Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

“ตรรกะวิบัติแบบหุ่นไล่กา” เป็นที่นิยมมากในประเทศไทย เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการประกอบสร้าง Hate Speech เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามได้อย่างคะนองปาก เป็นวิธีการปลุกระดมที่ใช้สร้างความเกลียดชังอย่างได้ผลมาทุกยุคทุกสมัย นักปราศรัยใช้ตรรกะวิบัติชนิดนี้และสร้างความเป็นหุ่นไล่กาขึ้นมาจริงๆด้วย โดยปรากฏให้เห็นเด่นชัดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของประเทศไทย แน่นอนที่สุดบทบาทหุ่นไล่กาเป็นใครไปไม่ได้นอกจากทหาร

ควรรู้ “หุ่นไล่กา” เป็นหุ่นสร้างขึ้นมาเพื่อเลียนแบบมนุษย์ โดยจะปักไว้กลางนาเพื่อให้นกกาที่จะลงมาจิกกินผลผลิตไม่กล้าบินโฉบเข้ามาใกล้เพราะคิดว่าเป็นมนุษย์จริงๆ  เช่นเดียวกับตรรกะวิบัติแบบหุ่นไล่กา คือ การสร้างภาพที่บิดเบือนความจริงของศัตรู แล้วทุ่มเทโจมตีในส่วนนั้นอย่างสาดเสียเทเสีย บางครั้งเป็น Big Lie บางครั้งเป็น Conspiracy ยิ่งทำให้เกิดความสมจริงเข้าไปอีก ในที่นี้ บรรดาผู้นำต้องระมัดระวังมิให้กองทัพของตนกลายเป็น “กองทัพหุ่นไล่กา”

เพราะความเป็นหุ่นไล่กานี้เองทำให้ “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กระดูกเอามาแขวนคอ” เพราะผลผลิตในนาเป็นของมนุษย์ผู้สร้างหุ่นไล่กาขึ้นมา ไม่ใช่ของหุ่น เพราะหุ่นนั้นกินไม่ได้ เป็นเพียงหุ่นที่ตากแดดตากลมและทำงานป้องกันนาอย่างแข็งขันที่สุดเท่านั้น แน่นอน หุ่นไล่กาตัวที่เหมือนมนุษย์ย่อมไล่กาตัวร้ายที่จะเข้ามาโกงผลผลิตได้ชะงัดนัก ขอเพียงมีจำนวนหุ่นไล่กามากพอ ทั้งๆ หุ่นไม่มีความแค้นกับกา ไม่ว่าจะกาขาวหรือกาดำ แต่นั่นเองหุ่นถูกเจ้าของนายกออกมาวางตั้งไว้เด่นเป็นสง่ากลางท้องนา อุปโลกน์ให้เป็นมนุษย์มีทั้งชุดและหมวกให้ เพียงเท่านี้เจ้าของนาก็สบายใจหายห่วงว่าไม่มีเจ้ากาตัวแสบคอยกวนใจ ผลผลิตที่ลงทุนลงแรงมาก็ไม่เสียหาย

หลายครั้งนักปราศรัยยัดเยียดบทบาทหุ่นไล่กาให้กับทหาร โดยใช้จุดอ่อนเรื่องความไม่ตรงไปตรงมาของทหารประเภทเรื่องลับ ลวง พราง หรือวาระซ่อนเร้นต่างๆ มาบิดเบือนประเด็นและสร้างข่าวลือที่ไม่เป็นคุณกับประชาธิปไตย จึงทำให้ทหารอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก อย่าลืมว่า ความอดทนเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชานั้นเป็นสิ่งที่หล่อหลอมกันมาจนเป็นสายเลือดแล้วก็ว่าได้ ปัญหาคือทหารจะปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาท่านใดและแบบไหนเป็นอีกเรื่อง สมมติว่า ต้องเลือกระหว่างผู้บังคับบัญชาที่เกษียณแล้ว กับ ผู้บังคับบัญชาที่ยังไม่เกษียณ ทหารในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาจะตัดสินใจอย่างไร อะไรเป็นขอบเขตที่ทหารควรแสดงออกในกรณีที่จะแสดงอารยขัดขืนบ้าง?

ทหารอาจถูกหลอกว่าการเป็นหุ่นไล่กาเป็นการกระทำเยี่ยงวีรบุรุษ หรือไม่ก็จะมีนักล็อบบี้หยิบยกผลประโยชน์ขึ้นล่อตาล่อใจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ เงินทอง ตำแหน่งหน้าที่ จึงทำให้ทหารหลายคนสนใจวิถีทางแห่งการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจที่เคยมีและดำรงอยู่ในอำนาจตลอดไป (ในความคิดของตน) แต่ในภาคปฏิบัติของประเทศไทย การจะผลักดันจนเกิดรัฐประหารไม่ใช่เรื่องที่จะกระทำโดยพลการ จำต้องได้รับสัญญาณจากหลายฝ่ายเสียก่อน ซึ่งความลังเลเพราะมัวแต่รอสัญญาณของขุนทหารนี้เองที่ทำให้ทหารไม่ต่างจากหุ่น นั่นคือ จำต้องมีใครสักคนเป็นผู้สั่งการ และเป็นการสั่งการเพื่อให้หุ่นนี้ไล่กา ประเด็นคือทหารไม่ใช่หุ่น ดังนั้น ทหารไม่จำเป็นต้องไปไล่กาให้เจ้าของนา

มองในแง่นี้ ทหารย่อมเผชิญชะตากรรมทั้งขึ้นทั้งล่อง ก็สุดแท้แต่จะเลือกว่า จะกลายเป็นหุ่นให้ฝ่ายใดโจมตี เพราะทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โจมตีทหารในฐานะหุ่น โดยสร้างภาพที่บิดเบือนไปจากความจริงเพื่อที่จะด่าทอหรือเสียดสีได้ง่ายๆ เช่น เสียดสีว่ากองทัพซุกใต้กระโปรงผู้หญิง ซึ่งทั้งฝ่ายสนับสนุนและต่อต้านรัฐประหารย่อมสามารถนำประโยคข้างต้นขึ้นเสียดสีทหารได้อย่างสนุกปาก แบบนี้จะเรียกว่าเปลืองตัวก็ไม่ผิดนัก

ดังนั้น เพื่อให้ทหารมีกำลังใจที่จะยืนหยัดอย่างอดทนในระบอบประชาธิปไตย เช่นเดียวกับเจ้าภาพการฝึกร่วมอย่างสหรัฐอเมริกาผู้สนับสนุนกองทัพไทยเรื่อยมา ฝ่ายต่อต้านรัฐประหารควรให้กำลังใจและชี้ให้เห็นข้อดีของความเป็นคนที่ไม่ใช่หุ่นไล่กา เพราะเชื่อแน่ว่า ทหารส่วนใหญ่ไม่อยากตกเป็นเครื่องมือของใครทั้งนั้น และขีดความสามารถของกองทัพยังต้องหวังพึ่งประเทศประชาธิปไตยอีกหลายชาติ ยังไม่นับรวมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหาร หากเกิดการปฏิวัติขึ้นมา เพราะเราคงไม่อาจพึ่งพาประเทศเผด็จการทหารด้วยกันอย่างเกาหลีเหนือได้

คงจำได้ว่าเครื่องแบบที่ทหารทุกคนภูมิใจและอยากสวมใส่นั้น ครั้งหนึ่งเคยไม่กล้าใส่มาแล้วในยุค 14 ตุลา เนื่องจากการถูกยัดเยียดภาพลักษณ์ที่เป็นอันตรายต่อผู้สวมใส่เครื่องแบบ ทั้งที่คนในเครื่องแบบก็เป็นคนเหมือนกับเรา และเป็นประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเดียวกันกับเรา เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและเป็นบทเรียนให้ทหารตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนมาแล้วครั้งหนึ่ง แน่นอนว่ายังมีขุนทหารบางคนมิได้ตระหนัก เพราะความฝักใฝ่อำนาจและการเมืองไม่เข้าใครออกใคร หรือบางทีอาจเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นก็เป็นได้ ซึ่งทุกวันนี้ผู้สมคบคิดในการประกอบสร้างทหารให้เป็นหุ่นไล่กาในเหตุการณ์วิปโยคในอดีตยังเป็นปริศนาที่รอวันพิสูจน์

ตราบใดที่ทหารยังมีท่าทีเหมือนเดิมคือ ลับ ลวง พราง ตราบนั้นข่าวลือที่ไม่เป็นคุณต่อประชาธิปไตยย่อมถูกผลิตซ้ำออกมาเรื่อยๆ แน่นอนว่าจะมีคนส่วนหนึ่งเห็นดีเห็นงามกับปฏิวัติรัฐประหารเสมอ แต่สำหรับประชาชนหรือภาคธุรกิจแล้ว เป็นที่ชัดเจนว่าสุญญากาศของความเป็นประชาธิปไตย ย่อมทำลายสภาพเศรษฐกิจระดับครัวเรือนของพวกเขา แน่ไปกว่านั้น บรรดาหญ้าแพรกก็จงแหลกราญต่อๆไป ในเมื่อเกิดเป็นหญ้าไม่ใช่คน เช่นเดียวกับทหารที่เป็นหุ่น เหตุการณ์เวียนซ้ำทำนองนี้เป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับคนไทยทั้งประเทศด้วยลมปากของคนไม่กี่คนแท้ๆ จะดีกว่าหรือไม่ถ้าทหารจะให้คำสัตย์ว่าจะไม่ทำรัฐประหาร ปัญหาคือถ้ากล้าให้คำสัตย์แล้วจะไม่คืนคำใช่หรือไม่?

เพราะทหารควรรู้ว่า ทหารต้องรักษาความเป็นคนที่มีเลือดเนื้อภายใต้เครื่องแบบของรัฐ ซึ่งคือความเป็นพ่อแม่พี่น้องกับประชาชนทั้งประเทศ ในฐานะผู้เสียสละตนปกป้องอธิปไตยของชาติอันเป็นบ้านของประชาชนทั้งปวง ไม่ใช่ต่อผู้บังคับบัญชาคนใดคนหนึ่งแต่ฝ่ายเดียว ทหารต้องรู้ว่า การเป็นหุ่นไล่กาในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่วิถีทางที่ยั่งยืนอีกต่อไป เพราะสิ่งที่ทำลายผลผลิตในนาข้าวไม่ได้มีเพียงแต่นกกาเท่านั้น แต่ยังมีแมลงศัตรูพืชและสัตว์เล็กๆ ในท้องนาอีกมาก ซึ่งเจ้าของนาควรเรียนรู้วิธีทำเกษตรแบบอินทรีย์โดยสร้างระบบให้มีการกำจัดศัตรูพืชที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แบ่งปันผลผลิตเล็กๆน้อยๆตามวัฏจักรธรรมชาติอย่างทั่วถึง ไม่ใช้สารเคมีเร่ง สรุป ขอให้ทหารคือทหาร และหุ่นไล่กาคือหุ่นไล่กา ซึ่งเป็นของคนละอย่างกัน ทดแทนกันไม่ได้ ขอเป็นกำลังใจให้กองทัพไทยหลุดพ้นจากตรรกะวิบัติของทุกฝ่าย

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net