Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

คำกล่าวที่ว่า “มีปัญหาอะไรให้ไปเสนอที่ สปช.”  เป็นคำกล่าวที่หัวหน้า คสช. ใช้บ่อย ๆ ในการออกโทรทัศน์  วิทยุ  สิ่งพิมพ์  ฯลฯ  รวมทั้งทหารภายใต้ คสช.  ที่ใช้พูดบีบบังคับประชาชนที่ถูกเรียกรายงานตัวให้หยุดเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ที่ไม่ถูกใจหรือเห็นต่างต่อ คสช.  ช่างเป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอยอย่างยิ่ง  เพราะลำพัง สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ องค์กรหนึ่งที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 (‘รัฐธรรมนูญชั่วคราว’)  มีหน้าที่เพียงแค่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปด้านต่าง ๆ  ซึ่งข้อเสนอแนะนั้นจะถูกนำไปปฏิบัติใช้หรือไม่ก็ไม่มีหลักประกันหรือบทบัญญัติใดในรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ต้องกระทำหรือปฏิบัติตาม

และในรัฐธรรมนูญชั่วคราวแทบไม่มีกลไกที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่องทางของประชาชนที่จะเสนอความเห็นไปที่ สปช. เลย  ยกเว้นมาตรา 34 ที่บัญญัติให้นำความเห็นของประชาชนร่วมกับความเห็นของ สปช.  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)  คณะรัฐมนตรี (ครม.)  และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)  มาประกอบการพิจารณาในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ  ซึ่งเป็นความเห็นอันเบาบางของประชาชนท่ามกลางองค์กรที่มีพลังอำนาจในการแสดงความเห็นและบังคับให้ความเห็นขององค์กรตนถูกบรรจุไว้ในร่างรัฐธรรมนูญมากกว่า

ในส่วนการเสนอความเห็นอื่น ๆ ของประชาชนที่รัฐธรรมนูญไม่สามารถลงรายละเอียดได้  หรือเป็นปัญหาเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วน  อาทิเช่น  ปัญหาปากท้อง  การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ  การว่างงาน  ความยากจน  การเรียกร้องคัดค้านนโยบาย  แผนงานและโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชนที่กระทบต่อวิถีชีวิตประชาชนและชุมชนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพ  เป็นต้น  ไม่มีกลไกใดในรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่บัญญัติให้ สปช. ต้องกระทำหรือรับความเห็นและข้อร้องเรียนของประชาชนแต่อย่างใด 

การที่ สปช.  รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชน  ภาคประชาสังคม  องค์กรอิสระ  ส่วนราชการ  สื่อมวลชน  ฯลฯ  ที่คาดหวังกับบทบาทหน้าที่ของ สปช. (หรือบางองค์กร/หน่วยงานอาจจะรู้อยู่แล้วด้วยซ้ำว่าบทบาทหน้าที่ของ สปช. ไม่สามารถตอบสนองต่อความเห็น  ข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะของประชาชนได้)  ได้กระทำการจัดเวทีและกระบวนการรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนในภูมิภาคต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้ก็ไม่มีหลักประกันใด ๆ ว่าความคิดเห็นของประชาชนจะถูกนำเอาไปใช้ในการปฏิรูปบ้านเมืองภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวบัญญัติไว้ได้หรือไม่    

แม้ว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญชั่วคราวจะให้ สปช. มีอำนาจหน้าที่หลายด้านก็ตาม  โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ  และเสนอแนะหรือให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ  แต่ด้านที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยคำกล่าวที่ว่า “(ประชาชน) มีปัญหาอะไรให้ไปเสนอที่ สปช.”  เป็นด้านที่เลื่อนลอยและหลอกลวง


รัฐธรรมนูญชั่วคราวรับรองการใช้อำนาจของกฎอัยการศึกและ คสช.

รัฐธรรมนูญชั่วคราวได้แบ่งแยกการใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ  บริหารและตุลาการไว้โดยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  คณะรัฐมนตรี  และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  ขึ้นมารองรับ  นอกจากนั้นยังสร้างองค์กรชั่วคราวขึ้นมาเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ  คือ สปช.  และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ  ดังนั้นแล้ว  รัฐธรรมนูญชั่วคราวน่าจะเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศได้  แต่บ้านเมืองเรากลับตกอยู่ในสภาวะที่การใช้อำนาจภายใต้กฎอัยการศึกเป็นความชอบธรรมที่ถูกรองรับโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราว  เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวสร้างปัญหาในตัวมันเอง  กล่าวคือ  บทบัญญัติมาตรา 44  ได้รับรองการใช้อำนาจของกฎอัยการศึกและ คสช. ที่ยังสามารถคงสถานะอยู่ได้หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ดังนี้

“ในกรณีที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเห็นเป็นการจําเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ  การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ  หรือเพื่อป้องกัน  ระงับ  หรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ  ราชบัลลังก์  เศรษฐกิจของประเทศ  หรือราชการแผ่นดิน  ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักรให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีอํานาจสั่งการ  ระงับยับยั้ง  หรือกระทําการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทําน้ันจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ  ในทางบริหาร  หรือในทางตุลาการ  และให้ถือว่าคําสั่งหรือการกระทํา  รวมท้ังการปฏิบัติตามคําส่ังดังกล่าว  เป็นคําสั่ง  หรือการกระทํา  หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด  ทั้งน้ี เมื่อได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว”

แม้หลังจากที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวประกาศใช้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557  เรายังคงเห็นประชาชนจำนวนมากที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องหรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ ที่ไม่ถูกใจหรือเห็นต่างต่อ คสช. ถูกเรียกไปรายงานตัวภายใต้บังคับของกฎอัยการศึกที่รัฐธรรมนูญชั่วคราวรองรับ


คำถามต่อภาคประชาชน

ในขณะที่ประชาชนถูกยัดเยียดให้เสนอปัญหาไปที่ สปช. เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรา 27 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว  แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ คือ ครม. และ สนช. กลับสวนทางและไม่รอการปฏิรูป  ด้วยการมีมติ ครม. และเร่งรัดออกกฎหมายเพื่อผลักดันโครงการ แผนงานและนโยบายต่าง ๆ มากมายที่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนและชุมชนทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพ  คำถามต่อภาคประชาชนจึงมี ดังนี้

1. เรากำลังปฏิรูปอะไรภายใต้การเร่งรัดให้มีมติ ครม.  และออกกฎหมายเพื่อผลักดันโครงการ  แผนงานและนโยบายต่าง ๆ ที่สวนทางและไม่รอการปฏิรูปที่วางเป้าหมายจะขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2. เราไม่รู้หรือเราแกล้งไม่รู้ว่าโครงสร้างอำนาจรัฐที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่เอื้อให้เกิดการปฏิรูป  เพราะไม่มีกลไกหรือช่องทางใดที่รับฟังปัญหา ความเห็นและข้อเสนอของประชาชนอย่างแท้จริง

3. เราควรต้องรู้หรือไม่ว่า  “เราไม่อาจแยก สปช. หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ  องค์กรที่เกิดจากผลพวงรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557  ออกจากสมัชชาปฏิรูปและคณะกรรมการปฏิรูปที่รัฐบาลอภิสิทธิ์แต่งตั้งขึ้นหลังประชาชนถูกฆ่าตายกลางกรุงเทพฯ เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้หรอก”  และใครกันที่ได้ประโยชน์จากการปฏิรูปครั้งนั้นจนมาถึงครั้งนี้  ซึ่งเป็นบุคคล/กลุ่มบุคคลที่สิงสถิตย์อยู่ในองค์กรอิสระ  องค์กรพัฒนาเอกชน  ภาคประชาสังคม  สื่อมวลชนและองค์กรตระกูล ส. ต่าง ๆ  ที่เกลียดกลัวการเลือกตั้งและการเติบโตของพลังประชาชนที่เป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเอง  แต่เลือดเย็นต่อความตายของประชาชนกลางถนน

     
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net