เขียนรำลึก 'สมาพันธ์ ศรีเทพ' อายุ 17 ปี ผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ราชปรารภ
ผมไม่ได้รู้จักกับสมาพันธ์ ศรีเทพเป็นการส่วนตัวเราเคยคุยกันไม่กี่ครั้งเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเป็นนักศึกษาปีสี่ที่ฝันคุกรุ่น แต่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ส่วนสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือเฌอ วัยเพียง 14 ปี หลายท่านที่รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว อาจจะบอกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนเด็ก 14 ทั่วไป แน่นอนล่ะเขาอยู่กับผู้ใหญ่ ถกเถียงกับผู้ใหญ่ การคิดการวางตัวของเขาดูจะเกินเด็กไป แต่สำหรับผมแล้วเขาคือเด็กอายุ 14 ที่ปกติที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักมา ต้องวัยเท่าไรที่เราจะตั้งคำถามกับโลก อายุเท่าไรถึงสมควรที่จะถกเถียงกับตรรกะของยุคสมัยก่อนหน้านั้น ถ้าไม่ใช่วัยสิบสี่ปี....ผมศรัทธาในการตั้งคำถามของคนรุ่นใหม่เสมอ ศรัทธาในกบฏตัวน้อยๆ ที่หาญกล้าเปลี่ยนโลก คงเป็นเหตุผลหนึ่งหลังได้ตราประทับปริญญาว่าเป็นสุนัขชั้นดี ผมเลือกอาชีพแรกที่จะเป็นครู
ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่แล้ว ผมและรุ่นน้องกลุ่มกิจกรรมในคณะจัดค่ายไปเรียนรู้ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสาละวิน มีเด็กมัธยมปลายเป็นลูกค่าย ผ่านการสนับสนุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง เฌอไม่ได้เป็นลูกค่าย...เขามากับพ่อซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ที่ค่ายนี้ก็เหมือนกับค่ายอาสาพัฒนาทั่วไป เราแลกเปลี่ยนความทรงจำในอดีต และสัญญาจะมีความทรงจำในอนาคตร่วมกัน ที่นั่นมันได้จุดไฟฝันให้หลายคน “เขื่อนสาละวิน”เขื่อนยักษ์ที่จะกลืนกินทุกอย่าง เป็นภาพสะท้อนการพัฒนาจากส่วนกลางที่ละเลยปัญหาจากส่วนอื่น แน่นอนละเราไม่ได้คุยกันแค่เรื่องเขื่อน แต่มันขยายรวมถึงการตั้งคำถามต่อทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา...ในวัย 22 ที่กำลังจะเผชิญกับโลกทุนนิยมที่เปราะบางในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นับถึงวันนี้ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ผมรู้สึกใกล้เคียงที่สุดว่า “เราสามารถเปลี่ยนโลก”ได้
ผ่านจากวันนั้นมาราวสามปีแล้ว นานพอที่จะทำให้เชื่อว่าค่ายสาละวินไม่ใช่เพียงแค่ค่ายหลอกเด็กปลุกระดมตามที่คนนอกมอง หากแต่มันปวดร้าวที่ว่ามันเป็นค่ายหลอกตัวเองของผู้จัดด้วย ในวัยยี่สิบห้าหลังจากเริ่มอาชีพเป็นครูที่โรงเรียนทางเลือกแห่งหนึ่ง ในสถานที่เดิมปัจจุบันผมกลายเป็นคนรับจ้างสอนในบริษัทการศึกษา แม้จะทำงานเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง แต่ภาระในชีวิตที่มีหลังเรียนจบ ทำให้สนิมชนชั้นกลางเริ่มเกาะรอบกาย ผมขายวิญญาณตัวเองเพื่อให้มีชีวิตรอดในโลกทุนนิยม เพื่อรับเศษเงินของนายทุนมาประทังชีพ คืนเนื้อหนังมังสาให้ตัวเองออกไปรับใช้ระบบทุนนิยมต่อไป
ในที่ทำงานแห่งนี้ผมเคยเจออดีตนักกิจกรรมที่เคยทำงานร่วมกันมาเมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน เราคุยกันถึงเรื่องวันวานกันอย่างออกรสชาติ แต่ครั้นผมถามเธอว่าทำไมถึงเลิกทำ ทำไมถึงหายไปเสีย เธอยิ้มแห้งๆ ก่อนจะบอกไปว่า “เราเหนื่อย...เหนื่อยที่จะเฝ้ารอว่าโลกพรุ่งนี้จะดีขึ้นกว่าวันนี้” เธอพูดได้ถูกทีเดียว...แม้เราอาจไม่ต้องลงแรงหามรุ่งหามค่ำแบบอดีต พคท. แต่แค่เฝ้ารอมันก็เหนื่อยเหลือเกิน ด้วยวัยขนาดนี้ ผมเริ่มรู้สึกว่า เราต้องเริ่มจัดลำดับความฝันว่าอะไรเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ ความเจ็บปวดของคนวัยเท่านี้เห็นจะไม่พ้นการที่พบว่า ความฝันตั้งแต่ช่วงอายุ 18-25 ปี ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นไปได้เลย
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ผมคงไม่สามารถพูดได้ว่าผมเป็นกลางทางการเมือง เรามีสติที่จะแยกแยะว่าเกิดอะไรขึ้น ในยุคสมัยที่นักสันติวิธีทั้งหลายทำตัวอย่างน่าอัปยศ อาจารย์มหาวิทยาลัยทรยศอุดมการณ์อย่างน่าละอาย พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีที่ขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน ผมเห็นเฌอ-สมาพันธ์ ศรีเทพ ในโทรทัศน์และภาพข่าวบ่อยครั้ง เขาไม่ได้เป็นแกนนำบนเวที เขาเป็นมวลชนคนหนึ่งที่อยู่แถวหน้า เพื่อนผมคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าเฌอมีข้อถกเถียงกับครอบครัวเรื่องการเมือง สาเหตุหนึ่งในการเข้าร่วมชุมนุมคือเขาอยากใกล้ชิดชนชั้นรากหญ้า แม้จะเติบโตมาในครอบครัวนักกิจกรรมและคนรอบกายก็มีแต่นักกิจกรรม เขายังเลือกที่จะเดินทางออกแสวงหาบางอย่างที่มากกว่าแค่ทฤษฎี และเรื่องราวจากประสบการณ์ของยุคสมัยก่อนหน้าเขา
ผมทำงานกับเยาวชนมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน หลายคนมีแววตาที่เป็นประกายและพร้อมที่จะตั้งคำถามกับทุกความอยุติธรรมในโลก แต่ไม่นานนักระบบทุนนิยมและการแข่งขันก็ซัดกลืนพวกเขาราวกับสึนามิ เมื่อเกลียวคลื่นคลายผมก็มักจะเห็นเพียงแค่สุนัขพันธุ์ดีพร้อมปลอกคอสวย สายจูงที่จะลากพวกเขาไปทางใดก็ได้ สังคมชนชั้นกลางโดยมากพร่ำสอนแต่เรื่องการแข่งขันและการนึกถึงแต่ตัวเอง การเหยียบหัวชาวบ้านขึ้นไปป่าวประกาศชัยชนะของตัวเอง...หากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ราชปรารภ...เฌอ จะเป็นตัวอย่างที่ผมจะยกขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อผมต้องสอนคนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ที่คิดแต่เรื่องกระเป๋าหลุยส์ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ ซัมเมอร์ที่อังกฤษ และการเอ็นทรานซ์เข้าคณะในฝันที่งานสบายและเงินเยอะ
นับจากวันที่สิบเมษา การตายของมวลชนเสื้อแดงแทบจะเป็นเรื่องปกติ จะว่าไปการตายของคนจนในประเทศที่มีแต่การกดขี่เหลื่อมล้ำก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ซ้ำร้ายกว่านั้น กระแสเสื้อแดงสมควรตาย หรือดิ้นรนมาตายเองก็แพร่ระบาดในสำนึกของชนชั้นกลางที่เปราะบาง คนเหล่านี้หมกมุ่นแต่กับวิถีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นกลาง คลิปวิดีโอผู้ดีสีลมกระทืบมวลชนเสื้อแดงเพราะทำให้รถติดเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกมาหลายวัน ว่าคนเราสามารถฆ่าแกงกันได้เพราะแค่รถติดกับห้างปิด เท่านั้นเองหรือ
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมนึกย้อนไปถึง กรณีเขื่อนสาละวิน....เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐถามพ่อใหญ่จากบ้านสบเมยว่า หากสร้างเขื่อนแล้วจะมีผลเสียคิดเป็นมูลค่าเท่าไร...ทางรัฐจะชดเชยให้ วันนั้นพ่อใหญ่งงเป็นไก่ตาแตก พ่อใหญ่ไม่เคยนั่งคำนวณ ว่าสายน้ำที่จะหายไปมีมูลค่าเท่าไร ฝูงปลาที่หมู่บ้านจับกินมาตั้งแต่บรรพบุรุษนี่มันมูลค่าเท่าไร เรือกสวนไร่นาที่ไม่เคยมีนายทุนที่ไหนมากว้านซื้อมีมูลค่าเท่าไร..พ่อใหญ่ไม่เคยคิด และคงไม่เคยคิดว่าจะมีคนมานั่งคิด ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้มันสามารถตีค่าได้ด้วยหรือ? เช่นเดียวกัน ถนน ตลาดหุ้น ห้างสรรพสินค้า พ่วงด้วยกระสุนปืน มันมีค่าแก่การทวงคืนเทียบเท่ากับ ความฝันและชีวิตที่ค้างเติ่ง ของเฌอ ได้หรือไม่....
ความตายไม่ใช่เรื่องโรแมนติก ยิ่งใหญ่หรือสวยงามเลย คำบอกเล่าภาพเหตุการณ์การเสียชีวิตของเฌอ ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกในหัวของผมราวกับเห็นมาด้วยตา สำหรับวัย17ปีของเฌอคงมีโลกหลายใบของเขาอยู่ในความคิดของเขา...โลกที่สันติ เท่าเทียม ปราศจากความรุนแรง โลกที่ใส่ใจกับรากหญ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศ....ที่สำคัญมันไม่ใช่โลกใบผุๆ ที่เราอยู่กันในวันนี้ โลกแห่งความเห็นแก่ตัว แก่งแย่ง และดูถูกดูแคลนชนชั้นล่าง
เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง อีกหลายชีวิตที่ปลิดปลิว พร้อมกระแสสดุดีจากชนชั้นกลางอำมหิตและไร้ความคิด ผมเลิกงาน หอบชีวิต และความฝันที่ผุกร่อนตามกาลเวลากลับบ้าน คิดถึงความฝันในวัยเยาว์ของตัวเอง ของเฌอ และของหลายคน ที่จางหายไปกับสังคมที่หยามหมิ่นจิตวิญญาณของพวกเรา
ปล.กลอนนี้แต่งให้แก่ค่ายสาละวิน พื้นที่สุญญากาศแห่งอำนาจอธิปไตย เมื่อปี 2550 อุทิศแด่ เฌอ-สมาพันธ์ ศรีเทพ จากพี่ๆ ชาวค่ายทุกคน
“ลองคิดดูง่ายง่ายสหายเรา
พรุ่งนี้เจ้าตื่นมาเจอโลกใหม่
โลกพรุ่งนี้ไม่มีประเทศไทย
ลาวพม่าไทยใหญ่ก็ไม่มี
ไร้ประเทศขอบขันธสีมา
โขงธาราทิวเขาตะนาวศรี
เขาบรรทัดสันกาลาคีรี
ก็ล้วนผืนธรณีดินเดียวกัน
ไม่ต้องพลีชีพเราเพื่อชาติไหน
ไม่ต้องฆ่าใครใครเพื่อชาติฉัน
สิ้นสยบรบราและฆ่าฟัน
สิ้นสงครามหยามหยันจิตวิญญาณ
โลกพรุ่งนี้ไม่มีศาสนา
ศาสดาคือตัวเราที่ขับขาน
ไร้ภพหน้าพรุ่งนี้หรือเมื่อวาน
ไร้ตำนานปลอมแปลกให้แตกไป
เราจะสร้างสวรรค์สันติภาพ
ไร้ซึ่งความหยามหยาบและเหลวไหล
ไร้ซึ่งความแตกต่างและห่างไกล
จะรวมใจดังพี่น้องร่วมท้องมา
เธออาจมองว่าฉันดูฝันเฟื่อง
ให้เป็นเรื่องนักฝันอย่าถือสา
โลกใบใหม่ง่ายๆ ธรรมดา
ขอเพียงเธอเมตตาลองคิดดู”