเศรษฐกิจหลังโควิดกันอย่างเต็มที่ เกาหลีใต้ลงทุนขนานใหญ่กว่า 3 ล้านล้านบาท  ผ่านแพ็คเกจ green new deal เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว ญี่ปุ่นอัดฉีดเงินอุดหนุนหลายพันล้านเพื่อดึงไต้หวันให้มาเปิดโรงงานนาโนชิปในประเทศ แก้ปัญหาชิปขาดแคลน สิงคโปร์จ่ายเงินให้ SMEs เพื่อจูงใจให้เขามาใช้ระบบ digital ในการทำธุรกิจ 

"กลับมาดูประเทศไทย นายกฯ พูดถึงการลดก๊าซเรือนกระจก แต่เราเพิ่งต่ออายุโรงไฟฟ้าถ่านหินเพียงเพราะก๊าซธรรมชาติราคาสูงไป รัฐบาลแทบไม่ได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอะไรเพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างที่พูด  นายกฯ โฆษณาว่ามีคนมาขอ BOI  ตนไปดูมาแล้วจาก 6 แสนล้านที่พูด ลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ 7 อุตสาหกรรม เพียงแค่ 98,970 ล้านบาท มีเป้าหมายเดิม 2 แสนล้าน และแบบนี้เศรษฐกิจจะไปข้างหน้า เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตจริงๆ เหรอ และที่สำคัญ นี่คือคำขอ ไม่ใช่การลงทุนจริง ไม่มีทางรู้เลยว่าสุดท้ายแล้วนักลงทุนจริงจะมาเมื่อไหร่  นอกจากนี้ ทั้งๆ ที่อุตสาหกรรมรถยนต์แบบเก่ากำลังจะล่มสลายตามยุคสมัย แต่เรายังไม่ได้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ จังๆ เลย รัฐบาลต้องใช้เวลานานมากถึงจะปล่อยแพ็คเกจอีวีอันแรกออกมา เพื่อส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะสร้างดีมานด์ในประเทศเพียงพอที่จะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ และในขณะที่เรากำลังงกๆ เงิ่นๆ นั้น ตอนนี้เวียดนามมีรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ตัวเองได้แล้ว ยี่ห้อ Vinfast ประเทศอื่นไปไกลถึงไหนแล้ว" ศิริกัญญา กล่าว 

ค่าครองชีพแพงกดกำลังซื้อ ปชช. - เผยภาระปัญหาทางการคลัง ซัดกองทุนน้ำมันฯ ไม่เคยทำหน้าที่ตัวเอง 

ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า นอกจากอนาคตที่มองไม่เห็นแล้ว เฉพาะหน้านั้น เศรษฐกิจประเทศนี้ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นได้อย่างไรถ้าค่าครองชีพยังแพงอยู่ ปัญหาค่าครองชีพในขณะนี้หนักหนาสาหัสมากโดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพราะ 2 สินค้าที่ขึ้นราคาหนักๆ คือ อาหารและน้ำมัน ซึ่งสำหรับคนมีรายน้อย นี่คือครึ่งหนึ่งของเงินในกระเป๋าของเขา ยิ่งขึ้นเท่าไหร่เท่ากับมีเงินเหลือไปทำอย่างอื่นน้อยลง ยิ่งกดกำลังซื้อของประชาชนมากขึ้นอีก ทั้งนี้ สองวันที่ผ่านมา ครม.เพิ่งมีมติว่ายอมลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง 3 บาท เพื่อแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมันที่ถังแตกอยู่ 16,000 ล้านบาท ถ้าเราจำกันได้ รัฐบาลอนุมัติให้กองทุนน้ำมัน ไปกู้เงินตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่ก็กู้ไม่ได้ เพราะติดว่ากองทุนน้ำมันยังไม่ได้รองรับบัญชีเพราะเพิ่งเปลี่ยนเป็นองค์การมหาชน สุดท้ายแล้วรัฐบาลหลังชนฝา เลยต้องลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งก็ดูจะเป็นทางเลือกที่หลายๆ คนเสนอกันมา แต่ตัวดิฉันเองไม่เคยสนับสนุน ไม่เคยเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิต เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลดไม่ได้ เพราะเพราะงบปี 2565 ถูกตั้งไว้แบบตึงมาก เก็บภาษีลดลง 1 บาท เท่ากับงบประมาณลดลง 1 บาทด้วย  ดังนั้น 3 บาทที่ลดลงจากภาษีสรรพสามิต เป็นเวลา 3 เดือน จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษี 17,100 ล้านบาท  และสุดท้ายแล้วจะต้องไปตัดลดงบประมาณตรงไหน ท่านอาจจะบอกว่าราคาน้ำมันสูงขึ้น ภาษีมูลค่าเพิ่มก็จัดเก็บได้สูงขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ว่ามันจะเพียงพอที่จะอุดรูรั่วนี้หรือไม่ ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องมีคำตอบ เพราะเราก็อยากรู้เหลือเกินว่าถ้าจำเป็นต้องลดงบ ท่านจะไปตัดงบที่ตรงไหนก่อน

"ที่ปัญหาคาราคาซังเป็นเพราะเรามีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่เคยทำหน้าที่ตัวเอง ในการต้องรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมัน นั่นคือยามที่ราคาน้ำมันถูกต้องเก็บ แล้วค่อยชดเชยในวันที่ราคาน้ำมันแพง ไม่ใช่เก็บจากน้ำมันตัวหนึ่ง ไปอุดหนุนให้กับน้ำมันตัวหนึ่งให้มีราคาถูกตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันดีเซลตอนปี 2563 เคยลงไปต่ำสุดถึงลิตรละ 14 บาท แล้ววันนั้น เราก็ยังชดเชยให้ดีเซล B10 ลิตรละ 2.50 บาท แทนที่จะเริ่มเก็บเงินเข้ากองทุนเพิ่ม ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องอุดหนุนดีเซล B10 ในวันที่ราคา 14 บาท ถ้าวันนั้นเราเริ่มเก็บ และพยายามรักษาสเถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ที่ 25 บาท ทุกวันนี้เราจะมีเงินของกองทุนน้ำมัน เพื่อมาชดเชยราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ไปถึงปลายปี 2564 แต่ท่านก็ไม่ทำ" ศิริกัญญา กล่าว 

ทิ้งประชาชนอุ้มกลุ่มทุน - ซัดประเคนผลประโยชน์รถไฟเชื่อม 3 สนามบินเพียบ - เปลี่ยนสัญญาผิดหลักการประมูล

ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลนี้ไม่ทำอะไรกับเศรษฐกิจเลย ปล่อยให้ประชาชนเผชิญชะตากรรมไปตามยถากรรม อาจบอกว่ารัฐบาลเดินตามระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม รัฐไม่ต้องมีบทบาทอะไร ทำให้น้อยที่สุด ใครอ่อนแอก็แพ้ไป แต่พอตัดภาพที่รัฐบาลเข้าไปโอบอุ้มเจ้าสัว กลุ่มทุน ดูจะตรงข้ามกับที่รัฐบาลโอบอุ้ม SMEs และประชาชนในประเทศ พอเจ้าสัวบอกว่ามีปัญหาเรื่องโควิด รัฐบาลพร้อมอุ้มทันที อย่างกรณีแรก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ทางกลุ่ม Asia Era One ที่เครือ CP ถือหุ้นใหญ่ 75% จะต้องจ่ายเงินค่าสิทธิ์ในการเดินรถ Airport Rail link ตั้งแต่ 24 ตุลาคม 2564 ให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นเงิน 10,671 ล้านบาท แต่ไม่มีการจ่ายค่าสิทธิ์ตามที่ตกลงกัน เพราะฝั่งเอกชนขอผ่อนผัน อ้างเหตุผู้โดยสารลดลงจากโควิด รัฐบาลตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ศึกษาเงื่อนไขการเจรจาสัญญา เลื่อนการจ่ายเงินมาเบ็ดเสร็จ 6 เดือน ในระหว่างนี้ มีการจ่ายค่ามัดจำแค่ 10% ของค่าสิทธิ์เท่านั้น เงินที่ รฟท. ควรจะได้ ต้องรอต่อไปเรื่อยๆ และมีข่าวว่าจะขยายเวลาให้ผ่อนจ่ายได้ 6 ปี โดยเป็นการผ่อนจ่ายแบบ 5-10% ใน 5 ปีแรก แล้วค่อยไปปูดเอาในปีสุดท้ายพร้อมดอกเบี้ย พูดง่ายๆ คือไม่คิดจะควักเงินตัวเอง ค่าสิทธิ์ในการบริหารเป็นเงินก้อนที่ต้องวางล่วงหน้าแล้วค่อยไปเก็บเกี่ยวรายได้ในภายหลัง ไม่ใช่เอาค่าสิทธิ์มาแยกผ่อนจ่ายแบบนี้ แล้วเอารายได้มาจ่ายเป็นค่าเช่า ผิดหลักการตอนเปิดประมูลสิ้นเชิง

"ล่าสุด มีเป็นข่าวจากหลายสำนักข่าวว่า ครม.อาจจะมีการขยายระยะเวลาของสัญญาให้ยาวกว่า 50 ปี รวมถึงรัฐอาจจะจ่ายเงินร่วมทุนให้เร็วขึ้น จากตอนแรกที่จ่ายปีที่ 6 เลื่อนมาจ่ายให้เร็วขึ้นอีก เป็นปีที่ 3 และอาจจะมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตามมาอีกมาก กรณีนี้นายกรัฐมนตรีอาจบอกว่าการอนุมัติให้เอกชนผ่อนจ่ายในครั้งนี้ มีการคิดดอกเบี้ย 2.375 เปอร์เซ็นต์ รัฐไม่ได้เสียหายอะไร แล้วก็จะอ้างอีกว่า นี่เป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน รัฐบาลต้องร่วมรับความเสี่ยงด้วย แต่ดิฉันเห็นว่า คำแก้ตัวเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น เพราะขณะเดียวกันนี้พวกคุณปล่อยผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อยล้มหายตายจาก ยืดหนี้ไม่ได้ เรื่องใหญ่กว่านั้น การแก้สัญญาร่วมทุนครั้งนี้ เป็นคู่สัญญาที่มาจากการชนะการประมูล ซึ่งหากเราปล่อยให้มีการแก้สัญญาตามอำเภอใจหลังการประมูลแบบนี้ ก็ไม่ต้องประมูลก็ได้ เพราะจะประมูลกันมาแบบไหน ร่างสัญญากับรัฐบาลอย่างไร พอมีความเสี่ยงขึ้นมาก็ขอให้รัฐบาลโอบอุ้ม รัฐบาลก็อุ้มตลอด เรียกได้ว่าเอกชนไม่มีวันเจ๊งภายใต้การบริหารของพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมเสมอที่จะแก้สัญญาเพื่อเอื้อประโยชน์เจ้าสัว พร้อมเสมอที่จะเอาผลประโยชน์ของชาติไปประเคนให้นายทุน ใช่หรือไม่" ศิริกัญญา กล่าว 

เสียรายได้เป็นแสนล้าน- จี้ถาม "นายก-รมต.คลัง" แก้สัญญาสัปทาน "ดิวตี้ฟรี" ไม่ขอ ครม.-ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วินัยคลังได้เหรอ?

ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า ตัวอย่างถัดมา เป็นการแก้ไขสัญญาสัมปทานร้านค้าปลอดอากรในสนามบิน หรือ Duty-Free ซึ่ง ปี 2564 เป็นปีแรกที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย ขาดทุนและเป็นปีแรกไม่ได้ส่งเงินสมทบเป็นรายได้รัฐ ปีนี้ผลขาดทุนสุทธิถึง 16,322 ล้านบาท  ขาดทุนหนักจนถึงขั้นต้องขออนุมัติกู้เงินเพิ่มเสริมสภาพคล่องต่อคณะรัฐมนตรี เป็นไปตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ต้องกู้เงินถึง 20,700 ล้านบาท แน่นอนว่าสาเหตุที่ขาดทุนย่อมมาจากจำนวนผู้โดยสารที่น้อยลง แต่รายได้หลักอีกแหล่งที่คิดเป็น 42% เป็นรายได้ที่มาจากการเอาพื้นที่่ให้เอกชนเช่าทำการพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า ร้านค้าดิวตี้ฟรี แต่พอโควิดระบาด บอร์ด ทอท. ก็มีมติเร็วมากเยียวยาให้กับผู้ประกอบการในท่าอากาศยาน รายใหญ่สุดที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือผู้ได้รับสัมปทานดิวตี้ฟรี ให้ได้ยกเว้นไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานอีก 2 ปี ยังไม่พอ บอร์ดยังมีมติให้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเก็บรายได้ขั้นต่ำ มาเป็นการเก็บรายได้ขั้นต่ำตามรายหัวผู้โดยสาร คือมาเยอะจ่ายเยอะ มาน้อยจ่ายน้อย ซึ่งระบบใหม่นี้จะใช้ 1 เมษายน 2565 แต่ยังไม่หนำใจ เดือนพฤศจิกายน 2564 ยังได้ออกมาตรการเพิ่มเติมต่ออายุมาตรการยกเว้นรายได้ขั้นต่ำอีก 1 ปี โดยให้เริ่มอัตราใหม่ในเมษายน 2566 แทน และต่ออายุสัมปทานดิวตี้ฟรีให้อีก 1 ปีด้วย 

"ผลจากการเยียวยาในครั้งนั้น มีการประเมินว่า ทอท.จะสูญเสียรายได้เป็นแสนล้าน และแน่นอนว่ารัฐต้องสูญเสียรายได้ด้วย เพราะ ทอท.นั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ทำให้มีประชาชนเกิดข้อสงสัยว่าการที่รัฐสูญเสียรายได้ขนาดนี้ การแก้สัญญาสัมปทานโดยที่ไม่ต้องขอ ครม.ก่อน โดยที่ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง นั้น ถูกต้องโปร่งใสหรือไม่ นี่เป็นอีกครั้งสำหรับรัฐบาลนี้ที่กับคนธรรมดาๆ รัฐบาลไม่อินังขังขอบ แต่พอกับนายทุนใหญ่ หน่วยงานรัฐก็พร้อมที่จะยืดหดสัญญาให้ได้เต็มที่ และดูเหมือนกับว่ากระบวนการอาจจะไม่ได้ถูกต้องสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ ตนขอให้นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ตอบคำถามในสภาเพื่อเป็นการบันทึกไว้ด้วยว่า เห็นด้วยหรือไม่ตามความเห็นของ ทอท. และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่ต้องปฏบัติตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และไม่ต้องนำเข้า ครม.แม้จะกระทบต่อรายได้รัฐ เพียงเพราะ ทอท.มีสถานะเป็นบริษัทมหาชน และท่านอ้างกฎหมายข้อไหน" ศิริกัญญา กล่าว 

ตั้งข้อสังเกตปม กสทช.ชุดใหม่ล่าช้า เกี่ยวซุปเปอร์ดีล  "True-Dtac" หรือไม่ ? - ลั่น รบ.หมดความชอบธรรมบริหารแล้ว

ศิริกัญญา กล่าวว่า เรื่องสุดท้าย การปิดซุปเปอร์ดีลโทรคมนาคม การควบรวม True-Dtac หากสำเร็จกระทบกับค่าครองชีพประชาชนโดยตรง ซึ่งบอร์ด กสทช. ชุดปัจจุบันที่อยู่มา 8 ปีแล้ว ได้แก้ประกาศเพื่อริบอำนาจตัวเองในการให้อนุญาตการควบรวม คือ แก้ประกาศเรื่องการควบรวมในปี 2561 ว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องมาขออนุญาต ให้ควบรวมแล้วมารายงานให้ กสทช.ทราบ แล้วถ้าเกิดผลกระทบกับสภาวะการแข่งขัน กสทช.ค่อยออกมาตรการหลังการควบรวม ซึ่งเท่าที่มีการคุยกันทั้งในวงของคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ดูแลเรื่องนี้ และวงวิชาการอื่นๆ ไม่มีทีท่าเลยว่าจะมีแก้ไขประกาศนี้ให้เป็นการขออนุญาตแต่อย่างใด และจะปล่อยให้มีการควบรวมเกิดขึ้นให้ได้ และที่ตนไม่เข้าใจก็คือ ตอนนี้กระบวนการสรรหา กสทช. ชุดใหม่ โดย ส.ว. เสร็จตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ปีที่ผ่านมาแล้ว ชื่อไปค้างอยู่ที่นายกรัฐมนตรียังไม่ยอมทูลเกล้าให้ลงพระปรมาภิไธยจริงหรือไม่ ตนตั้งคำถามว่านายกรัฐมนตรีรออะไร รอให้บอร์ด กสทช. ชุดนี้ดูแลการควบรวมซุปเปอร์ดีล ทรู-ดีแทค ให้จบก่อนใช่หรือไม่ ให้บอร์ดชุดที่แก้ประกาศลดอำนาจตัวเองดูแลดีลนี้ให้จบใช่หรือไม่ และจะไม่ยอมแก้ประกาศให้เป็นระบบขออนุญาตใช่หรือไม่ 

ศิริกัญญา กล่าวปิดท้ายว่า ขอฝากคำถามทั้งหมดนี้ และข้อเสนอแนะปัญหาเหล่านี้ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ตอบ เพราะเป็นความคับข้องใจอย่างยิ่ง แต่ไม่มีอะไรที่จะคับข้องใจไปกว่า การที่ประชาชนจะต้องทนกับสภาพนี้ไปอีกนานแค่ไหน เมื่อไหร่ท่านจะยอมรับว่า ท่านไม่เหลือความนิยม ไม่เหลือความชอบธรรมใดๆ ที่จะปกครองประเทศนี้ได้แล้ว เมื่อไหร่ท่านจะยอมลงจากอำนาจเพื่อเปิดทางให้ประชาชนได้เลือกผู้นำที่พวกเขาต้องการ และมีความชอบธรรมเต็มมาบริหารแผ่นดินนี้ ซึ่งนี่น่าจะเป็นคำถามที่ถามแทนใจประชาชนทั้งประเทศ 

“สุรเชษฐ์” ชี้ รัฐอุ้มเจ้าสัวรถไฟฟ้าทำค่าโดยสารแพง ลั่นต้องกล้าชนทุนใหญ่บีบคลอดตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วม
.
สุรเชษฐ์ ร่วมอภิปรายเป็นการทั่วไปต่อกรณีปัญหาค่าเดินทางของประชาชนที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำมันและราคาค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยระบุว่าหากไล่ดูสถิติตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเมื่อปี 2562 จะเห็นว่าราคาน้ำมันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ มาจนประมาณกลางปี 2563 ก็ขึ้นอีกครั้ง และสูงขึ้นเป็นพิเศษในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างถ้วนหน้า แม้จะกล่าวได้ว่ามีปัจจัยราคาน้ำมันในตลาดโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ต้องไม่ลืมว่าต้นทุนเนื้อน้ำมันคิดเป็นเพียง 40-60% ของราคาน้ำมันเท่านั้น และยังมีส่วนของภาษีและกองทุนต่าง ๆ และค่าการตลาด ที่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งรัฐบาลบริหารจัดการราคาได้อย่างล้มเหลว จนราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันขึ้นมาจาก 17 เป็น 33 บาท หรือแพงขึ้นถึง 94%

สุรเชษฐ์ ยังอภิรายต่อไปถึงกรณีของค่าทางด่วน ซึ่งมีราคาสูงขึ้นเช่นกัน เหตุเพราะมีการคิดราคาโดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง และรัฐบาลยังเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ โดยการเจรจาระงับข้อพิพาทที่ยังไม่สิ้นสุดคดีความ ภายใต้เงื่อนไขให้เอกชนเก็บเงินต่อไปอีก 15 ปี 8 เดือน ทั้ง ๆ ที่สิ้นสุดสัญญาสัมปทานไปแล้ว โดยล่าสุด เมื่อ 1 ธันวาคม 2564 ค่าทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ยังมีการขึ้นไปอีก 30%

นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะทุกรูปแบบการเดินทางยังมีราคาที่สูงขึ้น จากผลสำรวจพบว่าค่าเดินทางของประชาชนแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในกรณีรถไฟฟ้า เฉลี่ยอยู่ที่ 2,500 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 17% ของเงินเดือน 15,000 บาท รถตู้สาธารณะ คิดเป็น 14% เรือคลองแสนแสบคิดเป็น 11% รถเมล์ซึ่งเป็นบริการขั้นพื้นฐานที่สุดก็ยังมีราคาที่สูง โดยรถเมล์ปรับอากาศคิดเป็น 11% รถเมล์ธรรมดาคิดเป็น 8% และเรือด่วนเจ้าพระยา คิดเป็น 8%

นอกจากนั้น บริการขั้นพื้นฐานอย่างรถเมล์ ยังมีราคาค่าโดยสารที่สูงกว่าคุณภาพการบริการ จากปี 2534 ที่ราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 3.5 บาท มาถึงปี 2564 ราคาค่าโดยสาร 8 บาทแล้ว แต่ 30 ปีผ่านไป คนไทยยังต้องใช้บริการรถเมล์แบบเดิมหรือกระทั่งคันเดิม เพราะรัฐบาลมัวแต่หากินกับการสร้างรถไฟฟ้า การขยายสัมปทาน แต่ละเลยรถเมล์

อัดรัฐบาลแบ่งเค้กหากินกับรถไฟฟ้า ทำค่าโดยสารพุ่ง-ซ้ำเติมความลำบากประชาชน

สุรเชษฐ์ ยังได้ยกตัวอย่างระหว่างการอภิปราย โดยระบุว่าในชีวิตของชนชั้นกลางธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีเงินเดือน 15,000 บาท อย่างเช่นเจ้าหน้าที่ ข้าราชการสภา หรือผู้ช่วย ส.ส. สมมุติว่ามีบ้านอยู่แถวอ่อนนุชและต้องมาทำงานที่สภา คน ๆ นั้นจะต้องตื่นตั้งแต่ 6:00 น. ออกจากบ้านก่อน 6:45 น. เริ่มต้นด้วยรถสองแถว เพราะรถเมล์น้อยและต้องรอนาน จากบ้านไป BTS อ่อนนุช 9 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS อ่อนนุช ไป BTS หมอชิต อีก 44 บาท ต่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT สวนจตุจักร ไป MRT บางโพ อีก 24 บาท เมื่อใกล้ถึงสภาก็รอรถเมล์นานเดี๋ยวมาสาย ก็ต้องยอมจ่ายขึ้นมอเตอร์ไซด์ บางวันเก็บ 20 บาท บางวันเก็บ 40 บาท แล้วแต่ดวงและตำแหน่งที่ลง รวมใช้เวลาเดินทาง 1.5-2 ชั่วโมง ใช้เงินทั้งสิ้น 107 บาท ในการเดินทางขามาอย่างเดียว ส่วนขากลับ แม้จะเลิกงาน 16:30 แต่โดยมากก็จะได้กลับจริงประมาณ 18:00 เป็นช่วงที่สามารถเน้นการเดินทางราคาถูกกว่าได้เพราะไม่ต้องรีบแล้ว คน ๆ นั้นต้องใช้เวลาเดินทาง 1.5-2.5 ชั่วโมง เริ่มที่รถเมล์สาย 3 จากสภา ไป BTS สะพานควาย 8 บาท ต่อด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว จาก BTS สะพานควาย ไป BTS อ่อนนุช 44 บาท ตามด้วยรถสองแถว จาก BTS อ่อนนุชไปส่งแถวบ้าน อีก 9 บาท กว่าจะถึงบ้านก็ประมาณ 20.00 น. แล้ว ขากลับทั้งหมดรวมเป็น 61 บาท

ทั้งหมด รวมขาไปและขากลับ รวมเป็นค่าใช้จ่าย 168 บาท/วัน หรือคิดเป็น 56% ของค่าแรงขั้นต่ำ หรือหากคิดจากฐานเงินเดือน 15,000 บาท ก็ยังถือว่าสูงมาก เป็นค่าใช้จ่ายถึง 22.4% ของเงินเดือน

“นี่ขนาดเงินเดือน 15,000 แล้วผู้มีรายได้น้อยหรือไม่มีรายได้ล่ะจะอยู่อย่างไร? ขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้ถูกกว่านี้มากก็ขึ้นไม่ได้เพราะอยู่ไกลจากสถานี นอกจากแพง แล้วยังนานอีก ต้องเสียเวลาชีวิต 3-4 ชั่วโมง/วัน นี่ล่ะครับ ชีวิตคนกรุงเทพ เดินทางลำบาก ทั้งแพงและนาน ชีวิตจริงเป็นแบบนี้ ชนชั้นกลางหรือผู้มีรายได้น้อยส่วนมากไม่สามารถซื้อคอนโดติดสถานีรถไฟฟ้าได้ทุกคนนะ” สุรเชษฐ์กล่าว

สุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสาเหตุที่รถไฟฟ้าราคาแพงเช่นนี้ เป็นเพราะมีค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน เสียค่าแรกเข้า 15 บาท และมีค่าระยะทางอีก 2 บาทกว่า ทั้งหมดเป็นผลมาจากการหากินกับรถไฟฟ้า เจรจาเป็นสาย ๆ แบ่งผลประโยชน์กันเป็นราย ๆ โดยไม่ได้เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ทั้งที่การคิดราคา หากเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ต้องคิดจากจุด ‘ต้นทาง’ ไป ‘ปลายทาง’ ไม่ใช่แค่จากสถานีรถไฟฟ้าหนึ่งไปยังอีกสถานีรถไฟฟ้าหนึ่ง เช่น การขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 8 สถานี ค่าโดยสารควรคิดเหมือนกับการขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว 4 สถานี แล้วต่อสายสีน้ำเงินอีก 4 สถานีเท่านั้น 

แนะอุดหนุนขนส่งสาธารณะเพิ่ม “อย่างมีเหตุผล”-อัดรัฐเน้นแต่สร้างรถไฟฟ้า ไม่เหลียวแลรถเมล์

สุรเชษฐ์ยังอภิปรายต่อไป ว่าสำหรับประชาชนหลายคน การมีรถยนต์เป็นของตัวเองจึงเป็นความฝันหนึ่งที่จะทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ด้วยความคิดว่าจะทำให้การเดินทางถึงไว ไม่เหนื่อย ไม่ร้อน แต่ในชีวิตจริงไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะสำหรับผู้ใช้รถ การขึ้นทางด่วนหรือไม่ล้วนมีความต่างไม่มาก เพราะทั้งแพงกว่าและใช้เวลาไม่ต่างกันมาก และแม้จะด้านเทียบค่าใช้จ่ายกับเวลาแล้วการขับรถคุ้มค่ากว่าการเดินทางสาธารณะก็จริง แต่การมีรถก็ยังเป็นภาระอันหนักอึ้ง เมื่อเทียบกับเงินเดือน 15,000 บาท เพราะต่อให้มีเงินดาวน์เยอะหรือผ่อนได้นาน ค่าผ่อนรถอย่างถูกสุดก็เฉลี่ย 6,256 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 42% ของเงินเดือน

นอกจากนี้ คนมีรถยังมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันอีก 21% และหากขึ้นทางด่วนต้องเพิ่มเป็นอีก 20% ของเงินเดือน โดยที่ยังไม่รวมต้นทุนแฝงอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นค่าต่อทะเบียน เปลี่ยนยาง ตรวจเช็คสภาพ ค่าประกัน ฯลฯ และยังไม่นับรวมความสูญเสียเชิงมหภาพต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น รัฐควรอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น แต่การอุดหนุนระบบขนส่งสาธารณะต้องคิดอย่างเป็นระบบและสมเหตุสมผล ไม่ใช่เพียงแต่จะสร้างรถไฟฟ้าเท่านั้น เช่น ระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งรัฐลงทุนสร้างถึง 82,300 ล้านบาท มีคนใช้อยู่ที่ 55,000 คนต่อวัน เทียบกับรถเมล์ ขสมก. ซึ่งมีคนใช้ถึง 1 ล้านคนต่อวัน แต่ในกรณีของรถเมล์โดย ขสมก. ได้รับการอุดหนุนจากรัฐเพียง 2,200 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 6 บาท/คน/เที่ยว ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงได้รับการอุดหนุนถึง 2,900 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 147 บาท/คน/เที่ยว  

ขณะเดียวกัน ต้นทุนในการทำรถเมล์อยู่ที่คันละ 3-10 ล้านบาท ขณะที่รถไฟฟ้าต้องลงทุนถึง กิโลเมตรละ 2-9 พันล้านบาท ซึ่งการลงทุนในรถเมล์ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ผ่านมารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กลับสร้างแต่รถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยล่าสุด ได้อนุมัติโครงการสร้างรถไฟฟ้าไปแล้วถึง 508,609 ล้านบาท

“ทั้ง ๆ ที่ฐานผู้ใช้ของรถเมล์คือผู้มีรายได้น้อย แต่ฐานผู้ใช้รถไฟฟ้าคือชนชั้นกลางระดับบน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ขาดมากและควรอุดหนุนมากกว่ารถไฟฟ้าคือรถเมล์” สุรเชษฐ์กล่าว

ลั่น “ก้าวไกล” เป็นรัฐบาลจะบีบคลอด “ตั๋วร่วม-ค่าโดยสารร่วม” ไม่เกรงใจเจ้าสัวใหญ่เหมือนรัฐบาล “ประยุทธ์” 

สุรเชษฐ์ ยังอภิปรายต่อถึงข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาค่าเดินทางที่แพงขึ้นในปัจจุบัน โดยระบุว่าสิ่งที่รัฐควรนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว คือระบบ “ตั๋วร่วม” และ “ค่าโดยสารร่วม” ซึ่งต่างจากสิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กำลังจะทำโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ สำหรับข้อเสนอของพรรคก้าวไกล ระบบตั๋วร่วม จะต้องใช้ร่วมกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเป็นแกนหลักที่ผ่านกลางเมืองด้วย ไม่ใช่แยกออกไปอย่างที่รัฐบาลกำลังพิจารณา

นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำคือ EMV (Europay Mastercard and Visa) เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกในการจ่ายเท่านั้น ทั้งที่คุณูปการที่แท้จริงของระบบตั๋วร่วม คือ ABT (Account Based Ticketing) ที่สามารถแตะเข้า-ออกได้ทั้งระบบรถไฟฟ้าทุกสายและรถเมล์ แล้วทุกอย่างรวมศูนย์มาที่ Central Clearing House ที่จะต่อยอดไปถึงการทำค่าโดยสารร่วมได้ในอนาคต

ส่วนข้อเสนอค่าโดยสารร่วม ตนเสนอว่าจะต้องเป็นรถเมล์ร่วมรถไฟฟ้าด้วย โดยไม่คิดค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนเมื่อข้ามสายหรือข้ามระบบ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ คือการคิดราคาค่าโดยสารร่วม บนพื้นฐานของราคาปัจจุบันที่ 8-45 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เป็นไปได้จริง โดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนมากเกินไปนัก

โดยในระบบรถเมล์อยู่ที่ 8-25 บาท ค่าแรกเข้า 8 บาท ค่าระยะทาง 1 บาท/กิโลเมตร สูงสุดไม่เกิน 25 บาท ส่วนระบบรถไฟฟ้าอยู่ที่ 15-45 บาท ค่าแรกเข้า 15 บาท ค่าระยะทาง 2 บาท/กิโลเมตร สูงสุดไม่เกิน 45 บาท โดยที่การเดินทางข้ามสายภายในระบบรถเมล์หรือรถไฟฟ้า ให้ยกเว้นค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน และหากเป็นการเดินทางข้ามระบบทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า ให้ยกเว้นค่าแรกเข้ารถเมล์และสูงสุดไม่เกิน 45 บาท

สุรเชษฐ์ยังยกตัวอย่าง ว่าหากย้อนกลับไปที่ตัวอย่างของบุคคลที่ตนยกมาข้างต้น โครงสร้างค่าโดยสารร่วมเช่นนี้ จะช่วยลดค่าโดยสารในขาไป จาก 107 บาท เหลือเพียง 54 บาทในทันที และเมื่อมีการขยายโครงข่ายรถเมล์เสร็จ จะทำให้เหลือค่าโดยสารเพียง 45 บาทเท่านั้น ส่วนในขากลับ จะลดจาก 61 บาท เหลือ 54 บาททันที และเหลือ 45 บาทเมื่อขยายโครงข่ายรถเมล์เสร็จ

สุรเชษฐ์ ยังระบุด้วย ว่าการทำระบบเช่นนี้คือสิ่งที่เป็นไปได้ และไม่ต้องใช้งบประมาณอุดหนุนมากเกินความเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำให้ค่าโดยสารรถสาธารณะถูกลงกว่านั้นได้อีก หากเราไม่ได้นำงบประมาณไปเสียในสิ่งที่ไม่ควรจะเสีย เช่น กรณีของค่าทางด่วน ที่รัฐบาลนี้ยอมเสีย “ค่าแกล้งโง่” ไปเจรจายอมความยกเลิกข้อพิพาท แลกกับสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน ที่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ไปเข้ากระเป๋านายทุนใหญ่ถึง 166,204 ล้านบาท เพราะหากไม่จ่าย “ค่าแกล้งโง่” นี้ จะทำให้ค่าโดยสารร่วมถูกลงได้อีก และทำให้รัฐมีเงินเหลือไปทำโครงสร้างขนส่งสาธารณะได้อีกมากมาย เช่น การขยายโครงข่ายรถเมล์และ Feeders รวมถึงการปรับปรุงจุดเชื่อมต่อ การอุดหนุนรถเมล์ฟรีสำหรับผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น

อัดขยายสัมปทานสายสีเขียวอีก 30 ปี ไร้ความโปร่งใส

สุรเชษฐ์ อภิปรายต่อว่า ที่น่าเสียดายไปกว่านั้น คือกรณีสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเรากำลังจะเสียไปอย่างไม่ชอบธรรมอีกครั้ง ทั้งที่พรรคก้าวไกลเคยเสนอแล้วให้รัฐบาลไปเจรจาใหม่ให้มีความโปร่งใส แต่รัฐบาลก็ไม่ทำ แล้วยังใช้มาตรา 44 ไปแอบเจรจากันออกไม่กี่วันหลังการเลือกตั้ง ทั้งที่ช่วงนั้นยังเป็นรัฐบาลรักษาการอยู่ และสัมปทานเดิมก็ยังเหลืออีก 7 ปี  นอกจากนี้ ในสัญญาสัมปทานก็ไม่ได้มีข้อเท็จจริงอะไรเปลี่ยนไปเลย เป็นร่างสัญญาเดิมซึ่งพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยแน่นอน  “กำไรจากท่อนไข่แดงที่จะหมดสัมปทานปี 2572 มีเท่าไหร่ก็ไม่เปิดเผย ค่าใช้จ่ายแต่ละปีก็ไม่เปิดเผย ข้อความมันกระจ่างว่าเหตุใดถึงไม่เปิดเผย ผมทราบจากการเอา พ.ร.บ.ร่วมทุนกับคำสั่ง คสช.มาเทียบกัน ข้อความที่หายไปก็คือมาตรา 6(5) คือเรื่องของความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ที่มันหายไปกับมาตรา 44 แล้ว” สุรเชษฐ์กล่าว และยังอภิปรายทิ้งท้าย ว่าสุดท้ายนี้การผลักดันตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม จะนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่เหมือนกับการปะผุปัญหาเฉพาะสายสีเขียว ที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างยากขึ้นไปอีก 30 ปี

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net