Skip to main content
sharethis

‘หมอประเวศ’ ชี้ปี 2566 “ปีแห่งการเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย” ชูแนวทาง “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” เป็น 'คานงัด' บูรณาการ 8 มิติการพัฒนาประเทศแบบไม่แยกส่วน ผลักดันเศรษฐกิจฐานรากหนุนเศรษฐกิจมหภาค ระดมผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลงทุกรุ่นร่วม 1,300 คนผนึกกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลง สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาด้วย “ความรู้ –การเคลื่อนไหวสังคม-เชื่อมโยงฝ่ายนโยบาย” 


ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพกิตติมศักดิ์

8 เม.ย. 2566 มูลนิธิสัมมาชีพแจ้งข่าวว่า ศ.นพ.ประเวศ วะสี ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพกิตติมศักดิ์ กล่าวว่า ปี 2566 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย หากพัฒนาประเทศไปตามแนวทาง “สัมมาชีพเต็มพื้นที่” โดยประเทศไทยต้องการเครื่องมือที่ถูกต้องในการพัฒนาประเทศ หรือออกแบบกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศที่ถูกต้อง นั่นคือ การสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่ 

“การเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะเลือกตั้งแล้วก็คงได้รัฐบาลมาคล้ายๆ เดิม ทำอะไรไม่ได้มาก เนื่องจากการเมืองมีข้อจำกัด ประเทศไทยต้องการเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงมากกว่านั้น ที่เราตั้งมูลนิธิสัมมาชีพขึ้นมา ก็เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยประเทศไทยให้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

หนึ่งในเครื่องมือที่จะสร้างการพัฒนาที่ถูกทาง นั่นคือ แนวคิดสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่ รวมถึงพลังจากบรรดา “ผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง” หรือผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตร Leadership for Change - LFC ซึ่งมูลนิธิสัมมาชีพได้จัดทำขึ้น ซึ่งขณะนี้มีจำนวนพันกว่าคน และศ.นพ.ประเวศ มองว่า เป็นจำนวนมากพอที่จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่านการสื่อสารและรวมกลุ่มเพื่อขับเคลื่อนนโยบาย โดยนําทฤษฎีสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ประกอบด้วย ความรู้  ความเคลื่อนไหวของสังคม และเชื่อมโยงกับฝ่ายนโยบาย มาทำให้สังคมเกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่

“ปี 2566 จะเป็นปีอรุโณทัย การเกิดขึ้นของ “สัมมาทิฏฐิ” ในการพัฒนาประเทศไทย การพัฒนาต้องการแนวคิดที่ถูกต้อง ทฤษฏีที่ถูกต้อง ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ นำไปสู่สัมมาวัฒนา เพราะถ้าทิฏฐิไม่ถูกต้อง ก็ไม่นำไปสู่ความสำเร็จ และอาจจะนำไปสู่ปัญหามากขึ้น การพัฒนาที่ผ่านมาทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทย มันไปในทิศทางที่ผิด ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำ อย่างที่เราเห็น เกิดความปั่นป่วน รุนแรง โกลาหลไปหมด ตอนนี้โลกทั้งโลกปั่นป่วนวุ่นวาย รุนแรงหมด อเมริกาเป็นต้นแบบประชาธิปไตย ขณะนี้ก็เหลื่อมล้ำสุดๆ การเมืองแบ่งข้างแบ่งขั้ว เกือบจะเกิดสงครามกลางเมืองในอเมริกา เพราะแนวคิดการพัฒนามันไม่ถูกต้อง เป็นแนวคิดการสร้างความมั่งคั่ง เป็นแนวคิดแยกส่วน ไปเอาเรื่องการสร้างความมั่งคั่งแยกออกมา” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ศ.นพ.ประเวศ มองว่าจุดสำคัญที่สุดของการพัฒนา หรือความสำเร็จที่แท้จริงของการพัฒนาคือ “การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล” ระหว่างคนกับคน และคนกับสิ่งแวดล้อม ถ้าทุกอย่างสมดุล ก็จะมีความสงบ ยั่งยืน มีความสุข ซึ่งหลักคิดของสัมมาชีพจะให้ความสำคัญกับทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม ศีลธรรมและสิ่งแวดล้อม

“ความเจ็บป่วยทุกชนิดเกิดจากความเสียสมดุล ที่ประเทศไทยเสียสมดุล โลกเสียสมดุล เพราะการพัฒนาไม่ได้เอาการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นตัวตั้ง” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว

ความหมายของ “สัมมาชีพ” ที่ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพกิตติมศักดิ์กล่าวถึง คือ อาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง อาชีพที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อาชีพที่ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม เบียดเบียนโลก หรือเบียดเบียนธรรมชาติ และมีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้ จึงจะมีเงินออม ไม่เป็นหนี้ เมื่อผู้คนไม่เป็นหนี้ มีรายได้ กำลังซื้อจะเพิ่มมากขึ้น ช่วยผลักดันเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ถือเป็นเศรษฐกิจแบบกระจายตัว ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจาย 

“ถ้าดูตามนี้ สัมมาชีพเป็นเศรษฐกิจที่กระจายทั่วถึง ไม่ใช่รวยกระจุก จนกระจาย อันนี้กระจายทั่วถึง  เป็นเศรษฐกิจ จิตใจ เป็นสังคมไม่เบียดเบียน เป็นเรื่องของศีลธรรม เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมด้วย  สัมมาชีพทำให้อยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข คนพอมีรายได้ มีอาชีพ ก็จะรู้สึกมีศักดิ์ศรี รู้สึกภูมิใจ มีความสุข เมื่อจิตใจดีก็ทำให้เจ็บป่วยน้อยลง ความยากจนซึ่งกระทบต่อโอกาสการศึกษา ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก็จะลดลง การพนัน ยาเสพติดก็หายไป ส่วนหนึ่งที่คนไปทำสิ่งเหล่านี้ก็เพราะรู้สึกว่า ตัวเองไม่สมบูรณ์ อยากไปหาอะไรมาเติม แต่พอมีสัมมาชีพ ก็ทำให้มีความสมบูรณ์ในตัว ความชั่วหายไปหมด ทำให้อยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว 

เมื่อมีเศรษฐกิจสัมมาชีพเต็มพื้นที่ สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคมั่นคงไปด้วย โดยเหตุนี้ ศ.นพ.ประเวศ จึงเห็นว่า “ดัชนีสัมมาชีพเต็มพื้นที่” เป็นดัชนีวัดความเจริญทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าการวัดโดยจีดีพี หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เพราะจีดีพีมุ่งแต่การสร้างความมั่งคั่ง กระจุก ไม่กระจายตัว 

“ตรงนี้ถึงบอกว่านักเศรษฐศาสตร์ไม่เข้าใจ มุ่งสร้างแต่ความมั่งคั่ง จีดีพีไม่เหมาะกับการกระจาย ใครเป็นรายใหญ่ หรือใครไปโกงใครเยอะๆ จีดีพีมันก็ขึ้น ไม่ได้บอกศีลธรรมอะไร ต้องใช้ดัชนีสัมมาชีพเต็มพื้นที่วัดความเจริญทางเศรษฐกิจ ต้องเป็นตัวใหม่ตัวนี้ ถึงจะเรียกว่าตรงยุคสมัยจริงๆ” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว 

ขณะเดียวกัน ศ.นพ.ประเวศยังมองว่า การพัฒนาจะหวังพึ่งเศรษฐกิจมหภาคระดับโลกอย่างเดียวไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ผันผวนง่าย ไม่มั่นคง เศรษฐกิจมหภาคของไทยจึงควรเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจรากฐาน เพราะฐานที่มั่นคง จะทำให้ทั้งหมดมั่นคงไปด้วย

“เศรษฐกิจมหภาคจะพึ่งระดับโลกไม่ได้ เพราะมีนักปั่นเยอะ นักปั่นค่าเงิน นักปั่นพลังงาน ปั่นสงครามก็มี เมื่อมีนักปั่น ก็กระทบเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว 

ดังนั้น สัมมาทิฏฐิในการพัฒนาประเทศของไทย การสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ควรจะดำเนินไปอย่างไร ในมุมมองของประธานคณะกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพกิตติมศักดิ์ระบุว่า การสร้างสัมมาชีพให้เต็มพื้นที่ หมายความว่า ทุกคน ทุกพื้นที่ ทุกหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ มีสัมมาชีพ แล้วนำไปเชื่อมโยงกับมิติต่างๆ 8 มิติ คือ ด้านเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม สุขภาพ การศึกษา และประชาธิปไตย เรียกว่า เป็นมรรค 8 ของการพัฒนาประเทศ สิ่งนี้จะทำให้เกิดความสมดุล เรียกว่าเป็น “สัมมาชีพเป็นจุดคานงัดประเทศไทย” ไปสู่ความถูกต้องดีงาม สร้างความเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาประเทศ 

“ที่ผ่านมา เป็นการพัฒนาแบบแยกส่วน เศรษฐกิจก็เศรษฐกิจ จิตใจก็จิตใจ ทำให้พัฒนาไม่สำเร็จ แต่ทั้ง 8 เรื่องต้องบูรณาการอยู่ในกันและกัน เพราะเรื่องทั้งหมดมันไม่ได้แยกกัน มันเชื่อมโยงกัน และที่ว่าสัมมาชีพจะเป็นจุดคานงัด ก็คือ การนำทั้ง 8 มิติ บูรณาการกันเข้ามา อย่างประชาธิปไตยก็เช่นกัน ไม่ใช่การเลือกตั้งอย่างเดียวแล้วจะเป็นประชาธิปไตย สิ่งนั้นยังเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ เพราะยังไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ รายได้กระจุกตัว มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตย” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว 
  
การพัฒนาอย่างบูรณาการ การพัฒนาอย่างมีองค์รวม คือ สิ่งที่ศ.นพ. ประเวศ มองว่า จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างแท้จริง และยังนำสู่ศักยภาพใหม่ของประเทศ

“เหมือนกับร่างกายของเรา เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกอวัยวะ พอเป็นองค์รวม ก็คือ ความเป็นมนุษย์ เป็นคุณสมบัติใหม่ที่ไม่ใช่คุณสมบัติของอวัยวะ ความเป็นมนุษย์นี่มีศักยภาพเยอะมาก เราสามารถเรียนรู้ให้บรรลุอะไรก็ได้ คิดอะไรก็ได้ หรือเปรียบเทียบกับเครื่องบินที่มีระบบประกอบย่อยๆ เป็นหมื่นชิ้น ระบบย่อยเหล่านี้มันบินไม่ได้ แต่พอมันประกอบเป็นองค์รวม เป็นตัวเครื่องบินมันบินได้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยพัฒนาเป็นส่วนๆ ไม่ได้ ต้องเชื่อมโยงเป็นองค์รวม แล้วประเทศไทยจะเกิดคุณสมบัติใหม่ เหมือนเครื่องบินบินได้ เหมือนคนที่มีศักยภาพสูงทำอะไรก็ได้” ศ.นพ.ประเวศ กล่าว  

ผลของการสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ ศ.นพ.ประเวศระบุว่า จะทำให้เกิดองค์รวมในการพัฒนาประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีคุณสมบัติใหม่ที่น่ามหัศจรรย์ เกิดความสมดุล เกิดความปกติ ความสงบ เกิดสุขภาวะ เกิดความยั่งยืน ทำให้เกิดประเทศไทยที่มีความถูกต้องดีงาม นี่คือการเปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย จากสิ่งที่มูลนิธิสัมมาชีพช่วยกันทำมาอย่างต่อเนื่อง 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net