ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
หมายเหตุชื่อบทความเดิม: ข้อเท็จจริงและมายาคติในบทความ “ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 1)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ดิฉันได้อ่านบทความเรื่อง “ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 1)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอในประชาไทออนไลน์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2553 [1] อ่านแล้วพบว่าบทความนี้สับสนระหว่างข้อเท็จจริงและมายาคติทางเศรษฐศาสตร์อย่างมาก ดิฉันจึงเขียนบทวิพากษ์นี้เพื่ออธิบายความคลาดเคลื่อนในบทความดังกล่าว และเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจได้วิเคราะห์ด้วยตนเอง
ข้อเท็จจริง 1. สถิติช่องว่างรายได้ในบทความนี้คลาดเคลื่อนมากและไม่ได้มาตรฐาน
ดัชนีจินีของไทยคือร้อยละ 53.5 ไม่ใช่ร้อยละ 43 ตามที่บทความดังกล่าวนำเสนอ ดูข้อมูลจริงได้จากตาราง A1.4 หน้า 151 ในรายงานจากสหประชาชาติชื่อ Thailand Human Development Report 2009 [2] ข้อมูลปฐมภูมิมาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติไทย [3]
ดิฉันเดาว่าบทความดังกล่าวเอาดัชนีจินีร้อยละ 43 มาจากฐานข้อมูลเก่า [4] ซึ่งไม่ได้เป็นฐานข้อมูลที่สหประชาชาติใช้ในการทำรายงาน ข้อมูลเก่านี้มาจากธนาคารโลก [5] เมื่อดูข้อมูลจากธนาคารโลกแล้วจะเห็นได้ว่าฐานข้อมูลจีนีที่ธนาคารโลกนั้นไม่สมบูรณ์มากๆดังที่ดิฉันได้แสดงไว้ในตาราง 1 แม้แต่ค่าเฉลี่ยจากตารางนี้ก็ไม่มีคุณค่าทางสถิติเพราะข้อมูลขาดๆ หายๆ จึงไม่น่าแปลกใจที่สหประชาชาติไม่อ้างอิงฐานข้อมูลนี้ในรายงานประจำปีเกี่ยวกับประเทศไทย
ตาราง 1. ข้อมูลดัชนีจินีที่สหประชาชาติเลิกใช้แล้ว
Country
|
1992
|
1993
|
1994
|
1995
|
1996
|
1997
|
1998
|
1999
|
2000
|
2001
|
2002
|
2003
|
2004
|
2005
|
2006
|
2007
|
Indonesia
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
42
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
39
|
..
|
38
|
Philippines
|
..
|
..
|
43
|
..
|
..
|
46
|
..
|
..
|
46
|
..
|
..
|
44
|
..
|
..
|
44
|
..
|
Singapore
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
42
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
..
|
Thailand
|
46
|
..
|
..
|
..
|
43
|
..
|
41
|
44
|
43
|
..
|
42
|
..
|
42
|
..
|
..
|
..
|
ที่มา: ธนาคารโลก ดัชนีการพัฒนาโลก (World Development Indicators, 2010)
ฐานข้อมูลที่ว่าดัชนีจินีของไทยคือร้อยละ 53.5 นั้นน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะมาจากสำนักงานสถิติแห่งชาติไทย [3] และเป็นข้อมูลที่อาจารย์เศรษฐศาสตร์ใช้กัน ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าฐานข้อมูลที่ธนาคารโลกมีคุณภาพแย่ไปเสียหมดทุกอย่าง ธนาคารโลกเข้าใจข้อจำกัดด้านข้อมูลของตนและไม่สนับสนุนให้ใช้ข้อมูลคุณภาพต่ำ ข้อมูลดัชนีจินีไม่ใช่ข้อมูลที่ธนาคารโลกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของตนอย่างแพร่หลาย [5]
โปรดสังเกตว่ารายงานจากสหประชาชาติที่บทความดังกล่าวอ้างอิงก็ให้ข้อมูลว่าดัชนีจินีของไทยคือร้อยล่ะ 53.5 ดูได้ที่รูป 3.7 หน้า 79 (ซึ่งดิฉันได้ตัดมามาประกอบข้างล่างนี้) แต่สื่อมวลชนไทย [6] ยังให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนเหมือนบทความดังกล่าวว่าจีนีของไทยคือร้อยละ 43 ทั้งๆ ที่ตัวเลขนี้ขัดกับมาตรฐานสากลและขัดกับสำนักงานสถิติแห่งชาติไทย ความคลาดเคลื่อนนี้มาจากสหประชาชาติที่ไม่ได้ลบข้อมูลที่ไม่ใช้แล้วจากฐานข้อมูลออนไลน์ ทั้งๆที่ตัวรายงานของสหประชาชาติได้หันไปใช้ฐานข้อมูลอื่นแล้ว ทำให้บุคคลที่ไม่มีความเชี่ยวชาญหรือศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังนำสถิติตัวนี้ไปเผยแพร่อย่างไม่ถูกต้อง
ในรูป 3.7 ในรายงานของสหประชาชาติที่ดิฉันนำมาแสดงข้างบนนี้ ดัชนีจินีบ่งบอกว่าปัญหาการกระจายรายได้ของไทยนั้นแย่กว่ามาเลเซีย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ถ้าสมมุติว่าข้อมูลในบทความดังกล่าวเกี่ยวกับดัชนีจินีของประเทศละตินอเมริกาเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ก็แปลว่าการกระจายรายได้ของไทยแย่พอๆกับประเทศละตินอเมริกา
ข้อเท็จจริง 2. เวลา 50 ปียาวนานพอที่จะแก้ปัญหาช่องว่างรายได้
บทความดังกล่าวอธิบายช่องว่างรายได้ด้วยหลักการเรื่องการพัฒนาขั้นแรกของระบบเศรษฐกิจแบบเปิด กล่าวคือ กลุ่มทุนและผู้มีอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรโดยเฉพาะที่ดินได้ส่วนแบ่งจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และกระบวนการ trickle-down หรือ ‘การไหลรินอย่างช้าๆ’ ของผลประโยชน์จากบนลงล่างต้องใช้เวลานาน
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นประเด็นสำคัญไม่ใช่ว่าการไหลรินจากบนลงล่างใช้เวลานานหรือไม่นาน ใครๆก็รู้ว่าการพัฒนาประเทศต้องใช้เวลานาน ไม่ต้องให้นักเศรษฐศาสตร์บอกเขาก็รู้ ฉะนั้นประเด็นคือนานเท่าไร? ประเทศอื่นใช้เวลานานเท่าไรที่จะก้าวพ้นภาวะการพัฒนาขั้นแรก?
ระยะเวลา 50 ปียาวนานพอที่จะก้าวพ้นการพัฒนาขั้นแรกและลดช่องว่างรายได้ หลายประเทศได้ทำสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกาซึ่งเคยเป็นประเทศกำลังพัฒนาในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ดิฉันขออธิบายโดยยกตัวอย่าง 3 ประเทศนี้เพราะประเทศเหล่านี้คล้ายคลึงกับไทยตรงที่ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิด และใช้การส่งออกเป็นฐานการพัฒนาประเทศมาก่อนเช่นเดียวกัน
นโยบายหลักที่ทำให้การ ‘การไหลรินอย่างช้าๆ’กลายเป็น ‘การไหลรินอย่างเร็วๆ’ มี 3 นโยบาย คือการปฏิรูปที่ดิน การจัดเก็บภาษีก้าวหน้า และการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด
2.1. การปฏิรูปที่ดินเป็นหัวใจสำคัญในลดช่องว่างรายได้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ผ่านการปฏิรูปที่ดินเพื่อลดอำนาจของเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่และเพื่อให้ทรัพยากรที่ดินได้ใช้ประโยชน์สูงสุด เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เสียกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนและที่ดินเหล่านั้นโดนแจกจ่ายให้ประชากรที่ไม่มีที่ดิน ส่วนสหรัฐฯ มีนโยบายปฏิรูปหรือพัฒนาที่ดินก่อนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ถึง 80 ปี
สหรัฐฯ เป็นประเทศใหญ่และมีที่ดินมหาศาล เพื่อให้ที่ดินได้ใช้ประโยชน์สูงสุดรัฐบาลกลางของสหรัฐฯเมื่อ 150 ปีที่แล้วใช้นโยบายแจกที่ดิน (Land grant) เพื่อการพัฒนา กล่าวคือ รัฐบาลกลางแจกที่ดินให้แก่มลรัฐเพื่อให้สร้างมหาวิทยาลัยโดยมีเงื่อนไขว่าต้องพัฒนาการศึกษาด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์และวิศวกรรม และต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน การสร้างมหาวิทยาลัยเหล่านี้มีทั้งที่ใช้งบประมาณของมลรัฐและเงินบริจาคจากมหาเศรษฐีที่มีวิสัยทัศน์ มีมหาวิทยาลัยเกิดจากนโยบายแจกที่ดิน (Land-grant universities) มากมาย เช่น มหาวิทยาลัยเอ็มไอที มหาวิทยาลัยคอร์เนล มหาวิทยาลัยแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนีย (ที่คนไทยมักรู้จักในนามของเบิร์กเลย์หรือยูซีแอลเอ) มหาวิทยาลัยเพอร์ดู ฯลฯ
นโยบายแจกที่ดินเพื่อการพัฒนาของสหรัฐฯ ทำให้บริษัทรถไฟสร้างทางรถไฟไปตามเมืองมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชน และเชื่อมผู้ผลิตกับตลาดเข้าด้วยกัน ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยจึงกลายเป็นฐานในการพัฒนาชุมชนและเทคโนโลยี และนำไปสู่การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น เพียง 50 ปีหลังจากการสร้างเครือข่ายมหาวิทยาลัย และเครือข่ายรถไฟสหรัฐฯ ได้ผันตัวจากการส่งออกสินค้าเกษตรไปสู่การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมจนกลายเป็นมหาอำนาจ
ส่วนญี่ปุ่นใช้เวลา 30 ปีหลังการปฏิรูปที่ดินในการแก้ปัญหาช่องว่างรายได้ เกาหลีใต้นั้นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมหลัง 30 ปีหลังญี่ปุ่น เนื่องจากเกาหลีปฏิรูปบางนโยบายช้ากว่าญี่ปุ่น
2.2. การจัดเก็บภาษีก้าวหน้าเป็นนโยบายปกติในประเทศที่พัฒนาแล้ว
แม้แต่ประเทศทุนนิยมสุดขั้วอย่างสหรัฐฯและอังกฤษก็ใช้ระบบจัดเก็บภาษีก้าวหน้า เช่น ภาษีมรดกและภาษีของขวัญ ภาษีทรัพย์สินที่ครอบคลุมทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สหรัฐฯและอังกฤษมีภาษีเหล่านี้มาเกือบ 100 ปีแล้ว [7][8] ส่วนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นนำภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินเข้ามาใช้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 [9][10]
เมื่อ 2 เดือนที่แล้วมีรายงานในสื่อมวลชนไทยว่าสหรัฐฯได้ยกเลิกภาษีมรดกแล้วและประเทศทุนนิยมไม่เก็บภาษีจากกำไรในตลาดหลักทรัพย์ [11] รายงานดังกล่าวไม่เป็นความจริง การยกเลิกภาษีมรดกที่สหรัฐฯโดยรัฐบาลบุชเป็นเพียงการยกเลิกชั่วคราวเพียงปีนี้และปีหน้าภาษีมรดกจะกลับมาบังคับใช้เหมือนเดิม [12] กลุ่มคนอเมริกันที่ต้องการยกเลิกภาษีมรดกยังไม่สามารถจุดกระแสสังคมให้ยกเลิกภาษีมรดกได้ แม้แต่มหาเศรษฐีที่มีมรดกมากที่สุดในสหรัฐฯอย่างนายวอเรน บัฟเฟต์ และนายบิล เกตต์ยังสนับสนุนการใช้ภาษีมรดก นอกจากนี้ประเทศทุนนิยมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อังกฤษ เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่นมีการจัดเก็บภาษีจากกำไรในการค้าขายหลักทรัพย์ในรูปแบบต่างๆที่ไทยไม่จัดเก็บ ผู้อ่านที่สนใจสามารถหาข้อมูลจากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังหรือสรรพากรในประเทศเหล่านี้ได้
2.3. การบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust laws) มีผลต่อการพัฒนาประเทศ
สหรัฐฯเริ่มบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเมื่อ 120 ปีที่แล้วเพื่อสลายการผูกขาดของบริษัทการรถไฟแห่งหนึ่ง [13] ภายหลังได้จัดตั้งคณะกรรมการการค้า (Federal Trade Commission) เพื่อบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดร่วมกับแผนกต่อต้านการผูกขาดในกระทรวงยุติธรรม (Antitrust Division, Department of Justice) ตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังจากนั้นได้บังคับใช้กฎหมายนี้เพื่อสลายบรรษัทผูกขาด (Corporate monopoly) ในหลายอุตสาหกรรม เช่น ยาสูบ น้ำมัน เงินทุนหลักทรัพย์ ฯลฯ
ส่วนการลดอำนาจการผูกขาดของกลุ่มทุนผูกขาดของญี่ปุ่น (Zaibatsu) เกิดขึ้นเมื่อ 60 ปีที่แล้ว กลุ่มทุนผูกขาดของเกาหลีใต้ (Chaebol) โดนลดอำนาจเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มาตรการสำคัญของการลดอำนาจผูกขาดในเกาหลีใต้คือการห้ามกลุ่มทุนอุตสาหกรรมเป็นเจ้าของธนาคาร ส่วนการลดอำนาจผูกขาดในญี่ปุ่นนั้นยังไม่แยกอำนาจธนาคารออกจากอุตสาหกรรมอื่น
ข้อเท็จจริง 3. กลุ่มทุนไทยแตกต่างจากกลุ่มทุนในประเทศที่ก้าวข้ามการพัฒนาในขั้นแรก
บทความดังกล่าวนำเสนอว่าการที่กลุ่มทุนไทยได้ส่วนแบ่งจากการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าแรงงานนั้นเป็นภาวะปกติของการพัฒนาขั้นแรก ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนั้นภาวะการพัฒนาขั้นแรกของไทยนั้นยาวนานกว่าหลายประเทศมากๆ น่าจะตั้งคำถามว่ากลุ่มทุนของไทยต่างจากกลุ่มทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างไร?
กลุ่มทุนของไทยแตกต่างจากกลุ่มทุนในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ในหลายด้าน ด้านที่ชัดเจนที่สุดคือบทบาทของกลุ่มทุนทหาร
3.1. กองทัพไทยคือกลุ่มทุน แต่กองทัพในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯไม่ใช่กลุ่มทุน
ในประเทศที่พัฒนาแล้วทุกประเทศยกเว้นญี่ปุ่นมีกลุ่มทุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับกองทัพผ่านการจัดซื้อและสัมปทาน ส่วนญี่ปุ่นเคยมีอุตสาหกรรมอาวุธจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลุ่มทุนในประเทศเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มทุนของกองทัพ กล่าวคือ กองทัพในประเทศที่พัฒนาแล้วไม่เคยถือหุ้นในบริษัทอาวุธ ไม่ถือหุ้นธนาคาร หุ้นสื่อมวลชน หุ้นโรงแรม ฯลฯ ดังนั้นกลุ่มทุนต่างประเทศที่ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมอาวุธและนักวิชาการต่างประเทศจึงไม่สร้างสายสัมพันธ์กับกองทัพ และสามารถวิพากษ์วิจารณ์กองทัพได้อย่างเป็นกลาง
ในทางกลับกันกองทัพไทยเป็นกลุ่มทุนที่มีธุรกิจครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม และมีเครือข่ายทั้งด้านธุรกิจและด้านวิชาการในสถาบันต่างๆ เครือข่ายเหล่านี้พร้อมจะสนับสนุนผลประโยชน์ของกองทัพในอุตสาหกรรมต่างๆไม่ว่าในยุคก่อนและหลังรัฐประหาร 2549 ทำให้เกิดวงจรรัฐประหารไม่จบไม่สิ้น นี่คือปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีรัฐประหารมากที่สุดในโลก
3.2. กลุ่มทุนกองทัพไทยไม่สร้างเทคโนโลยี แตกต่างจากกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมอาวุธในประเทศที่พัฒนาแล้ว
แม้ว่ากองทัพในประเทศพัฒนาแล้วไม่ถือหุ้นธนาคารและหุ้นในบริษัทเอกชน ผู้บริหารกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมอาวุธจำนวนหนึ่งเคยทำงานในกระทรวงกลาโหม ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างอุตสาหกรรมอาวุธและพลเรือนในกระทรวงกลาโหมสามารถนำไปสู่การใช้อำนาจของกองทัพเพื่อเอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมอาวุธ (Military-industrial complex) [14] ถ้ามองในแง่นี้เราสามารถเรียกกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมอาวุธได้ว่าเป็น ‘กลุ่มทุนทหาร’ ประเภทหนึ่ง
เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทุนทหารในประเทศที่พัฒนาแล้วกับกลุ่มทุนทหารไทยแล้ว จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนทหารในประเทศที่พัฒนาแล้วคือผู้ส่งออกอาวุธ แต่กลุ่มทุนกองทัพไทยคือผู้นำเข้าอาวุธ ความสัมพันธ์นี้ได้ฝังลึกมาตลอดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย
นอกจากการพัฒนาอาวุธ กลุ่มทุนทหารในประเทศที่พัฒนาแล้วมีบทบาทในการพัฒนาอุตสากรรมด้วยการสร้างเทคโนโลยีที่นำไปสู่การพัฒนาทางพาณิชย์ด้วย กล่าวคือ อุตสาหกรรมสื่อสาร (บริษัทสื่อสารในสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และยุโรปจำนวนมากมีกระทรวงกลาโหมเป็นลูกค้าสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์) อุตสาหกรรมเครื่องบิน (เช่น บริษัทโบว์อิ้งของสหรัฐฯ บริษัทแอร์บัสของฝรั่งเศส และบริษัทอะไหล่เครื่องบินอีกมาก) อุตสาหกรรมรถยนต์ (เช่น บริษัทผลิตรถเกราะในสหรัฐฯและยุโรป บริษัทบีเอ็มดับบลิว) อุตสาหกรรมน้ำมัน (ทั้งในสหรัฐและยุโรป)
นอกจากนี้ กลุ่มทุนทหารในต่างประเทศบางกลุ่มยังมีส่วนร่วมในการสร้างเทคโนโลยีด้วยการสร้างมหาวิทยาลัยและให้ทุนเพื่อการวิจัย เช่น นายจอห์น รอคกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีน้ำมันได้สร้างมหาวิทยาลัยชิคาโก นายแอนดรู คาร์เนกี้มหาเศรษฐีเหล็กกล้าก่อตั้งมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้เมลอน ฯลฯ การสร้างมหาวิทยาลัยและให้ทุนวิจัยเพื่อเทคโนโลยีโดยกลุ่มทุนทหาร (และกลุ่มทุนอื่นๆ เช่น กลุ่มทุนการรถไฟได้สร้างมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์) เป็นการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างกลุ่มทุนอุตสาหกรรมและแรงงาน เนื่องจากการเติบโตทางอุตสาหกรรมทำให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือที่จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและพัฒนาองค์กร
การสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัยในญี่ปุ่นก็มาจากการผลักดันจากกลุ่มทุนด้วยจุดประสงค์เดียวกัน พ่อค้าญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้รัฐบาลตั้งมหาวิทยาลัยทั้งมหาวิทยาลัยรัฐบาลและมหาวิทยาลัยเอกชน
ข้อเท็จจริง 4. ช่องว่างรายได้เป็นปัญหาสำคัญที่แก้ได้ด้วยกระบวนการการเมืองและกระบวนการทางเศรษฐศาสตร์
บทความดังกล่าวพยายามชี้ว่าปริมาณคนจนในไทยได้ลดลงในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติที่สร้างจากนิยามเส้นความจน (Poverty line) ซึ่งตกวันละ 1-2 เหรียญสหรัฐต่อคน [15] ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าชีวิตที่เพิ่งก้าวพ้นเส้นความจนนั้นไม่น่าพิสมัยนัก จะให้คนไทยยินดีว่าจำนวนคนจนในไทยน้อยกว่าคนจนในอัฟริกาแล้วไม่ต้องสนใจการกระจายรายได้นั้นก็ไปไม่ได้ ที่สำคัญคนไทยไม่ได้จ่ายภาษีให้รัฐบาลอัฟริกา และการกระจายรายได้เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดระบบภาษีทั่วโลก
แม้แต่ประเทศทุนนิยมสุดขั้วอย่างสหรัฐฯและอังกฤษยังใช้การกระจายรายได้มากำหนดอัตราภาษีต่างๆว่าจะเก็บจากคนกลุ่มไหนเท่าไร นอกจากนี้การกระจายรายได้เป็นประเด็นสำคัญหลังวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะกลุ่มทุนใหญ่บางกลุ่มโดยเฉพาะธนาคารมักได้งบประมาณภาษีมาอุ้มตอนวิกฤต ดังนั้นนักวิชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วมักชี้ประเด็นเรื่องการการจายรายได้หลังวิกฤตทุกครั้งเพื่อตรวจสอบว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์ด้านภาษีอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่ นอกเหนือไปจากการตรวจสอบผู้บริหารของกลุ่มทุนที่ได้รับการช่วยเหลือจากภาษี
นอกจากนี้รายงานการวิจัยทั้งในสาขาเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยาพบว่าการสนใจรายได้ของคนรอบข้างเป็นธรรมชาติมนุษย์ ไม่ว่าจะเปรียบเทียบรายได้กับคนในองค์กรเดียวกันหรือชุมชนเดียวกัน แม้แต่ประเทศทุนนิยมสุดขั้วอย่างสหรัฐฯยังมีการเปรียบเทียบว่าผู้ว่าฯธนาคารกลางสหรัฐฯได้รายได้มากน้อยอย่างไรเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีโอบามาหรือผู้ว่าฯธนาคารกลางยุโรป [16] ความจนหรือความรวยก็นิยามจากการเปรียบเทียบ การจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกหรือการจัดอันดับประเทศก็มาจากการเปรียบเทียบเช่นเดียวกัน
ถ้าบทความดังกล่าวจะเอาการเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเปิดของไทยมาอธิบายปัญหาช่องว่างรายได้ ก็น่าจะถือว่าปัญหาช่องว่างรายได้เป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจังเหมือนที่ระบบเศรษฐกิจเปิดอื่นๆได้แก้กันมาแล้ว
บทสรุป
ปัญหาช่องว่างรายได้นั้นนิยามกันด้วยดัชนีจินีและดัชนีอื่นๆที่จะนำมาเปรียบเทียบกับสถิติต่างประเทศได้ก็ต่อเมื่อการจัดทำสถิติได้มาตรฐานสากล ปัญหาช่องว่างรายได้เป็นปัญหาที่หลายประเทศตระหนักว่าสำคัญและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาทรัพยากรในระยะยาว หลายประเทศได้พยายามแก้ไขปัญหานี้สำเร็จภายในเวลา 50 ปี
ถ้ารัฐไทยต้องการแก้ปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายที่ได้ผลในประเทศอื่นมาแล้ว กล่าวคือ การปฏิรูปที่ดิน การเก็บภาษีก้าวหน้า และการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด มาตรการเหล่านี้จะทำให้ ‘การไหลรินอย่างช้าๆ’ กลายเป็น ‘การไหลรินอย่างเร็วๆ’ ซึ่งเป็นหัวใจของนโยบายเพื่อการพัฒนา โดยนิยามการปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางการเมืองที่มีกฎหมายใหม่มารองรับก่อนที่จะนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้นการแก้ปัญหาช่องว่างรายได้จึงต้องอาศัยทั้งกระบวนการการเมืองและกระบวนการทางเศรษฐศาสตร์
..........................................................................................
อ้างอิง
[1] “ช่องว่างรายได้ในสังคมไทย: ข้อเท็จจริงและมายาคติ (ตอนที่ 1)” โดย สมชัย จิตสุชน และจิราภรณ์ แผลงประพันธ์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ประชาไทออนไลน์ 15 กันยายน 2553: http://www.prachatai.com/journal/2010/09/31111
[2] Human Development Report Thailand 2009: http://hdr.undp.org/en/reports/nationalreports/asiathepacific/thailand/NHDR_2009_Thailand.pdf
[3] สำนักงานสถิติแห่งชาติ http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/service/poverty50/kingdom_total_inc.htm
มีข้อสังเกตว่าสำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าเป็นรายได้บุคคลแต่สหประชาชาตินำไปรายงานว่าเป็นรายได้ของครัวเรือน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรต้องสอบถามสำนักงานสถิติแห่งชาติและสหประชาชาติให้ชัดเจน
[4] Human Development Report 2009, Economy and inequality: http://hdrstats.undp.org/en/indicators/161.html
[5] World Bank, World Development Indicators (2009): Poverty indicators: http://data.worldbank.org/topic/poverty
[6] Gini Coefficient, by Stephen Young, The Nation, April 21, 2010: http://www.nationmultimedia.com/home/2010/04/21/opinion/Gini-Coefficient-30127515.html
[7] U.S. Treasury, FAQs: The history of U.S. tax system: http://www.ustreas.gov/education/faq/taxes/history.shtml
[8] Her Majesty Revenue and Custom, Inheritance Tax Thresholds: http://www.hmrc.gov.uk/rates/iht-thresholds.htm
[9] Japan’s Ministry of Finance, Introduction to the Japanese Tax System: http://www.mof.go.jp/english/tax/taxes2006e_b.pdf
[10] Korea’s National Tax Service, Korean Taxation 2008 (Direct Taxes): http://www.nts.go.kr/eng/data/korean_taxation2008(Part_2).pdf
[11] “การปรับโครงสร้างภาษีอากร” โดย วีรพงษ์ รามางกูร ประชาชาติธุรกิจ 31 กรกฎาคม 2553: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1280469727&grpid=05&catid=02
[12] Prudential Financial, Estate Taxes and Gift Taxes: http://www.prudential.com/view/page/public/12019
[14] “Patriots and Profits,” Paul Krugman, The New York Times, December 16, 2003: http://www.nytimes.com/2003/12/16/opinion/16KRUG.html?th
[15] “Thailand’s Official Poverty Lines,” National Economic and Social Development Board:http://www.nscb.gov.ph/poverty/conference/papers/7_Thai%20official%20poverty.pdf
[16] “ความโปร่งใสของธนาคารกลาง” กานดา นาคน้อย มติชนออนไลน์ 2 สิงหาคม 2553: http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1280721467&grpid=04&catid=02
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)