Skip to main content
sharethis

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เดินเท้า 60 กม. รณรงค์บอกเล่าความเดือดร้อนจากเหมืองแร่โปแตช พร้อมเข้ายื่นหนังสือผู้ว่าราชการ จ.นครราชสีมา ขอให้ชี้แจงประเด็นปัญหาและเร่งแก้ปัญหาความเค็มในพื้นที่โดยเร็ว

27 ก.ค.2565 กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จ.นครราชสีมา แจ้งว่า วานนี้ ( 26 ก.ค. 65 ) เวลา 10.15 น. กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด ระบุว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการทำเหมืองแร่โปแตชของบริษัท ไทยคาลิ จำกัด ที่ทำเหมืองแร่โปแตช ในลักษณะของการทำเหมืองใต้ดิน ที่ ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ประมาณ 50 คน เดินทางมาถึงอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารีร่วมกันสักการะขอพร แล้วเริ่มเดินรณรงค์เพื่อบอกเล่าเรื่องราวผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ผ่านป้ายผ้า การกล่าวปราศรัย และแจกเอกสารให้ข้อมูลตลอดสองฟากฝั่งถนนที่มีการรณรงค์ ซึ่งการจัดกิจกรรมดังกล่าวก็ทำให้มีผู้ให้ความสนใจ

เดินทางถึงที่ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมาในเวลา 11.20 น. ซึ่งเป็นจุดหมายของการเดินรณรงค์กว่า 60 กิโลเมตร จาก ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด เพื่อรณรงค์ให้คนจังหวัดนครราชสีมารับรู้ข้อมูลผลกระทบจากการทำเหมืองโปแตช และต้องการยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯนครราชสีมาให้มีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงประเด็นข้อซักถาม และเร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยเร็ว

เวลาประมาณ 14.00 น. วิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา มาถึงศาลากลางจังหวัด และสั่งการให้เปิดห้องประชุม เพื่อให้กลุ่มเข้าชี้แจงประเด็นปัญหา พร้อมทั้งเรียกให้ตัวแทนอุตสาหกรรมจังหวัด ปลัดอำเภอ และ สิ่งแวดล้อมภาค 11 เข้าร่วมชี้แจงตอบข้อสงสัยแก่กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯด้วย

ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุดทด ชี้แจงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

1.      เห็นว่าการทำเหมืองแร่โปแตช ของบริษัทไทยคาลิ มีกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาของพื้นที่ที่อยู่ติดชุมชน และมีการใช้แหล่งน้ำสาธารณะของประชาชนในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต

2.      พื้นที่โครงการทำเหมือง ของบริษัทไทยคาลิ เหตุใดจึงมีการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่นอกเขตแผนผังโครงการทำเหมือง พร้อมทั้งมีการขุดบ่อน้ำนอกเขตแผนผังโครงการทำเหมืองเดิมอย่างมากมาย การกระทำเช่นนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

3.      ประชาชนในพื้นที่ได้บอกเล่าประเด็นปัญหาผลกระทบจากความเค็มที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และได้ชี้ให้เห็นว่าความเค็มดังกล่าวเริ่มอุบัติขึ้นหลังเหมืองแร่เข้ามาในพื้นที่ และเริ่มขุดเจาะ โดยมีประเด็นสำคัญคือการปล่อยน้ำลงสู่ที่ดินของประชาชนนพื้นที่ในปี พ.ศ. 2559 ที่ทำให้ความเค็มแพร่กระจายในพื้นที่ จนหลายหมู่บ้านทำประปาชุมชนไม่ได้ และมี 2 หมู่บ้านคือ บ้านหัวนา และ บ้านหนองกระโดน ต.หนองไทร ต้องซื้อน้ำจากเหมืองแร่ในราคาหน่วยละ 25 บาท ในการอุปโภคบริโภค ซึ่งมีการแจ้งข้อมูลในพื้นที่ว่า เหมืองแร่จะได้ส่วนแบ่งหน่วยละ 18 บาท เป็นค่าน้ำ และกำนัน (ผู้ใหญ่บ้านหัวนา) ได้หน่วยละ 7 บาท เป็นค่าซ่อมบำรุง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น

4.      มีการตั้งข้อสงสัยว่าเหมืองแร่มีการทำตาม EIA ปล่อยให้มีน้ำเค็มรั่วไหลออกนอกพื้นที่ และมีการต่อท่อปล่อยน้ำออกจากเขตพื้นที่โครงการ ลงสู่แหล่งน้ำและที่ดินทำกินของประชาชนในพื้นที่ ทำให้ขณะนี้หลายคนไม่สามารถทำการเกษตรใดๆได้ บ้านเรือนผุพังจากการกัดกร่อนของความเค็ม

5.      ปัญหาของการรั่วไหลของน้ำในอุโมงค์ขุดเจาะเดิม ที่ไม่มีการชี้แจงข้อมูลให้ประชาชนในพื้นที่ทราบแต่อย่างใด ทั้งที่มีการรั่วไหลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 แต่มีการรายงานเมื่อ 2564 และประชาชนในพื้นที่ได้รู้จากข้อมูลมติ ครม. ในปีปัจจุบัน ทั้งยังไม่มีมาตรการป้องกัน หรือชดเชยความเสียหาย แต่กลับเดินหน้าในการทำอุโมงค์ขุดเจาะใหม่ 3 จุด โดยเพิกเฉยต่อผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่

รายงานข่าวระบุด้วยว่า บรรยากาศในห้องประชุม ผู้ว่าฯ เปิดโอกาสให้หน่วยงานอุตสาหกรรมจังหวัดได้ชี้แจงตอบข้อสงสัยของประชาชนในพื้นที่ โดยระบุว่าในพื้นที่มีค่าความเค็มสูงอยู่แล้วจากการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และบ่อน้ำสาธารณะ ที่มีการพังลงจนเกิดน้ำทะลักลงสู่ที่นาของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่ได้เป็นบ่อน้ำของบริษัท แต่เป็นบ่อที่ทาง องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไทรแจ้งว่าเป็นบ่อขยะ และขอให้ทางบริษัทปรับปรุงให้ เมื่อมีฝนตกจำนวนมากขอบบ่อจึงพัง และทางบริษัทได้มีการจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้ประชาชนในพื้นที่แล้ว และในส่วนของโครงการที่ทำเกินแผนผังโครงการทำเหมืองนั้นเป็นส่วนของโรงต้มเกลือ ที่ทำหน้าที่ทำให้เกลือบริสุทธิ์ก่อนนำไปจำหน่าย โดยทาง อุตสาหกรรมจังหวัดได้เน้นย้ำว่า บริษัทยังไม่ได้มีการผลิตแร่แต่อย่างใด พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางอุตสาหกรรมจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัท หลังพบว่ามีการขุดบ่อน้ำเพิ่มเติมจาก 5 บ่อ เป็น 10 บ่อ โดยไม่ได้รับอนุญาต

หลังจากฟังข้อมูลดังกล่าว กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ที่มาต่างส่งเสียงทักท้วงถึงความไม่ถูกต้องของข้อมูลในหลายประเด็น เพราะแหล่งน้ำสาธารณะของชาวบ้านไม่เคยมีใครนำขยะไปทิ้ง เพราะเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านจะต้องไปใช้ดื่มกิน และในปี 2559 บ่อก็ไม่ได้พังแต่มีการใช้รถแบคโฮขุดขอบบ่อจงใจให้น้ำไหลออก อีกทั้งตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯยังแสดงภาพกองเกลือขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในเหมืองแร่ให้ทางส่วนราชการได้ดูด้วย ว่าเหมืองแร่ดังกล่าวมีการแต่งแร่แล้ว ย่อมต้องมีน้ำเค็มที่เกิดการกระบวนการแต่งแร่ดังกล่าวจำนวนมาก

จากนั้นทางผู้ว่าฯ ได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก ตัวแทนสำนักงานสิ่งแวดล้อมที่ 11 นครราชสีมา โดยทางตัวแทนได้ชี้แจงผลการตรวจน้ำ จากจุดที่พบการรั่วซึมจากขอบบ่อน้ำของบริษัทที่หลายจุดเกินค่ามาตรฐาน และบางจุดมีค่าความเค็มเกินกว่าน้ำทะเล ทั้งยังพบว่ามีการต่อท่อออกมาจากบ่อน้ำของบริษัท จึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจมีการรั่วซึมของน้ำเค็มจากเหมืองแร่จริง

รายงานจากกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ระบุด้วยว่าในการประชุมยังไม่ได้ข้อสรุป ผู้ว่าฯ จึงเสนอให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกันระหว่างหน่วยงานและชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีการนัดหมายกันในช่วงบ่ายวันที่ 7 สิงหาคม 65 ณ วัดหนองไทร ต.หนองไทร อ.ด่านขุนทด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาในพื้นที่

หลังปิดประชุมประชาชนในพื้นที่ได้มีการยื่นหนังสือเพื่อให้มีการตอบประเด็นปัญหาต่างๆเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะมีอีกหลายข้อที่ไม่ได้กล่าวถึงในที่ประชุม เช่น การจ่ายค่าลอดใต้ถุน และการร่วมกันปกปิดข้อเท็จจริงด้วยการร่วมมือกันระหว่าง อบต.หนองไทร กับ บริษัทฯ ด้วยการขุดหน้าดินที่วัดหนองไทรออกไปที่อื่นแล้วนำดินใหม่มาถมทับ

กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดฯ ระบุตอนท้ายรายงานด้วยว่า วันดังกล่าวประชาชนในพื้นที่หลายคนรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่ได้มาร่วมกันรณรงค์บอกเล่าประเด็นปัญหาในโคราช และรู้สึกมีความหวังต่อการลงพื้นที่ของผู้ว่าฯนครราชสีมา เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ ต่างเพิกเฉย และข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านออกมาคัดค้านเหมือง หากผู้ว่าฯลงพื้นที่ เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็จะได้ตั้งใจทำงานเพื่อรับใช้ประชาชนมากขึ้น

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net