ถ้าจะมีงานวิจัยเกี่ยวกับรัฐประหารที่น่าสนใจ งานวิจัยชื่อ “โครงสร้างอำนาจรัฐกับรัฐประหาร” (Government structure and military Coups) ที่ศึกษาวิจัยโดย Ruixue Jia แห่งมหาวิทยาลัยสต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน ร่วมกับ Pinghan Liang แห่งมหาวิทยาลัยการเงินและเศรษฐศาสตร์ เซ้าท์เวสต์เทิร์น (SWUFE) เมืองเฉินตู ประเทศจีน คืองานวิจัยนั้นเป็นงานวิจัยที่สามารถพิสูจน์ความจริงของกระบวนการรัฐประหารได้เป็นส่วนใหญ่และสามารถนำองค์ความรู้ใหม่ที่ได้นี้ไปต่อยอดเพื่อทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการรัฐประหารได้อีกหลายประเด็น
งานวิจัยชิ้นดังกล่าวได้ ได้ให้กำเนิดทฤษฎีเงื่อนไขและอุปสรรคของการทำรัฐประหาร ที่ชื่อว่า “โมเดลของ Jia กับ Liang” (2012) โดยผู้วิจัยทั้งคู่ระบุผลของการวิจัยว่า การรัฐประหารมีส่วนสัมพันธ์กับการกระจายอำนาจการเมืองการปกครอง (decentralization) อย่างมีนัยสำคัญ ข้อสรุปของผู้วิจัยทั้งคู่ คือ การรัฐประหารจะทำได้ยากขึ้นหากประเทศใดก็ตามมีลักษณะการบริหารจัดการการเมืองแบบกระจายอำนาจ ทั้งนี้ส่วนหนึ่งของงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการรวบรวมสถิติข้อมูลของการทำรัฐประหารทั่วโลกมาวิเคราะห์
อนุสนธิต่อเนื่องจากงานวิจัย“โมเดลของ Jia กับ Liang”อยู่ตรงที่สามารถนำโมเดลนี้ไปประยุกต์ใช้กับโครงสร้างและสถานการณ์ทางการเมืองของกลุ่มประเทศที่สุ่มเสี่ยงจากการทำรัฐประหารเนื่องจากมีประวัติศาสตร์ของการทำรัฐประหารบ่อยครั้ง และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในบรรดาประเทศเหล่านั้นด้วยสถิติที่ได้รับการยืนยันจากศูนย์สันติภาพ (CSP –The Center for Systemic Peace) ว่า ไทยติดอยู่ในอันดับ 4 ของโลก เพราะที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีการรัฐประหารเกิดขึ้นถึง 17 ครั้ง เป็นอันดับ 1 ในประเทศกลุ่มอาเซียน และติดอันดับสถิติการทำรัฐประหารมากครั้งในอันดับต้นๆของโลก
ในงานวิจัยของ Jia กับ Liang ให้ความหมายของคำว่า รัฐประหาร (coups) เหมือนที่นักรัฐศาสตร์ทั่วไปทรายกันว่า หมายถึง การใช้กําลังเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลโดยฉับพลัน โดยการใช้กำลังยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยการใช้กำลังดังกล่าวบางครั้งก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินเกิดขึ้นกับฝ่ายที่ลงมือปฏิวัติรัฐประหารและฝ่ายที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารหรือรัฐบาล นอกเหนือไปจากการสูญเสียทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรที่เป็นทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งก็คือทรัพย์สินของประชาชนหรือทรัพย์สินของแผ่นดินนั่นเอง
อีกนัยหนึ่ง รัฐประหารจึงหมายถึง การล้มล้างรัฐบาลผู้บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น โดยกลุ่มอภิชนระดับบน (elite) ที่ประกอบไปด้วยขุนทหาร และผู้ที่กุมอำนาจทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดยที่องคาพยพและโครงสร้างอื่นของประเทศในระดับล่างไม่เขยื้อนเลย หรือมีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
ในอีกแง่หนึ่ง รัฐประการมิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองของรัฐ และไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง หรือเกิดเหตุนองเลือดเสมอไป เช่น หากกลุ่มทหาร “สร้างข้ออ้าง”ขึ้นมาว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง บริหารประเทศชาติผิดพลาด และจำเป็นต้องบังคับให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจ จึงใช้กำลังบังคับให้ออกจากตำแหน่ง โดยประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ลักษณะนี้ก็เรียกได้ว่า เป็นการก่อรัฐประหาร (ในประเทศไทยมีการพูดถึงรัฐประหารโดยองค์กรอิสระ เป็นเรื่องใหม่หรือไม่น่าลองพิจารณาดู)
ในวิชาการพัฒนาการเมือง ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในวิชาทางรัฐศาสตร์ถือว่าการรัฐประหาร มิใช่วิธีทางของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และถือเป็นความเสื่อมทางการเมือง (political decay) อย่างหนึ่ง โดยหากความพยายามในการก่อรัฐประหาร ไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ก่อการมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ
ส่วนคำอีกคำหนึ่งที่คนไทยนิยมพูดกัน คือ ปฏิวัติ (revolution) นั้น มีความหมายในเชิงของการเปลี่ยนแปลงการปกครองทำนองถอนรากถอนโคน ซึ่งสำหรับประเทศไทย “มีความหมายใกล้เคียงการปฏิวัติ” คือ การปฏิวัติในปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย ที่กระทำการโดยคณะราษฎร ซึ่งจากความหมายของการปฏิวัติดังกล่าวทำให้ประเทศไทยมีการปฏิวัติเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นอกนั้น คือ การทำรัฐประหารล้วนๆ
อย่างที่บอกครับ “โมเดลของ Jia & Liang” ให้ประโยชน์ในแง่การวิเคราะห์เชิงปัจจัยและความเสี่ยงของการทำรัฐประหารในทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย แม้ว่าผู้วิจัยจะมีกรอบการวิจัย เป็นประเทศที่มีรัฐบาลกลางกับรัฐบาลท้องถิ่นก็ตาม แต่กรอบดังกล่าวก็ยังสามารถนำมาเปรียบเทียบกับการปกครองส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคหรือส่วนท้องถิ่นได้อยู่ดี เช่น หากเปรียบเทียบกรณีของประเทศไทยก็เหมือนส่วนกลาง คือ รัฐบาลเมืองหลวง กับส่วนต่างจังหวัด ที่มีรูปแบบการกระจายอำนาจด้วยระบบการปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างเช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล เป็นต้น
การตีความในทำนองนี้ ทำให้ “โมเดลของ Jia & Liang” สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น เพราะรัฐประหารนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลกก็ตามผู้กระทำการรัฐประการมีเป้าหมายและพฤติกรรมที่เหมือนกัน ต่างกันเพียงรายละเอียดเท่านั้น ซึ่งจากผลพวงของโมเดลนี้ผมขอขยายผลอย่างนี้นะครับ
1. การรัฐประหารเป็นปฏิภาคหรือขัดแย้งกับการกระจายอำนาจของประเทศนั้นๆ คือ โครงสร้างการเมืองการปกครองมีการกระจายอำนาจออกไปจากส่วนกลางมากเท่าใดก็จะยิ่งทำให้ความพยายามทำรัฐประหารและการควบคุมรัฐ (ในกรณีที่รัฐประหารรัฐบาลกลางเป็นผลสำเร็จ) ประสบผลน้อยลงมากเท่านั้น เนื่องจากแม้คณะผู้รัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลในส่วนกลางได้แล้ว แต่ไม่สามารถยึดอำนาจในส่วนภูมิภาคได้สำเร็จ ทั้งหมด หากองค์กรส่วนท้องถิ่น (ภูมิภาค) ทั้งภาคราชการ เอกชน และประชาชนมีปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยและต้านการทำรัฐประหารนั้น
2. ในยุคโลกาภิวัตน์ ที่เครือข่ายการสื่อสารเชื่อมโยงกันอย่างถึงที่สุดจนแทบจะไม่มี “พื้นที่ใต้ดิน”ให้เล่นอยู่แล้วนั้น การเคลื่อนไหว การแสดงออก ซึ่งปฏิกิริยาทางการเมืองสามารถทำได้แทบทุกพื้นที่โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นการยึดกุมอำนาจในพื้นที่เมืองหลวงเท่านั้น หากสามารถทำได้ในพื้นที่ภูมิภาคที่มีความเหมาะสม ขึ้นอยู่กับการกำหนดยุทธศาสตร์ในการต่อต้านการรัฐประหารของรัฐบาลที่ถูกรัฐประหาร (รัฐบาลที่โดนโค่น) องค์กรและประชาชนในภูมิภาค
3. กระบวนการประชาธิปไตย (เสียงส่วนใหญ่) มีความสำคัญต่อการรัฐประหาร หมายถึง การให้การสนับสนุนคณะรัฐประหารของประชาชนส่วนใหญ่เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในการทำรัฐประหาร นั่นก็คือปัญหาว่า เมื่อทำรัฐประหารสำเร็จแล้วรัฐบาลใหม่จะดำรงอยู่ในอำนาจรัฐได้ยาวนานหรือไม่เกิดความวุ่นวายได้อย่างไร ขณะที่การรวบอำนาจของคณะผู้ทำรัฐประหารแบบเดิมๆที่สามารถทำได้ง่ายดายโดยระบบการปกครองแบบรวบอำนาจเหมาหมดทั้งประเทศ คือ การควบคุมอำนาจขององค์กรรัฐ องค์กรเอกชน และประชาชนทั้งประเทศได้ยากขึ้น ระบบการกระจายอำนาจทำให้เมืองหลวงไม่ได้เป็นศูนย์กลางการปกครองในทางพฤติกรรม (การกระทำ) อีกต่อไป หากเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น
4. หากมีการกระจายความเจริญออกไปยังส่วนภูมิภาคมากขึ้น ด้วยการทำให้หัวเมืองสำคัญ (กรณีของประเทศไทย คือ จังหวัดสำคัญด้านเศรษฐกิจ) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจเหมือนกับเมืองหลวง ผลก็คือ จะทำให้การทำรัฐประหารยากขึ้น เพราะแม้คณะรัฐประหารใช้กองกำลังหรือกองทัพควบคุมเมืองหลวงได้ แต่อาจไม่สามารถควบคุมเมืองใหญ่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานเช่นเดียวกับเมืองหลวงในภูมิภาคได้ง่ายเหมือนเดิม ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความยินยอมพร้อมใจขององค์กรรัฐ องค์กรเอกชน และประชาชนในภูมิภาคด้วยว่าจะตัดสินใจอย่างไร เช่น มีการเจรจาหรือไม่เจรจากับคณะรัฐประหาร (กรณีที่รัฐประหารสำเร็จ) ซึ่งหากเลือกในประเด็นหลัง คือ ไม่เจรจา ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดสงครามกลางเมืองและความขัดแย้งด้านอื่นตามมามากมาย
5. จากผลการกระจายอำนาจและโลกาภิวัตน์ (ปกติโลกาภิวัตน์ส่งผลต่อการกระจายอำนาจในตัวอยู่แล้ว) รวมถึงผลจากความขัดแย้งของการทำรัฐประหารที่ไม่เหมือนกับผลของความขัดแย้งกับชาติอื่น (โดยเหตุที่การทำรัฐประหารเป็นการแย่งอำนาจของคนในชาติเดียวกัน) จึงส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้ ระบบรักษาความปลอดภัยอาจล้มเหลวจนคณะรัฐประหาร แม้กระทำสำเร็จแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมได้
6. การยึดเมืองหลวงสำเร็จไม่ได้หมายความว่า การรัฐประหารจะประสบผลสำเร็จสามารถมีชัยเหนือรัฐบาลได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพราะการกระจายอำนาจส่งผลให้ภูมิภาคสามารถกลายเป็นฐานการต่อสู้ของรัฐบาล กับคณะรัฐประหาร
Jia กับ Liang สรุปว่า การกระจายอำนาจ (ซึ่งแน่นอนว่าต้องกระจายความเจริญควบคู่ไปด้วย) ไปยังประชาชนในภูมิภาคหรือท้องถิ่นมีผลต่อความสำเร็จในการทำรัฐประหารของแต่ละประเทศอย่างมีนัยสำคัญ.