เครื่องบินของ 'แนนซี เพโลซี' ประธานสภาผู้แทนราษฎร สหรัฐฯ เดินทางถึงไต้หวันแล้ว นับเป็นการเยือนไต้หวันของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระดับสูงที่สุดในรอบ 25 ปี ท่ามกลางคำเตือนของจีน
Our visit reiterates that America stands with Taiwan: a robust, vibrant democracy and our important partner in the Indo-Pacific. pic.twitter.com/2sSRJXN6ST
— Nancy Pelosi (@SpeakerPelosi) August 2, 2022
2 ส.ค.2565 สื่อหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศ รวมทั้งทวิตเตอร์ @SpeakerPelosi ของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ รายงานตรงกันว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางถึงไทเปของไต้หวันแล้ว เวลา 22.44 น. ตามเวลาท้องถิ่น ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ไต้หวันยที่ตรึงกำลังและรักษาความปลอดภัย
Our delegation’s visit to Taiwan honors America’s unwavering commitment to supporting Taiwan’s vibrant Democracy.
Our discussions with Taiwan leadership reaffirm our support for our partner & promote our shared interests, including advancing a free & open Indo-Pacific region.
— Nancy Pelosi (@SpeakerPelosi) August 2, 2022
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ อ้างรายงานจากสำนักข่าวเอเอฟพี ระบุว่า จีนประณามว่าการกระทำของสหรัฐในไต้หวัน “เป็นอันตรายอย่างยิ่ง”
พีพีทีวีรายงานก่อนที่ เพโลซี จะเดินทางไปไต้หวัน ว่า จ้าวลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า “เราอยากจะบอกสหรัฐฯ อีกครั้งว่า จีนพร้อม และกองทัพปลดแอกประชาชนจีนจะไม่มีวันนิ่งเฉย จีนจะตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวและดำเนินมาตรการอย่างเข้มแข็งเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน ... ส่วนมาตรการจะเป็นอย่างไรนั้น ถ้าเธอกล้าไปไต้หวัน ก็รอดูกัน”
ก่อนหน้านี้ มติชนออนไลน์ รายงานด้วยว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีน เตือนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ ระหว่างการหารือของผู้นำทั้งคู่เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าอย่าเล่นกับไฟในกรณีไต้หวัน โดยเน้นย้ำความกังวลของจีนต่อข่าวการเยือนไต้หวันของ ประธานรัฐสภาสหรัฐ
ไทยพีบีเอสรายงานด้วยว่า การเดินทางเยือนไต้หวันของเพโลซีในครั้งนี้ ไม่ได้ระบุไว้ในกำหนดการเดินทางเยือนเอเชีย ซึ่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีกำหนดการเดินทางเยือน 4 ประเทศ โดยเดินทางไปสิงคโปร์เป็นจุดหมายแรก ก่อนเดินทางต่อไปมาเลเซีย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น เพื่อกระชับความร่วมมือในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก
การเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และเกิดขึ้นท่ามกลางคำเตือนของจีนที่ประกาศกร้าวว่า สหรัฐฯ จะต้องรับผิดชอบและรับผลที่จะตามมา จากการบั่นทอนผลประโยชน์ด้านความมั่นคงทางอธิปไตยของจีน