Skip to main content
sharethis

สุวิชา ท่าค้อ นักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งถูกตัดสินลงโทษจำคุก 10 ปี ส่งจดหมายถึงนายอานนท์ นำภา ทนายความเมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมา โดยนายอานนท์ เปิดเผยว่าจดหมายดังกล่าวอาจจะเป็นฉบับสุดท้ายที่สุวิชาจะส่งถึงตัวเขาได้ เนื่องจากสุวิชาถูก “เซ็นเซอร์”

ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินกาถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายสุวิชาพร้อมด้วยครอบครัวได้ยื่นฎีกาไปแล้ว และคาดว่าจะรู้ผลภายในเดือนมกราคมนี้ แต่จนถึงบัดนี้ ไม่ทราบผลการฎีกาดังกล่าว มีเพียงคำอธิบายอย่าง “ไม่เป็นทางการ” จาก “ข้าราชการ” ผู้หนึ่งว่า "เรื่องของสุวิชาไม่เข้าหลักเกณฑ์” สุวิชา ท่าค้อ ส่งจดหมายฉบับนี้ให้แก่ทนายความของเขาและขอร้องให้เปิดเผยแก่สาธารณะได้อ่าน อนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสุวิชา ส่งจดหมายออกมาเป็นจำนวนหลายฉบับ

เนื้อความจดหมายฉบับล่าสุดมีดังนี้

เรือนจำคลองเปรม

1 มกราคม 2553

เรียนคุณอานนท์

ผมสูญเสียอิสรภาพและหมดโอกาสที่จะกลับไปเลี้ยงดูลูกเมียผมเป็นเสาหลักของบ้านและครอบครัวเดือดร้อนมากที่ขาดผมไป จากครอบครัวที่เคยอยู่อย่างอบอุ่นมีความสุข ต้องพังทลายลงเป็นบ้านเรือนแตกแยกเพราะขาดพ่อไป ผมหมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่ที่ยังเหลือคือลมหายใจและความหวังที่มืดมน

 ผมขอฝากให้คุณอานนท์โปรดช่วยเหลือและดูแลครอบครัวแทนผมด้วย ผมเป็นห่วงครอบครัวอย่างมากตั้งแต่ที่ผมถูกจับกุมและตลอดมาผมและครอบครัวเรียกร้องขอความเมตตาจากพวกเขา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขามองผมเป็นผู้ร้ายที่จะต้องปราบปราม แต่ไม่ยอมมองถึงต้นเหตุของปัญหาเลยเพราะเหตุทำให้เกิดผล ผมเป็นเพียงแค่ลูกชาวนาธรรมดาและมีความรักต่อสถาบันเหมือนคนไทยทุกคน แต่ที่ผมมีความผิดแบบนี้ก็เพราะเป็นผลผลิตมาจากพวกเขาทั้งนั้นที่ร่วมกันสร้างผมขึ้นมา แต่เขาไม่เคยมองไปที่ต้นเหตุของมันทั้งที่รู้ทั้งรู้ และผมก็ได้บอกความจริงไปหมดแล้ว แต่พวกเขามองผมเป็นตัวอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงเพื่ออะไรก็ตามแต่ที่พวกเขาจะร่วมกันกล่าวหาและลงโทษต่อผมอย่างรุนแรง ทั้งที่ความจริงผมเป็นสุจริตชนที่ทำงานโดยสุจริต ผมไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ไม่เคยครอบครองอาวุธใดๆ เลย นี่หรือคือบุคคลอันตรายที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ? ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างมากที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เข้าใจผมบ้างเลย ผมจึงอยากจะเล่าเหตุการณ์วันที่ 14 มกราคม 52 ได้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมทั้งห้าชีวิตให้คุณฟัง

1 น้องลูกไก่ อายุ 6 ปี เมื่อผมถูกจับกุมภรรยาต้องรีบเดินทางตามผมมาที่กรุงเทพฯ ทันที และเราต้องทิ้งลูกทั้งสองไวตามลำพังเป็นเวลาหลายวัน ลูกชายคนเล็กจะติดแม่มากเพราะเขาอยู่ด้วยกันเสมอ เขาไม่รู้ความจริงหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะทุกคนปิดบังเขาไว้ เขาร้องไห้หาแม่ทุกวัน และเขาออกไปยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านนานไม่เหลือน้ำตาที่จะไหล จนกระทั่งหลายวันผ่านไปเมื่อภรรยาสิ้นหวังกับการประกันตัวผม เธอจึงตัดสินใจกลับบ้านเพราะสงสารลูก แต่กลับไปเพียงแค่รับลูกชายคนเล็กเดินทางมาที่กรุงเทพฯ โดยไม่สนใจเรื่องการเรียนของเขา (ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่มีจิตใจที่จะเรียน) ภรรยาเป็นห่วงผมมากที่สุดเพราะผมอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มากในขณะนั้น ภรรยาเล่าว่าตอนที่เขากลับไปหาลูก ลูกกอดแม่แน่นและร้องไห้พร้อมกับบอกแม่ว่า “แม่อย่าทิ้งหนูไปอีกนะ หากแม่จะไปไหนต้องเอาหนูไปด้วย” และภรรยาผมรับคำสัญญาให้กับลูก เมื่อเรื่องของผมไม่มีทางได้จบลงได้โดยง่านและเมื่อภรรยาจะไปไหนจำเป็นต้องนำเขาไปด้วยเสมอ เธอต้องหอบลูกเดินทางไป-กลับ กทม.และนครพนมบ่อยมาก พวกเขาเดือดร้อนมาก ปัจจุบันเขาเรียน EP ป. 2

2 น้องนิด อายุ 13 ปี เมื่อทราบข่าวหลังเลิกเรียนและไม่ได้พบทั้งพ่อและแม่ เขาร้องไห้เศร้าโศกเสียใจแทบสิ้นสติ แต่โชคยังดีที่เขายังได้คุยกับแม่ แต่ไม่มีโอกาสจะได้คุยกับผมเพราะผมอยู่ในการควบคุมตัว ตำรวจยึดทั้งโทรศัพท์ของผมและภรรยาเพื่อไปตรวจสอบ พวกเขาคุมตัวผมมากเป็นพิเศษ แม้แต่จะเข้าห้องน้ำก็ไม่ยอมให้ผมล็อกประตู วันถัดมาภรรยาได้เข้าพบผมที่ห้องขัง DSI สิ่งแรกที่เธอทำคือแกะกระดุมเสื้อผมเพื่อตรวจดูร่องรอยการทำร้ายร่างกาย ดูเธอโล่งใจขึ้นเมื่อร่างกายผมยังอยู่ปกติ เธอจับมือผมแน่นร้องไห้และพูดว่า “รู้ไหม? ในสมองคิดถึงแต่เรื่องนุ้ยจะหลับตาหรือลืมตาก็จะเห็นแต่หน้านุ้ยตลอดทั้งคืน” ผมพยายามพูดปลอบเธอแต่เธอไม่ให้ผมพูดอะไร ขอให้พูดแต่เรื่องลูกของเรา “รู้ไหมน้องนิดแทบจะบ้าไปแล้ว บอกแม่ว่าให้เอาตัวพ่อคืนมาให้ได้ หากไม่ได้ตัวพ่อกลับมาด้วยแม่อย่ามาให้เห็นหน้าอีก” แต่เมื่อผมประกันตัวไม่ได้ ภรรยาก็โดนลูกสาวว่าไปไม่ทันวันจันทร์ถึงช่วยพ่อไม่ได้ ลูกสาวกัดด่าแม่ใหญ่คิดว่าเป็นความผิดของแม่ที่ไปไม่ทันตามที่อ้าง เพราะน้องนิดไม่รู้ความจริงว่า พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่หลวงมากแค่ไหน  ข่าวการจับกุมตัวผมปรากฏไปทุกสื่อ น้องนิดต้องได้รับความกดดันมากจากสังคมที่โรงเรียน เพราะพ่อเป็นนักโทษคดีร้ายแรง ชีวิตเขาเหมือนตายทั้งเป็นเพราะจิตใจบอกช้ำอย่างหนัก สิ่งดีที่สุดที่เขาทำได้คือสวดมนต์ให้พ่อปลอดภัยและอธิฐานให้ได้ตัวพ่อคืนมา ปกติเขาเป็นคนขี้กลัวและนอนข้างผมทุกคืน เพราะเขาจะนอนหลับอย่างอุ่นใจ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกตัวเขาจะขว้ามือผมไปกอดเขาเสมอ แต่จากนี้ไปถึงสิบปีเขาจะไม่มีพ่ออีกแล้ว ตลอดหนึ่งปีผ่านมาเขาก็ยังไม่ได้เห็นหน้าพ่อเลย เขายังคงร้องไห้คิดถึงพ่อของเขาในวันที่ 14 ของทุกเดือน จากฝันร้ายที่เธอยังยอมรับกับมันไม่ได้ มันแย่มากสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้รับความโหดร้ายที่เธอไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา ปัจจุบันน้องนิดเรียนอยู่ ม. 2 EP ที่โรงเรียนxxxxxx และเคยเรียนดีท็อปตอน ม. 1 ตอนนี้ผมไม่รู้ชตากรรมของเธอนัก

3 น้องเล็ก อายุ 15 ปี เขาเรียนอยู่ ม. 3 ที่กรุงเทพฯ และเฝ้าคอย และอีกไม่นานก็จะได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับพ่อแม่และน้องๆ ที่นครพนม เมื่อเขากลับถึงบ้านก็พบกับตำรวจนับสิบคนกำลังค้นบ้าน เขานั่งนิ่งเหมือนคนไร้สติจากความตกใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตำรวจยึดเอาคอมของเขาที่เพิ่งจะซื้อมาเองเมื่อไม่นาน และผมใช้แค่เช็คเมล์บางครั้งตอนผ่านกรุงเทพฯและเดินทางต่อไปที่แท่นขุดเจาะน้ำมันที่เวียดนามและไม่เคยใช้คอมในเรื่องการเมืองเลยเพราะช่วงเกิดเหตุผมอยู่ที่ประเทศเวียดนาม ตำรวจได้นำตัวเขาไปสอบสวนด้วยตามลำพัง คิดเอาเองก็แล้วกันว่าเขาจะหวาดกลัวมากเพียงไหน และต่อมาเขายังถูกตำรวจเฝ้าติดตามอยู่ระยะหนึ่ง ผมคับแค้นใจมากแค่ไหนที่พวกเขาทำกับลูกผมแบบนี้ เขานอนร้องไห้เป็นห่วงพ่อที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อและอนาคตของครอบครัว มันแย่มากสำหรับเขา ตำรวจที่ DSI บอกกับผมว่าจะก๊อปปี้ข้อมูลจากคอมมาลงที่ฮาร์ดดิสของตำรวจและจะคืนคอมให้ลูกของผมเพื่อเขากลับไปใช้งาน หลายอาทิตย์ต่อมาภรรยาผมไปทวงกลับถูกปฏิเสธอ้างว่ายังตรวจสอบไม่เสร็จ ภรรยาบอกว่าลูกจะต้องใช้งานเพราะเขากำลังจะสอบอีกทั้งคอมนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับผม ตำรวจบอกภรรยาผมว่า “หากลูกคุณอยากใช้ คุณก็ไปซื้อเครื่องใหม่ให้ลูกคุณสิ” สุดท้ายพวกเขาก็ขอให้ศาลริบเป็นของกลาง (คิดดูกันเองแล้วกัน) ตำรวจท่านนี้ยังสร้างความเจ็บปวดให้ลูกเมียผมมาก มีอยู่วันหนึ่งเขาบังเอิญพบภรรยาผมที่ศาล เขาชูสองนิ้วให้ภรรยาผมและพูดว่า “แฟนคุณเจอสองกรรม” พร้อมกับยิ้มเพื่อแสดงความยินดีกับความสำเร็จที่ผมได้รับความผิดได้มากขึ้น ภรรยาผมทุกข์ใจมากอยู่แล้วต้องมารับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีกจากพฤติกรรมดังกล่าว หากเขาจะช่วยเงียบเฉยๆ จะเป็นการดีอย่างยิ่งต่อภรรยาผมที่กำลังอยู่ในกองทุกข์และภรรยาผมก็ไม่ได้ทักทายอะไรเขาเลย ผมอยากให้เขาคิดบ้างสักนิด ลูกผมจ้องเรียนไปทุกข์ใจไปด้วยจนถึงปิดเทอม ต่อมาลูกชายผมก็ได้บวชเณร เขาคงมีจิตใจที่ดีขึ้นบ้างที่ได้พระธรรมเป็นที่พึ่ง แต่เขาก็ยังคงเครียดอยู่ตลอดเวลาที่ต้องมากำพร้าพ่อในขณะนี้ จิตใจยังคงบอบช้ำจนกว่าจะได้พ่อคืนมา บางวันเขาเครียดมากออกไปหลังบ้านและตะโกน “เล็กคิดถึงพ่อ” ภรรยาผมได้แต่ร้องไห้สงสารลูกเพราะเธอทำทุกอย่างจนสุดความสามารถแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความโหดร้ายต่อลูกๆ ผมจะได้ยุติลงสักที ชีวิตของเด็กๆ ทั้งสามอยู่ในกำมือของพวกเขา คิดเขาจะทำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาเราได้แต่ร้องเรียกของความเมตตา ปัจจุบันเล็กเรียนอยู่ ม.4 EP ที่โรงเรียนxxxxxxx เขาคือลูกคนแรกในชีวิตผมซึ่งผมรักและหวงแหนมาก

4 นา อายุ 36 ปี นาคือภรรยาที่มีค่ามากสำหรับผม เรามีลูกด้วยกัน 3 คน เธอเรียนจบแค่ ป. 6 และเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่ดูแลลูกๆ สิ่งที่เธอกำลังประสบมันหนักหนาเกินกว่าที่เธอจะรับไหว แต่เธอสู้ทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผมเพราะมันหมายถึงชีวิตเธอที่มีค่าและลูกๆ ของพวกเรา หากไม่มีผมพวกเขาจะอยู่กันไม่ได้แน่ นาถูกกดดันรอบด้านทั้งจากทางตำรวจที่ต้องการให้เธออยู่เงียบๆ พวกเขาเคยบอกเธอว่าหากผมได้ออกจากคุกพวกเขาจะไม่รับรองความปลอดภัยหรือหากไม่อยากให้ผมเจอหนักก็ต้องอยู่เงียบๆ เธอเป็นห่วงผมมากที่กำลังอยู่ในคุก เธอยอมทิ้งลูกๆ เพื่อมาเฝ้าเยี่ยมและให้กำลังใจผม พอผมถามถึงลูกๆ เขาก็ไม่ให้ผมห่วงลูกขอให้ผมเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยไม่ว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเธอจะไปสวดอ้อนวอน และบนบานศาลกล่าวเพื่อให้ได้ตัวผมคืนมา เธอยังต้องรับความกดดันจากลูกๆ ที่รับปากไว้ว่าจะนำพ่อของพวกเขาคืนมาให้ได้แต่ทำทุกอย่างก็ไร้ความหมาย เธอต้องไปให้ความสำคัญกับลูกๆ เพิ่มขึ้น เธอพยายามขายทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีเพื่อเป็นค่าข้าวและค่าเทอมให้ลูกๆ เธอต้องประหยัดที่สุดจนแทบจะไม่น่าเชื่อเพราะครอบครัวเราไม่มีรายได้อีกแล้ว พี่น้องทีมงานประชาไทจะเข้าใจดีว่าสภาพจิตใจของภรรยาผมเป็นเช่นไร สิ่งเดียวที่พวกเราต้องการคือเพียงแค่การได้กลับไปใช้ชีวิตด้วยกันอีก ขอแค่ไปทำไร่ทำนาและอยู่อย่างพอเพียง พวกเราไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แต่พวกเขาหาได้มีความเมตตาแก่พวกเราไม่ เขาไม่สงสารพวกเราเลย พวกเราก็เป็นคนเหมือนกันและเป็นคนไทย ในช่วงที่แย่ที่สุดผมเคยบอกกับภรรยาว่า “ผมไม่ไหวอีกแล้ว” และสั่งเสียถึงพ่อแม่หากจะไม่ได้พบกันอีก ภรรยาผมร้องไห้และเตือนสติผมว่า “หากไม่มีนุ้ย นาและลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร” มันทำให้ผมสู้ทนเพื่อจะมีชีวิตต่อไป เธอยังเคยพูดว่าถึงเธอจะอยู่นอกคุกแต่ก็ไม่ต่างกับการติดคุก ตราบใดที่ผมยังอยู่ในคุกเพราะเธออยู่ภายใต้แรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะจากลูกๆ ที่น่าสงสาร นาเป็นสิ่งมีค่าสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่ เธอทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันและจะทำทุกอย่างเพื่ออิสรภาพของผม

5 นายสุวิชา ท่าค้อ (นุ้ย) อายุ 35 ปี ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างไรหากไม่ประสบเองก็จะไม่เข้าใจ มันเป็นเหมือนการฆ่าให้ตายไปครึ่งชีวิตหรือการทำให้ตายทั้งเป็นผมไม่อยากให้ใครได้ลิ้มรสกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนผม เมื่อมีข่าวนักโทษแขวนคอตายในห้องขังผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติเพราะผมเคยผ่านจุดนั้นมา และที่เกิดเหตุแต่ไม่เป็นข่าวก็มีมาก พวกที่อยู่ในคุกจะรู้ดี บางคนถูกตัดสินแค่หนึ่งปีครึ่งจากข้อหาลักทรัพย์แต่ยอมรับไม่ได้และเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองก็มี (แต่ไม่เป็นข่าว) มันคือจุดทดสอบจิตใจที่จะผ่านความทุกข์ไปได้อย่างไร ผมได้เอาความทุกข์นั้นมาใช้ประโยชน์ทำให้ผมผ่านจุดนั้นมาได้ ตอนนั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ช่วงเวลาที่ผมคิดว่าทนไม่ได้แล้วจริงๆ จนต้องล่ำลาเมียหากจะไม่ได้พบกันอีก คิดว่าจะต้องกลับบ้านให้ได้ถึงจะเป็นแค่ร่างไร้วิญญาณก็ต้องกลับบ้าน ความทุกข์ทำให้ผมคิดได้ หากคิดจะตายผมก็จะปฏิบัติธรรมให้ตายไปเลย และผมก็ไม่ผิดหวังเพราะผมได้เข้าไปสัมผัสธรรมะที่แท้จริง จนทำให้มองดูเรื่องทางโลกเป็นเรื่องที่ไร้สาระไปเลย ผมฝึกสมาธิอย่างหนักแบบเอาความตายเข้าแลก ฝึกหนักจนกระทั่งจิตเริ่มจะไม่เกาะติดกับร่างกาย และไม่สนใจความเป็นไปของร่างกาย, ความเป็นอยู่และเรื่องราวต่างๆ และผมได้เข้าไปสัมผัสอัปปะนาสมาธิในช่วงเดือนกันยายน สภาพจิตใจตอนนั้นถือว่าเป็นจุดสูงสุดในชีวิต (ไว้ขออธิบายโอกาสต่อไป) เรื่องนี้มันเป็นปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตัว) แต่ผมต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างหนักคือความห่วงต่อลูกๆ ทำให้จิตไม่นิ่งได้เต็มที่ คนที่ศึกษาเรื่องธรรมะจะเห็นตัวอย่างมากมายของเวรกรรม ธรรมะสอนให้ผมรู้จักแต่ได้ ผมอยู่ในคุกผมก็ได้กุศลและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ทำบาปอะไรเลยในแต่ละวัน ตราบใดที่พวกเขายังขังผมต่อไป คนที่เสียหายคือพวกเขาที่ทำบาปทำกรรมต่อผมและลูกเมีย เรื่องทางธรรมมักจะเดินสวนทางกับเรื่องทางโลก ทางธรรมคือการทำลายล้างกิเลส, ทำลายอัตตา, ทางโลกคือการแสวงหาความร่ำรวยหรือการสะสมกิเลสนั่นเอง คนที่ร่ำรวยก็จะมีอัตตามากขึ้นคู่กัน ยิ่งเรื่องอำนาจทางการเมืองยิ่งเป็นกิเลสที่หยาบที่สุดเพราะถึงกับจับขังหรือฆ่ากันได้เลยดังที่เรากำลังเป็นกันอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับทางโลกแต่ก็ผมก็จะเดินบนทางธรรมเป็นทางเอก ผมสมหวังและจะไม่เสียดายกับชีวิตแล้วที่ได้เห็นธรรมในชาตินี้ หากไม่เห็นทุกข์ผมคงจะงมโง่อยู่กับกองกิเลสและคงจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะกิเลสมันจะปิดบังให้คนมืดบอดและจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ไม่มีอะไรมากทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา ชีวิตพวกเราทั้ง 5 อยู่ในอำนาจของเขา ผมก็ทำอะไรไม่ได้หรอก และไม่อยากให้ลูกเมียต้องไปขอบริจาคใครกินแต่พวกเราคงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ และขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวผม ลูกๆ ทั้งสามมีค่ามากสำหรับผมขอเพียงให้พวกเขาอยู่รอดสำหรับผมอะไรก็ได้เพราะผมเหมือนคนที่ตายไปแล้วไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรได้อีกแล้ว ผมต้องทำใจกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับผมให้ได้เพราะมันเป็นโลกธรรมแต่ก็ยังเป็นห่วงพวกเด็กๆ ที่พวกเขาอาจจะยังไม่เข้าใจธรรมะทำให้ความทุกข์ตกที่พวกเขาเต็มๆ โลกธรรม 8 คือธรรมที่อยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสพและมันกำลังเกิดขึ้นกับผม ลาภ (ผมทำงานมีรายได้ดี), เสื่อมลาภ (ล้มละลายสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง, ลูกเมียต้องใช้จ่ายเงินจากผู้มีเมตตาหรือจะเรียกว่าขอทานก็ไม่ผิดนัก), ยศ (ผมทำงานเป็น Senior Engineer ในบริษัทที่ดี), เสื่อมยศ (เป็นนักโทษคดีร้ายแรงหรือคนคุก), สรรเสริญ (ฝ่ายที่ชอบก็จะยกย่องเป็นธรรมดา), นินทา (ฝ่ายที่ไม่ชอบก็จะด่าประณาม), สุข (มีชีวิตที่ดีและครอบครัวที่อบอุ่น), ทุกข์ (ต้องพลัดพรากจากลูกเมียและคิดที่จะปลิดชีพตัวเอง), พอผมเข้าใจธรรมะทำให้ผมปล่อยวางเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นธรรมชาติ คุณอานนท์ลองไปพิจารณาดูกันเองว่าท่านประสพกับโลกธรรมอย่างไรบ้างเพราะไม่มีใครหนีพ้นหรอก เมื่อรู้แล้วก็อย่าไปทุกข์กับมัน ปล่อยให้มันเกิดขึ้นแล้วดับไปตามกฎไตรลักษณ์ อย่าไปทุกข์กับมันมากจนถึงขั้นต้องเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นเพราะมันคือธรรมชาติของโลก!

ด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง

สุวิชา ท่าค้อ

 

หมายเหตุ

1. ประชาไทสงวนชื่อจริงของลูกๆ ทั้ง 3 ของสุวิชา รวมถึงชื่อโรงเรียนที่ระบุในจดหมาย

2. ประชาไทสะกดคำตามต้นฉบับของสุวิชา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net