Skip to main content
sharethis

ส.ส.ก้าวไกล ร่วมอภิปรายรายงานผลการดำเนินการกองทุนประกันสังคม ชี้ปัญหาคุ้มครองไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบรวม 18 ล้านคน ตกหล่น 96% แนะยกเครื่องประกันสังคมให้เท่าเทียม มีมาตรการดึงธุรกิจเข้าระบบ แก้ปัญหาการเข้าถึง

 

20 ก.ค. 2566 ทีมสื่อพรรคก้าวไกล รายงานวันนี้ (20 ก.ค.) ที่รัฐสภา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการอภิปรายและรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม โดยในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคก้าวไกล มีผู้อภิปรายหลายประเด็นถึงสถานภาพของกองทุนฯ รวมถึงสถานการณ์ภาพรวมของระบบประกันสังคมในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต

หนึ่งในผู้อภิปรายสำคัญ คือ สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายถึงสถานการณ์ภาพรวมของระบบการคุ้มครองแรงงานผ่านประกันสังคม โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ โดยระบุว่าไม่ว่ากองทุนฯ จะดำเนินงานดีขนาดไหน ตราบที่วันนี้ยังไม่สามารถขยายสิทธิประโยชน์เหล่านี้ไปครอบคลุมแรงงานได้อย่างทั่วถึง ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าประเทศไทยมีระบบคุ้มครองสิทธิประโยชน์ให้แรงงานอย่างเป็นธรรม

ปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานที่ไม่ใช่ข้าราชการ 36 ล้านคน ในจำนวนนี้มี 18 ล้านคนเป็นลูกจ้างในระบบ แต่อีก 18 ล้านคนยังอยู่นอกระบบในบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน และมีเพียง 4% เท่านั้นที่ได้รับความคุ้มครอง นั่นหมายความว่าอีก 96% ยังตกหล่นจากความคุ้มครอง ทั้งที่แรงงานนอกระบบเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญในความเข้มแข็งของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
.
สิทธิพล ยังระบุต่อไปว่า ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อมวันนี้คิดเป็น 96% ของธุรกิจทั้งหมด ยิ่งธุรกิจเล็ก แรงงานก็ยิ่งอยู่นอกระบบมากเท่านั้น และยิ่งได้รับความคุ้มครองที่น้อยลง กว่าครึ่งของแรงงานในธุรกิจขนาดเล็กที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 49 คนไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครอง ขณะที่กว่า 88% ของแรงงานในธุรกิจขนาดย่อมที่มีการจ้างงานน้อยกว่า 5 คน ไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ เลย

มีหลายเหตุผลที่ทำให้ปัจจุบันแรงงานเหล่านี้ตกหล่นจากความคุ้มครอง ประการแรก รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไปเป็นไม่ทางการมากขึ้น เช่น งานพาร์ตไทม์ กิจการส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งระบบประกันสังคมไม่ได้ถูกออกแบบมารองรับงานกลุ่มนี้ ประการต่อมา ระบบประกันสังคมภาคสมัครใจไม่จูงใจมากพอในการดึงดูดผู้ประกันตนมากขึ้น และประการสุดท้าย คือความขาดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้คนเข้าสู่ระบบประกันสังคมมากขึ้น

จากการรวบรวมข้อมูลขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประกันสังคมภาคบังคับ ม.33 และกองทุนเงินทดแทน ครอบคลุมแรงงานเพียง 9-11 ล้านคน จากแรงงานทั้งสิ้น 36 ล้านคน หรือเรามีแรงงานที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ขณะที่การประกันตนแบบสมัครใจตาม ม.39 คุ้มครองแรงงานเพียง 4% ของแรงงานทั้งหมด ส่วนการประกันตนตาม ม.40 คุ้มครองแรงงานต่ำกว่า 1% ของแรงงานทั้งหมด

กองทุนประกันสังคมมีความสำคัญในการเป็นแหล่งประกันความมั่นคงในชีวิต แต่หากแรงงานไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์หรือความคุ้มครองได้อย่างทั่วถึง นั่นจะเป็นปัญหาสำคัญในอนาคต จากข้อมูลทั้งหมด สะท้อนว่าปัญหาการจ้างงานนอกระบบและระดับความคุ้มครองแรงงานภายใต้กองทุนประกันสังคมกำลังอยู่ในภาวะจำกัดและมีปัญหา กองทุนฯ จำเป็นต้องหาแนวทางในการเร่งดึงดูดแรงงานนอกระบบให้เข้าร่วมกองทุนฯ ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้ได้ ต้องมีมาตรการเชิงรุกออกแบบแรงจูงใจที่เหมาะสมให้แรงงานนอกระบบอยากเข้ากองทุน

สิทธิพล ยังอภิปรายถึงข้อเสนอต่อกองทุนประกันสังคม โดยระบุว่าประการแรก กองทุนฯ จำเป็นต้องทำงานร่วมกับส่วนราชการอื่นๆ เพื่อสร้างมาตรการจูงใจที่ดีพอในการดึงดูดธุรกิจให้เข้าสู่ระบบ เช่น นโยบายหวยใบเสร็จ เพื่อช่วยเหลือด้านภาษี การเงิน และแหล่งเงินทุน เพื่อเป็นกลไกจูงใจให้ธุรกิจเข้าสู่ระบบ ประการที่สอง ทำระบบขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้ง่ายขึ้นภายใต้หน่วยงานเดียว ไม่ซับซ้อน พัฒนาระบบรองรับเชื่อมกับฐานข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้แรงงานอิสระขึ้นทะเบียนได้ และประการสุดท้าย กองทุนต้องปรับแก้นิยามความหมายของการจ้างงานในปัจจุบันซึ่งแตกต่างจากในอดีตมาก ปัจจุบันเรามีแรงงานประเภทใหม่ เช่น บนธุรกิจแพลตฟอร์ม หรือเป็นโปรเจกต์ระยะสั้น ซึ่งนับวันมีขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“การบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมมีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ โดยเฉพาะในภาวะสังคมผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กระทบการจ้างงาน และภาวะเศรษฐกิจ ความเป็นไปของกองทุนประกันสังคมเกี่ยวข้องอย่างมากกับการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว” สิทธิพล กล่าว

ตลอดการพิจารณาวันนี้ ส.ส.พรรคก้าวไกล ยังมีการอภิปรายในอีกหลายประเด็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการที่มีกลุ่มผู้ประกันตนออกจากระบบประกันสังคมคิดเป็นเงินกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท สวนทางกับค่าใช้จ่าย ที่ในปี 2563 กองทุนฯ มีค่าใช้จ่ายกว่า 1.3 แสนล้านบาท และในปี 2564 กว่า 1.5 แสนล้านบาท, กรณีรายได้เงินสมทบตาม ม.33 ม.39 ม.40 และเงินสมทบจากรัฐบาล ปี 2563-2564 ลดลงไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท

รวมถึงกรณีสิทธิประโยชน์การรักษาที่ได้รับไม่เท่าเทียมกัน กับสิทธิจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. ซึ่งเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ทั้งที่ผู้ประกันตนต้องออกเงินสมทบด้วย การที่ผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้รับสิทธิประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมกับผู้ประกันตนตาม ม.33 และ ม.39 ไม่ว่าจะเป็นกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และการคลอดบุตร, การลดระเบียบขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้แรงงานข้ามชาติ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจไทย ได้ขึ้นทะเบียนส่งเงินสมทบเข้าเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มรายได้ให้กองทุนประกันสังคมอย่างยั่งยืน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net