เนื่องด้วยเรื่องพลังงาน กำลังเป็นประเด็นปัญหาสำคัญร่วมของโลกในเวลานี้ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงจัดเวทีเสวนาว่าด้วย สถานการณ์พลังงานโลกและการปรับตัวของไทย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่หอประชุมศรีบูรพา (หอเล็ก) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประเด็นที่เสวนากันมีทั้งในเรื่องการประเมินและคาดการณ์สถานการณ์น้ำมัน และในส่วนของภาคไฟฟ้าซึ่งก็นับเป็นส่วนสำคัญของพลังงาน เพราะต้องใช้เชื้อเพลิงจำนวนมากในระบบการผลิต
ในที่นี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาที่มุ่งเน้นไปยังภาคไฟฟ้าของไทยเป็นหลัก โดยแบ่งเป็นเวทีการนำเสนอผลการศึกษา(และมีผู้วิจารณ์) คือ เรื่อง "พลังงานหมุนเวียนและทางเลือกในองค์ประกอบพลังงานของไทย" และเรื่อง "การปฏิรูปภาคการไฟฟ้าของไทย: บทวิเคราะห์และความท้าทายในอนาคต"
นอกจากนี้ยังมีวงอภิปรายอีก 1 รายการ ว่าด้วยเรื่อง "สถานการณ์พลังงานโลกและการปรับตัวของไทย" โดยจะแยกนำเสนอไปตามลำดับ
พลังงานหมุนเวียนและทางเลือกในองค์ประกอบพลังงานของไทย
โดย ดร.
ผู้วิจารณ์ รศ.ดร.
เป้าหมายการศึกษาของ "ชโลทร" ก็เพื่อเปรียบเทียบระหว่าง การคาดการณ์แนวโน้ม / การกำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานในอนาคตของหน่วยงานด้านพลังงานของไทย กับ หน่วยงานด้านพลังงานระดับนานาชาติ ซึ่งมักใช้วิธีวิเคราะห์ในลักษณะการฉายภาพอนาคต (Scenario Analysis) อย่างแพร่หลาย โดยให้ความสำคัญกับ "ปัจจัยเสี่ยง" ในระดับโลก คือ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- สำรวจแผนพลังงานไทย
ในเบื้องต้นผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาแผนงานนโยบายการใช้พลังงานในอนาคตของภาครัฐ ซึ่งพบว่ามีอยู่ 3 ส่วน คือ แผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550-2554 ที่เป็นแผนระยะสั้น และแผนพลังงานทดแทน 15 ปี ซึ่งกระทรวงพลังงานกำลังจัดทำขึ้นเพิ่มเติม เพิ่งมีการจัดรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนภาครัฐ เอกชน วิชาการ ประชาชนทั่วไป เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2551
แต่ส่วนที่มีบทบาทมากที่สุดในการกำหนดทิศทางนโยบายพลังงานคือ แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า ปี 2550-2564 (PDP 2007) เป็นแผนแม่บทกำหนดกรอบการลงทุนในการขยายระบบการผลิตไฟฟ้าของไทยในระยะ 15 ปี และจะมีการปรับปรุงแผนใหม่ในทุกๆ 3-4 ปี แผนนี้จัดทำขึ้นโดยฝ่ายวางแผนระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยแผนฉบับล่าสุดอ้างอิงค่าประมาณความต้องการไฟฟ้าในอนาคตจากรายงานของอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ซึ่งได้วิเคราะห์แผนต่างๆ ไว้ให้เลือก 9 แผน ใน 3 กรณีคือ กรณีฐาน กรณีความต้องการต่ำ และกรณีความต้องการสูง ซึ่งพิจารณาร่วมไปกับทางเลือกของแผนการลงทุน 3 แนวทางคือ 1) ทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด 2) ทางเลือกที่พิจารณาโรงไฟฟ้าถ่านหินเฉพาะที่เป็นไปได้ 3) ทางเลือกที่จำกัดการก๊าซธรรมชาติเหลว 10 ล้านตันต่อปี และซื้อไฟฟ้าต่างประเทศเพิ่ม ท้ายที่สุดได้เลือกที่ 2 มาเป็นแผนหลัก
สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าตามแผน PDP 2007 แยกตามประเภทเชื้อเพลิง ในปี 2006 และ 2021
สัดส่วนเชื้อเพลิงที่ ใช้ผลิตไฟฟ้า | 2006 | 2021 |
GWh (ร้อยละ) | GWh (ร้อยละ) | |
ถ่านหินและลิกไนต์ | 24,468 (17.89) | 49,937 (16.81) |
น้ำมันเตาและดีเซล | 7,885 (5.77) | 566 (0.91) |
ก๊าซธรรมชาติและ LNG | 94,398 (69.02) | 207,454 (68.83) |
นิวเคลียร์ | - - | 29,458 (9.92) |
พลังน้ำ | 7,950 (5.81) | 3,861 (1.30) |
พลังงานหมุนเวียน | 2,065 (1.51) | 5,797 (1.95) |
รวมการผลิตภายในประเทศ | 136,766 (100) | 297,073 (100) |
การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ | 5,152 - | 28,627 - |
รวมการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด | 141,919 - | 325,700 - |
- การคาดการณ์แนวโน้มพลังงานระยะยาวในระดับนานาชาติ
หลายหน่วยงานที่ทำการศึกษาเรื่องพลังงานในระดับโลกมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบภาพอนาคต (Scenario) ต่างๆ โดยมีจุดร่วมในการนำปัจจัยเสี่ยงเรื่อง การรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) เขามาเป็นตัวแปรสำคัญด้วย เนื่องจากเรื่องนี้เป็นวาระใหญ่ของโลก ในการประชุมสมัชชาภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งล่าสุด ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซียเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ที่ประชุมก็มีมติให้ประเทศภาคีเร่งดำเนินการเจรจาเพื่อกำหนดข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางกำหนดและจัดสรรพันธกรณีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ สำหรับช่วงหลังพิธีสารเกียวโต ให้สำเร็จภายในปี 2009 ซึ่งแนวโน้มการเจรจาน่าจะมีความเข้มงวดในการปล่อยก๊าซมากกว่าเดิมมาก
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องลดให้อยู่ในระดับต่ำสุดตามการประเมินของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (IPCC) คือ ก๊าซเรือนกระจกรวมของโลกต้องเริ่มลดลงภายใน 10-15 ปี และลดลงจนเข้าสู่ระดับที่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของการปล่อยในปี 2000 โดยภายในปี 2020 ประเทศพัฒนาแล้วโดยรวมจะต้องลดการปล่อยลง25-40% ของปี 1990 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงมาก สะท้อนถึงระดับความเร่งด่วนและความรุนแรงของปัญญา
สภาวการณ์เช่นนี้ทำให้หน่วยงานระหว่างประเทศต่างๆ ต้องฉายภาพอนาคตของภาคพลังงานโลก โดยหยิบยกประเด็นการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาไว้ด้วย ซึ่งผู้ศึกษาได้หยิบยกเปรียบเทียบรายงานการคาดการณ์สถานการณ์พลังงานระยะยาว 3 ฉบับ ได้แก่ World Energy Technology Outlook 2050 (WETO-H2), World Energy Outlook 2007 (WEO 2007), Energy Technology Perspectives 2008 ซึ่งทั้ง 3 ฉบับก็มีการวิเคราะห์ในกรณีสมมติต่างๆ โดยตั้งบนเงื่อนไขเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และความเอาจริงเอาจังของประชาคมโลกในเรื่อง climate change ที่แตกต่างกันไปใน Scenario แต่ละฉาก อย่างไรก็ตาม ผู้ศึกษาให้น้ำหนักกับรายงานของ WETO-H2 ในการเปรียบเทียบกับแผนของไทย ซึ่งรายงานของ WETO-H2 มีดังนี้
รายงาน WETO-H2 เป็นผลการศึกษาร่วมกันของสถาบันวิจัยด้านพลังงานในยุโรป 6 แห่ง มีเป้าหมายคาดการณ์สถานการณ์พลังงานโลกในอนาคต จนถึงปี 2050 ภายใต้ข้อสมมติภาพอนาคตสำคัญ 3 กรณี คือ
(1) สมมติแนวโน้มทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยียังคงอยู่ในลักษณะเดียวกับปัจจุบัน รวมไปถึงแนวโน้มเชิงนโยบายของประชาคมโลกที่ต้องการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยกลุ่มประเทศยุโรปเป็นผู้นำ
- ความต้องการพลังงานขั้นต้นของโลกจะเติบโตในอัตราที่ลดลงเรื่อยๆ จากประมาณ 1.7% ต่อปี ไปสู่ประมาณ 1.4% ต่อปี
- ความต้องการพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในปี 2050 จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับปัจจุบัน การใช้พลังงานน้ำและชีวมวลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า ขณะที่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ก็เพิ่มอย่างรวดเร็ว
- มีการนำเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน ( English) และเทคโนโลยีไฮโดรเจนมาใช้อยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่ต่ำ
- ปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 ในปี 2030 และปี 2050 จะอยู่ที่ประมาณ 33 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ และ 44 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์
(2) สมมติว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆ ร่วมมือกันลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เพื่อรักษาระดับความเข้มข้นของ CO2 ในบรรยากาศที่ระดับ 500 ppm
- ความต้องการพลังงานขั้นต้นของโลกเติบโตในอัตราต่ำกว่ากรณีฐานพอสมควร
- ความต้องการพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลปรับลดลงอย่างรวดเร็ว โดยปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงเล็กน้อย ขณะที่การน้ำมันลดลงมากและปริมาณการใช้ถ่านหินลดลงมากที่สุด แม้ว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีในกักเก็บคาร์บอนมาใช้มากขึ้นก็ตาม
- ความต้องการแหล่งพลังงานที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานนิวเคลียร์เมื่อเทียบกับความต้องการพลังงานทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 21% ขณะที่สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งหมดอยู่ที่ 20.5%
- ปริมาณการปล่อย CO2 ในปี 2030 และปี 2050 จะอยู่ที่ระดับ 29 และ 25 พันล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งต่ำกว่ากรณีฐานอย่างมาก
(3) สมมติว่ามีการพัฒนาเทคโนโลยีไฮโดรเจนอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริงจังราวปี 2030 และขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นขณะเดียวกันแง่ของนโยบายแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมมติให้มีความเข้มงวดน้อยกว่ากรณี (2) เพราะเทคโนโลยีมีต้นทุนสูงกว่า
- ความต้องการพลังงานขั้นต้นของโลกเติบโตในอัตราต่ำกว่ากรณีฐานพอสมควร
- การใช้พลังงานในรูปไฮโดรเจนเพิ่มสูงกว่าทั้ง 2 กรณีข้างต้นอย่างมาก โดยปี 2050 ใช้ไฮโดรเจนประมาณ 13% ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย โดยที่ 50% ของพลังงานในการผลิตไฮโดรเจนจะมากแหล่งพลังงานหมุนเวียน ขณะที่ 40% จะมากจากพลังงานนิวเคลียร์
- ปริมาณการปล่อย CO2 ในปี 2030 และปี 2050 จะอยู่ที่ระดับประมาณ 32 และ 27 พันล้นตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งต่ำกว่าในกรณีฐานอย่างมากเช่นกัน
3. ภาพอนาคต การผลิตไฟฟ้าของไทย ปี 2021
ผู้ศึกษาใช้ข้อมูลของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับปัจจุบัน หรือ PDP 2007 เป็นฐานการวิเคราะห์ โดยนำมาเปรียบเทียบกับผลการคาดการณ์ของการผลิตไฟฟ้าของโลกและทวีปเอเชีย ในรายงาน WETO-H2 ร่วมกับข้อมูลศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทนในประเทศไทย ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.) ศึกษาไว้ในปี 2550 ในการกำหนดทางเลือกแบ่งเป็น A B และ C
กลุ่ม A : เป็นการวิเคราะห์ภาพอนาคตที่เกิดจากการเปรียบเทียบสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าของไทยตามแผนพีดีพี กับ สัดส่วนของทวีปเอเชียและของโลกในรายงาน WETO-H2 ผลการวิเคราะห์พบว่า ในอดีตช่วง 15 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าของไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 0.0002% เป็น 1.510% แม้ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนของโลกซึ่งอยู่ที่ 2.167% แต่ก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทวีปเอเชีย
ส่วนตัวเลขการคาดการณ์การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนในอนาคต 15 ปีข้างหน้าตามแผนพีดีพีนั้น กำหนดให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 1.510% เป็น 1.951% ซึ่งแตกต่างอย่างมากในการคาดการณ์ในระดับเอเชียและระดับโลก ที่ประมาณการณ์ว่าในปี 2020 เอเชียจะมีการขยายตัวพลังงานหมุนเวียนสูงถึง 4.717% ส่วนทั้งโลกจะขยายตัวสูงถึง 5.437% เป็นอย่างต่ำ
ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่า แผนพีดีพีของไทยคาดการณ์การขยายตัวของพลังงานหมุนเวียนในระดับต่ำมาก ผู้ศึกษาจึงได้เสนอให้เพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนเป็น 5% ในอีก 15 ปีข้างหน้า ซึ่งจะสามารถลดการผลิตไฟฟ้าโดยนิวเคลียร์ หรือถ่านหินได้จำนวนมาก
หากวิเคราะห์ภาพฉายอนาคตย่อยก็จะได้เป็น 2 ส่วน คือ 1. พลังงานหมุนเวียนที่ผลิตเพิ่มถูกนำไปใช้ทดแทนการผลิตไฟฟ้าด้วยนิวเคลียร์ หรือ 2. พลังงานหมุนเวียนที่ผลิตเพิ่มได้ถูกนำไปใช้ทดแทนกับไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้า
กลุ่ม B : เป็นการวิเคราะห์ภาพอนาคตที่เกิดจากข้อมูลอ้างอิงของการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและการอนุรักษ์พลังงานในภาคการผลิตไฟฟ้าของไทยจากรายงาน สกว. ซึ่งระบุว่าในปี 2016 ไทยจะมีศักยภาพสูงสุดในการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน เท่ากับ 31,620 และ 39,468 GWh ตามลำดับ
ผลการวิเคราะห์ได้สรุปให้มีภาพฉายอนาคต 3 ส่วนหลัก คือ
(1) สมมติให้มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ถึงระดับ 50% ของศักยภาพสูงสุด เพื่อที่จะไม่ต้องมีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ในไทย
สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของไทยในปี 2021 จะเป็นดังนี้
ถ่านหินและลิกไนต์ | 16.20% |
น้ำมันเตาและดีเซล | 0.20% |
ก๊าซธรรมชาติและก๊าซเหลว | 73.76% |
พลังน้ำ | 2.83% |
พลังงานหมุนเวียน | 7.02% |
นิวเคลียร์ | 0.00% |
(2) สมมติให้มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ถึงระดับ 50% ของศักยภาพสูงสุด เพื่อจะไม่ต้องมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหินเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน
สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของไทย ในปี 2021 จะเป็นดังนี้
ถ่านหินและลิกไนต์ | 10.30% |
น้ำมันเตาและดีเซล | 0.20% |
ก๊าซธรรมชาติและก๊าซเหลว | 73.76% |
พลังน้ำ | 2.83% |
พลังงานหมุนเวียน | 7.02% |
นิวเคลียร์ | 5.90% |
(3) สมมติให้มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และพัฒนาพลังงานหมุนเวียนได้ถึงระดับ 75% ของศักยภาพสูงสุด เพื่อที่จะไม่ต้องมีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์ และไม่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเพิ่มขึ้น
สัดส่วนการใช้ไฟฟ้าของไทย ในปี 2021 จะเป็นดังนี้
ถ่านหินและลิกไนต์ | 10.17% |
น้ำมันเตาและดีเซล | 0.21% |
ก๊าซธรรมชาติและก๊าซเหลว | 75.89% |
พลังน้ำ | 2.91% |
พลังงานหมุนเวียน | 10.83% |
นิวเคลียร์ | 0.00% |
กลุ่ม C : เป็นการวิเคราะห์ภาพอนาคตที่เกิดจากผลการเปรียบเทียบอัตราการเพิ่มของการปล่อยก๊าซ CO2 ของไทยตามแผนพีดีพี กับอัตราการเพิ่มในกรณีของทวีเอเชียและของโลกตามรายงาน WETO-H2 โดยอัตราการเพิ่มการปล่อยก๊าซ CO2 ในภาคการผลิตไฟฟ้าไทยในระยะ15 ปีตามแผนพีดีพี 2007 พบว่าจะเพิ่มขึ้นเร็วมากจาก 66 ล้านตันเป็น 128 ล้านตัน หรือเพิ่มถึง 95% ขณะที่ตัวเลขปริมาณการปล่อยในกรณีของเอเชียและโลก การปล่อย CO2 จากภาคไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเพียง 32-44%
ส่วนการคำนวณการปล่อย CO2 ต่อหัวนั้น ของไทยอยู่ที่ 4.2 ตันต่อคนต่อปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 4.5 ตันต่อคนต่อปีเพียงเล็กน้อย และยังสูงกว่ากลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้อย่างมาก หากประชาคมโลกกำหนดให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องลดการปล่อยเมื่อไร ไทยจะลำบากเพราะปล่อยในอัตราสูงมากแล้ว ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงเสนอการวิเคราะห์ภาพในอนาคตในลักษณะการกำหนดขีดจำกัดการปล่อยก๊าซ CO2 ในภาคการผลิตไฟฟ้าไทยในปี 2021 ให้เพิ่มขึ้นจากการปล่อยในปี 2006 ไม่เกิน 30%
ความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ทำได้ใน 2 ทางคือ
(1) ยกเลิกการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินและลิกไนต์ทั้งหมด ภายในปี 2021 ซึ่งในกรณีนี้พบว่าพลังงานไฟฟ้าที่ไทยจะต้องเสียไปจาการหยุดใช้เชื้อเพลิงทั้ง 2 ชนิดอยู่ที่ประมาณ 49,937 GWh ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในระดับเทียบเท่ากับ 70% ของศักยภาพสูงสุด
(2) ยกเลิกการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงลิกไนต์ หยุดการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าเพิ่มเติมจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน และ ลดการใช้ก๊าซธรรมชาติลงบางส่วนภายในปี 2021 ซึ่งในกรณีนี้จะพบว่าไฟฟ้าที่ไทยจะต้องเสียไปจากการหยุดและลดการใช้ดังกล่าว จะอยู่ที่ 59,001 GWh ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนและส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในระดับเทียบเท่า กับ 83% ของศักยภาพสูงสุด
ผู้ศึกษาเห็นว่าทางเลือกที่ 1 น่าจะเป็นไปได้ยาก จึงเน้นไปที่ทางเลือกที่ 2 ซึ่งสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไทย ในปี 2021 จะเป็นดังนี้
ถ่านหินและลิกไนต์ | 4.32% |
น้ำมันเตาและดีเซล | 0.21% |
ก๊าซธรรมชาติและก๊าซเหลว | 69.40% |
พลังน้ำ | 2.95% |
พลังงานหมุนเวียนน | 12.17% |
นิวเคลียร์ | 10.95% |
บทสรุป
"ประเทศไทยมีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนเพียงพอที่จะเลือก
การไม่พึ่งนิวเคลียร์ หรือ ไม่เพิ่มการพึ่งถ่านหิน หรือ จัดการปัญหา climate change ในระดับหนึ่ง
ถ้าจะเปลี่ยนจากคำว่า "หรือ" เป็น "และ"
ก็ต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้มีศักยภาพเพียงพอ
ซึ่งต้นทุนการผลิตอาจจะสูงแต่ได้คืนในแง่ต้นทุนสิ่งแวดล้อม
ต้นทุนทางสังคม และการจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"
เนื่องจากการวิเคราะห์ในครั้งนี้ ได้กำหนดข้อสมมติหลายประการที่สอดคล้องกับข้อสมมติของแผนพีดีพี 2007 จึงมีผลให้ตัวเลขสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหลายประเภทมีค่าใกล้เคียงกับแผนพีดีพี โดยข้อยกเว้นหลักๆ คือ ในแหล่งพลังงาน 3 ประเภท ที่เห็นจุดเน้นการวิเคราะห์ ได้แก่ ถ่านหิน-ลิกไนต์ นิวเคลียร์ และพลังงานหมุนเวียน ผลการวิเคราะห์พบว่า ภายใต้ Scenario ต่างๆ ที่นำมาพิจารณา เราอาจปรับลดการผลิตพลังงานไฟฟ้าถ่านหินในปี 2021 จาก 49937 GWh ลงเหลือเพียง 11613-49937 GWh (สัดส่วน 4-17%) ตามแต่กรณี และปรับลดการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ในปี 2021 จากระดับ 29458 GWh ลงเป็น 0-29456 GWh (สัดส่วน 0-11%) ตามแต่กรณี การลดการพึ่งพิงถ่านหิน นิวเคลียร์นี้เป็นผลมาจากการเพิ่มการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนจาก 2% ให้เป็น 5-12%
ผลจากการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบพลังงานทั้งหมด จะทำให้ปริมาณการปล่อยก๊าซ CO2 จากภาคการผลิตไฟฟ้าของไทยในปี 2021 ลดลงจากระดับ 128 ล้านตันตามแผนพีดีพี 2007 เป็น 86-128 ล้านตันตามแต่กรณี
ผลจากการวิเคราะห์ที่หลากหลายนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งพลังงานหมุนเวียนและการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอยู่อีกมาก ถ้าสังคมไทยและภาครัฐไทยจะให้ความใส่ใจและดำเนินการส่งเสริมอย่างจริงจัง ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนเพียงพอที่จะอนุญาตให้เราเลือกที่จะไม่พึ่งพิงการใช้พลังงานนิวเคลียร์ หรือ ไม่เพิ่มการใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน หรือ จัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ในระดับหนึ่ง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)