Skip to main content
sharethis

ศาลรัฐธรรมนูญชี้ ความเป็นนายกฯ ของ ‘ประยุทธ์’ ยังไม่สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 170 วรรค 2 ประกอบ มาตรา 158 วรรค 4 พร้อมระบุจะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่ง คือ 6 เม.ย.60

30 ก.ย.2565 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย กรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสอง ประกอบมาตรา 158

ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยตอนหนึ่งว่า กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับนับแต่วันประกาศใช้ เมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2560 ย่อมมีความหมายว่าทุกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมีผลบัญญัติไว้เป็นการทั่วไป เว้นแต่ในบทเฉพาะกาลจะมีการบัญญัติให้เรื่องใดยังไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้น ไม่ว่ากรณีใด เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับทุกอย่าง จึงต้องเริ่มนับทันที กรณีรัฐธรรมนูญ 158 วรรคสี่ เรื่องระยะ 8 ปี จึงต้องเริ่มนับทันทีนับแต่วันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ

การดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ (ผู้ถูกร้อง) พล.อ.ประยุทธ์ เป็นการดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ อยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 158 วรรค 4 ทั้งนี้การให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 นี้ เป็นคณะรัฐมนตรีรตามบทบัญญัติของรัฐมนตรีนี้จะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่ง ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามความมาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญ 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 ถึงวันที่ 24 ส.ค.2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 4 ความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลงตาม รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรค 2 ประกอบ มาตรา 158 วรรค 4 

ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมากจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลง ตาม รัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 170 วรรค 2 ประกอบ มาตรา 158 วรรค 4 

โดย เดลินิวส์ รายงานด้วยว่า จาการตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างมาก 6 ราย ที่ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังดำรงตำแหน่งไม่ครบ 8 ปี ได้แก่ วรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, ปัญญา อุดชาชน, อุดม สิทธิวิรัชธรรม, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์, จิรนิติ หะวานนท์ และวิรุฬห์ แสงเทียน

ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างเสียงข้างน้อย 3 ราย ที่เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปีแล้ว ได้แก่ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ และนภดล เทพพิทักษ์

ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญอ่านเฉพาะส่วนของการพิจารณา ดังนี้


เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรค 1 ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ (1) ตาย  (2) ลาออก (3) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 186 หรือมาตรา 187 (6) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 171

และวรรค 2 บัญญัติว่า นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 158 วรรค 4 ด้วย

โดยมาตรา 158 วรรค 4 บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 1 บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน 35 คนประกอบกันเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน

วรรค 2 บัญญัติว่า นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159

วรรค 3 บัญญัติว่า ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี

มาตรา 159 วรรค 1 บัญญัติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็่นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

วรรค 2 บัญญัติว่า การเสนอชื่อตามวรรค 1 ต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

วรรค 3 บัญญัติว่า มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

และมาตรา 272 วรรค 1 บัญญัติว่า ในระหว่าง 5 ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรค 1 ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรค 3 ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2สภา

วรรค 2 บัญญัติว่า ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้ง 2 สภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้

รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดวิธีการได้มาซึ่งนายกฯ ไว้เป็น 2 กรณี ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับอื่นๆ คือการได้มาซึ่งนายกฯ ตามมาตรา 159 และการได้มาซึ่งบุคคลดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 272 

การได้มาซึ่งนายกฯ ตามมาตรา 159 มีหลัการสำคัญว่า ให้พิจารณาเห็นชอบบุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นนายกฯ จากบุคคลที่พรรคการเมืองแจ้งชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนการเลือกตั้ง โดยจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญกำหนดด้วยจึงเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งซึ่งการได้มาซึ่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นเมื่อผู้ถูกร้อง (พล.อ.ประยุทธ์)ได้รับความเห็นชอบตามมาตรา 159 ประกอบ มาตรา 272 และได้พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 เมื่อวันที่ 9 ก.ย.2562 แล้ว ผู้ถูกร้องจึงเป้นผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยบริบูรณ์ และเป็นไปตามหลักทั่วไปของการมีผลใช้บังคับกฎหมาย และหลักความแน่นอนชัดเจนของกฎหมาย 

กล่าวคือ การดำรงตำแหน่งนายกฯ ตาม มาตรา 158 วรรค 4 ต้องพิจารณากระบวนการแต่งตั้งนายกฯ ตามมาตรา 158 ประกอบ มาตรา 159 โดยเฉพาะเงื่อนไขมาตรา 159 วรรค 1 บัญญัติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็่นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีความหมายเฉพาะเจาะจงตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ 2560 คือบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อนายกฯ จะต้องเป็นผู้ที่มีอยู่ใยบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร 

ผู้ถูกร้องได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 มาตรา 19 วรรค 1 เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2557 ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรางแต่งตั้งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องไม่ใช่นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งต้องมีที่มาตรามาตรา 158 วรรค 2 กล่าวคือ ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มีบทเฉพาะกาล มาตรา 264 วรรค 1 บัญญัติว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา 263 วรรค 3 มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม 

วรรค 2 บัญญัติว่า รัฐมนตรีตามวรรค 1 นอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แล้ว ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้สำหรับรัฐมนตรีตามมาตรา 160 ยกเว้น (6) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 170 ยกเว้น (3) และ (4) แต่ในกรณีตาม (4) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 98 (12) (13) (14) และ (15) และยกเว้นมาตรา 170 (5) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา 184 (1)

วรรค 3 บัญญัติว่า การดำเนินการแต่งตั้งรัฐมนตรีในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พุทธศักราช 2558 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2559 แต่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสองด้วย

วรรค 4 บัญญัติว่า ให้นำความในมาตรา 263 วรรค 7 มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรค 1 และวรรค 3 ด้วยโดยอนุโลม

กรณีจึงมีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า จะถือว่าคณะรัฐมนตรีซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 นั้น เป็นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 264 วรรค 1 เป็นบทบัญญัติที่มีความมุ่งหมาย 2 ประการ ความมุ่งหมายประการแรก เพื่อให้บทบัญญัติที่ยืนยันถึงหลักความต่อเนื่องของคณะรัฐมนตรี กล่าวคือ แม้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีผู้ถูกร้องเป็นนายกฯ จะเป้นคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับอื่นอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับ แต่เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2560 แล้ว ต้องถือว่าคณะรัฐมนตรีซึ่งแม้จะเข้าสู่ตำแหน่งโดยรัฐธรรมนูญฉบับอื่นก็ตาม ย่อมเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ 2560 ตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 อันเป็นวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นต้นไปตามบทเฉพาะกาล มาตรา 264 ดังกล่าว

ส่วนความมุ่งหมายประการที่ 2 เพื่อนำกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้บังคับใหม่ตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช่ด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักทั่วไปที่คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ประกาศขึ้นมาใหม่ทันที เว้นแต่ในบทเฉพาะกาลนั้นจะมีข้อยกเว้นว่าที่ให้นำเรื่องใดมาใช้บังคับแก่คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ดังปรากฏในมาตรา 264 วรรค 2 ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการบัญญัติข้อยกเว้นในบางเรื่องเท่านั้น ดังนั้นหากมิได้บัญญัตยกเว้นบทบัญญัติในเรื่องใดไว้ก็ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเรื่องนั้นๆ ทั้งสิ้น

ความมุ่งหมายขอบบทเฉพาะกาลมาตรา 264 จึงเป็นไปตามหลักทั่วไปของการใช้บังคับกฎหมาย คือ กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับนับแต่วันประกาศใช้ เมื่อรัฐธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 6 เม.ย.2560 ย่อมมีความหมายว่าทุกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญย่อมมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป เว้นแต่ในบทเฉพาะกาลจะมีการบัญญัติให้เรื่องใดยังไม่มีผลใช้บังคับ ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับ ทุกอย่างจริงต้องเริ่มนับทันที กรณีตามมาตรา 158 วรรค 4 ในเรื่องระยะเวลา 8 ปี จึงต้องนับทันทีนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลใช้บังคับ

จากหลักกฎหมายหมายดังกล่าวข้างต้น จึงวินิจฉัยได้ว่า ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นนายกฯ ที่บริหารราชการแผ่นดิน อยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นนายกฯ ตามมาตรา 158 วรรค 4 ของรัฐธรรมนูญนี้ด้วย 

สำหรับข้อกล่าวอ้างที่ว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3-5/2550 และ 24/2564 เป็นการใช้กฎหมายย้อนหลังเพื่อเพิกถอนสิทธิทางการเมืองของกรรมการบริหารพรรคการเมือง และการสิทสุดสภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิใช่โทษทางอาญาสามารถกระทำได้ เช่นเดียวกับคำร้องในคดีนี้นั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นกรณีเกี่ยวกับพรรคการเมืองกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองอันเป็นเหตุให้ยุบพรรคและเป็นผลให้กรรมการบริหารพรรคการเมืองถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง และเป็นกรณีลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นเหตุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง และทั้ง 2 กรณีดังกล่าวมีบทบัญญัติของกฎหมายที่เขียนไว้โดยชัดเจนว่าให้มีผลย้อนหลังได้ เพราะเป็นการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหรือขาดคุณสมบัติมาตั้งแต่แรก แต่บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ใช้บังคับมิได้บัญญัติกรณีการดำรองตำแหน่งของนายกฯ ตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มีผลย้อนหลังได้ คำวินิจฉัยทั้ง 2 ดังกล่าวจึงเป็นคนละกรณีกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ที่เป็นกรณีการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด อันเป็นเหตุการความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯสิ้นสุดลง ซึ่งมีหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ต่างกัน จึงไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้ 

ส่วนข้ออ้างของผู้ร้องที่ว่าบันทึกการประชุมคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 500 วันศุกร์ที่ 7 ก.ย.2561 ระบุเจตนารมณ์การจำกัดระยะการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 ไว้อย่างชัดเจน ประกอบการประชุมดังกล่าวประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนที่ 1 ได้ให้ความเห้นเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญ 2560 ใช้บังคับว่า บุคคลใดก็ตามที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ด้วยวิธีการใดก็ตามก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับก็สามารถนับรวมระยะเวลาดังกล่าวกับระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560 ได้ เมื่อรวมระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องมีระยะไม่เกิน 8 ปีนั้น เห็นว่าการประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งเป็นการอธิบายแนวความคิดของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในการจัดทำบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ว่ามีความมุ่งหมายอย่างไร เป็นการพิจารณาภายหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้เป็นเวลาถึง 1 ปี 5 เดือน ประกอบกับความเห็นของประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและรองประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญคนที่ 1 ที่ผู้ร้องอ้างดังกล่าว มิได้นำไประบุไว้เป็นความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 นอกจากนี้ตามบัญทึกการประชุมและรายงานการประชุมของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของนายกฯ ตามมาตรา 158 วรรค4 ไม่ปรากฏประเด็นในการพิจารณาหรืออภิปรายเกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ว่าสามารถนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้บังคับด้วย การกำหนดเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 จึงมีความหมายเฉพาะการดำรงตำแหน่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญ 2560

ดังนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้บังคับในวันที่ 6 เม.ย.2560 และผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกฯ และรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งบริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ตามบทเฉพาะกามาตรา 264 การดำรงตำแหน่งนายกฯ ของผู้ถูกร้องดังกล่าว จึงเป็นการดำรงตำแหน่งนายกฯ ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ ต้องอยู่ภายใต้บังคับตามมาตรา 158 วรรค 4 ทั้งนี้การให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้จะต้องถือเอาวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นวันเริ่มต้นเข้ารับตำแหน่ง ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกฯตามความมาตรา 264 ของรัฐธรรม 2560 นับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 ถึงวันที่ 24 ส.ค.2565 ผู้ถูกร้องจึงดำรงตำแหน่งนายกฯ ยังไม่ครบกำหนดเวลาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรค 4 ความเป็นนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลงตาม รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 170 วรรค 2 ประกอบ มาตรา 158 วรรค 4 

ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเสียงข้างมากจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สิ้นสุดลง ตาม รัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 170 วรรค 2 ประกอบ มาตรา 158 วรรค 4 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net