โค้งสุดท้ายก่อนเสนอร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานคร

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
ความเคลื่อนไหวที่คืบหน้ามาเป็นลำดับนับแต่ได้มีการยกร่าง พรบ.ระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร พ.ศ....ขึ้นมาเมื่อเดือนมกราคม 2554 และได้มีการปรับปรุงพัฒนามาโดยตลอดจนได้เนื้อหาสาระที่คิดว่าครอบคลุมและสามารถตอบโจทย์แก่ผู้สงสัยได้ในระดับหนึ่ง หลังจากที่ได้มีการลงพื้นที่ใน 25 อำเภอ มากกว่า 40 เวที จึงได้มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มเพื่อเผยแพร่จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วประเทศ มีทั้งการสนับสนุนและแรงต้านด้วยเหตุเนื่องจากการที่ไปกระทบฐานอำนาจของตน
 
แรงสนับสนุนที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งในเบื้องแรกก็คือการมีข้อเสนอเมื่อ 18 เมษายน 2554 ในหนังสือปกสีส้ม “ข้อเสนอการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ”ของคณะกรรมการปฏิรูป(คปร.)ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน เสนอให้มีการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคซึ่งสอดรับกับร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯพอดี กอปรกับข่าวคราวการขับเคลื่อนเพื่อผลักดันร่าง พรบ.ฯนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศทั้งจากสิ่งพิมพ์และสื่อในรูปแบบต่างๆทั้งในสื่อกระแสหลักและนอกกระแสและที่ทรงพลังอย่างยิ่งก็คือสื่อโทรทัศน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานีไทยพีบีเอสและวอยส์ทีวีที่มีทั้งการเสนอข่าวและการจัดทำสารคดีเป็นระยะๆ
 
ผลจากการริเริ่มครั้งนี้ได้มีแนวร่วมในการขับเคลื่อนแพร่กระจายไปมากกว่า 40 จังหวัดในรูปแบบของ “จังหวัดจัดการตนเอง”ที่เน้นไปในความเป็นอิสระในการจัดการชีวิตของตนเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปกครองท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง 
 
หลักการพื้นฐานของร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯมี 3 หลักการใหญ่ๆ คือ 
 
1)ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคเหลือเพียงราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเต็มพื้นที่ โดยส่วนราชการส่วนท้องถิ่นจะแบ่งเป็น 2 ระดับ(tier) ระดับบนเรียกว่าเชียงใหม่มหานคร ระดับล่างเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดิมแต่อาจเปลี่ยนชื่อเรียกเพื่อไม่ให้ซ้ำซ้อนกับเทศบาลหรือ อบต.ของมหาดไทยโดยอาจเรียกว่า “นครบาล”ตามร่างแก้ไข พรบ.กรุงเทพมหานครฯที่เห็นพ้องกับร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯซึ่งจัดการปกครองท้องถิ่นเป็น 2 ระดับแทนที่มีเพียงระดับเดียวแบบกรุงเทพมหานครในปัจจุบันที่ใหญ่โตและเทอะทะเกินไป โดย 2 ระดับนี้อยู่ในลักษณะของการแบ่งหน้าที่กันทำไม่ใช่ลักษณะของการบังคับบัญชา
 
2)มีโครงสร้าง 3 ส่วน ประกอบไปด้วยผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานครที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง,สภาเชียงใหม่มหานครและสภาพลเมือง(Civil Juries) โดยเชียงใหม่มหานครนี้จะทำทุกเรื่องยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับ การทหาร, การต่างประเทศ, การเงินการคลังระดับชาติและการศาล
 
3)จัดแบ่งรายได้กับส่วนกลางในอัตราส่วน 70/30 คือ เก็บไว้ใช้ในท้องถิ่น 70 เปอร์เซ็นต์และส่งส่วนกลาง 30 เปอร์เซ็นต์
 
ในระยะแรกๆที่ผู้คนได้รับทราบข่าวสารก็มักจะมีความเห็นว่าคงเป็นไปไม่ได้เพราะคิดว่าประชาชนคงยังไม่พร้อม แรงต้านจากหน่วยราชการต่างๆคงมีมาก แต่การณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม แรงต้านก็ยังคงมีอยู่บ้างแต่น้อยกว่าที่คิดไว้มากนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือตัวข้าราชการเองก็ต่างก็ประจักษ์ว่าโลกเราพัฒนาไปไกลแล้ว จะช้าหรือเร็ว จะมากหรือน้อย การจัดการกับชีวิตของตนเองที่เป็นสิทธิพื้นฐาน(self determination rights)นั้นจะต้องได้รับการยอมรับ และหนึ่งในสิทธิพื้นฐานที่ว่านี้ก็คือสิทธิในการจัดการตนเองหรือปกครองตนเอง(self governing)นั่นเอง
 
การขับเคลื่อนมีความคืบหน้ามาเป็นลำดับ มีการรณรงค์ในรูปแบบต่างๆ มีการรับสมัครและอบรมอาสาสมัครจิตอาสาที่ไม่มีค่าตอบแทนจำนวนนับพันเพื่อขับเคลื่อนโครงการฯกระจายไปเต็มพื้นที่ หน่วยงานต่างๆให้ความสนใจเข้ามาสอบถาม เช่น คณะกรรมาธิการปกครองของวุฒิสภาถึงกับลงทุนไปหาข้อมูลในพื้นที่เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ได้เชิญตัวแทนไปชี้แจงและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ
 
นอกจากนั้นในวงการการศึกษาก็มีความตื่นตัวยิ่งหย่อนไปกว่ากันตั้งแต่ระดับในโรงเรียนไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยแม้กระทั่งในการฝึกอบรมของนักศึกษาวิชาทหารก็มีการพูดถึง มีการทำรายงานของนักเรียนนักศึกษา การทำวิทยานิพนธ์ ภาคนิพนธ์ การค้นคว้าอิสระ ฯลฯ ตลอดจนมีการจัดเวทีวิชาการกันอย่างกว้างขวาง
 
ที่น่าสนใจก็คือได้มีการจัดเวทีไปภูมิภาคต่างๆเพื่อร่วมกันยกร่างให้เป็นกฎหมายกลางโดยใช้หลักการพื้นฐานจากร่าง พรบ.เชียงใหม่มหานครฯก็คือ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายซึ่งได้มีการจัดประชุมและสัมมนาอยู่เป็นระยะๆเพื่อที่ว่าต่อไปเมื่อมีกฎหมายกลางเกิดขึ้นแล้วจังหวัดอื่นๆก็ไม่ต้องไปล่ารายชื่อทีละจังหวัดๆอีก และล่าสุดก็มีการระดมนักวิชาการในด้านนี้โดยเฉพาะมาให้ความเห็นเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งน่าเสียดายที่ผมติดประชุมอยู่ต่างประเทศเลยไม่ได้ไปเข้าร่วมประชุมด้วย แต่คิดว่าแนวทางก็คงเป็นไปตามหลักการของการกระจายอำนาจหรือการปกครองท้องถิ่นของนานาอารยประเทศทั้งหลายนั่นเอง
 
ในช่วงระยะนี้นับได้ว่าเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเสนอชื่อเพื่อเสนอร่าง พรบ.ดังกล่าวโดยมีการรณรงค์เพื่อลงชื่อกันอย่างขะมักเขม้น โดยกำหนดหมุดหมายสุดท้ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2556 ว่าจะเป็นการระดมพลครั้งใหญ่เพื่อยื่นเสนอร่าง พรบ.ต่อรัฐสภา โดยจะรวมตัวกันในทุกภาคส่วน ณ บริเวณอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับที่มีการประกาศเจตนารมณ์เริ่มขับเคลื่อนอย่างเป็นทางการเมื่อ 24 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมานั่นเอง
 
นับจากนี้ไปเชียงใหม่และจังหวัดต่างๆจะไม่เหมือนเดิมต่อไปอีกแล้ว ไม่มีใครรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีกว่าคนท้องถิ่นอย่างแน่นอน ในส่วนของมายาคติและข้อสงสัยร่าง พรบ.นี้ เช่น เป็นการแบ่งแยกรัฐ, กระทบต่อความมั่นคง, รายได้ท้องถิ่นยังไม่เพียงพอ อบจ./อบต./เทศบาลยังอยู่หรือไม่,จะเอาข้าราชส่วนภูมิภาคไปไว้ไหน/นายอำเภอยังมีอยู่หรือไม่,เขตพื้นที่อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน จะหายไป,กำนันผู้ใหญ่บ้านยังคงมีอยู่หรือไม่  หากยังคงมีอยู่จะมีบทบาทอะไร,ประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอประชาชนยังไม่พร้อม ยังไม่มีการศึกษาที่ดีพอ,นักเลงครองเมือง,ซื้อเสียงขายเสียง,ทุจริตคอร์รัปชัน/เปลี่ยนโอนอำนาจจากอำมาตย์ใหญ่ไปสู่อำมาตย์เล็กและสุดท้ายผิดกฎหมายหรือไม่ สิ่งต่างๆเหล่านี้มีคำตอบไว้หมดแล้วในบทความของผม เรื่อง มายาคติและข้อสงสัยในการยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค
 
โลกต้องหมุนไปข้างหน้า บ้านเมืองต้องมีวิวัฒนาการ รูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินแบบหนึ่งอาจจะเหมาะสมในระยะเวลาหนึ่ง หากไม่ปรับปรุงแก้ไข อย่าว่าแต่จะไปแข่งขันกับนานาอารยประเทศทั้งหลายเลย แม้แต่ฟิลิปปินส์ อินโด มาเลย์ในเรื่องการปกครองท้องถิ่นนี้เรายังตามก้นเขาอีกหลายก้าวครับ
 
-------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 4 กันยายน 2556
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท