Skip to main content
sharethis

เปิดอีกมุมหนึ่งของความไม่เป็นธรรมจากนโยบายทวงคืนผืนป่า เมื่อ 'นิตยา ม่วงกลาง' แกนนำหญิงนักต่อสู้สิทธิที่ดินทำกิน และเพื่อนบ้านรวม 14 ราย ถูกดำเนินคดีบุกรุกป่า เจ้าตัวยันพร้อมสู้เพื่อความบริสุทธิ์ใจ แม้ผลจะออกมาอย่างไร

 นิตยา ม่วงกลาง หรือ กบ อายุ 34 ปี สมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน(คปอ.)

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 09.00 น. นิตยา ม่วงกลาง หรือ กบ อายุ 34 ปี เดินทางมายังศาลจังหวัดชัยภูมิ ตามศาลนัดสืบพยานจำเลย ในคดีที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรทอง แจ้งความฐานความผิดบุกรุกป่า

ประมาณ 18.30 น.ภายหลังจาก นิตยา ลงมาจากชั้น 3 ห้องพิจารณาคดีที่ 1 เธอบอกว่า แม้จะรู้สึกเหมือนถูกกดดันในการสืบพยานจำเลยอย่างมาก เนื่องจากคดีของเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากนโยบายทวงคืนผืนป่า และที่ผ่านมาครอบครัวก็ถูกข่มขู่มาตลอด อีกทั้งยังถูกหว่านล้อมให้ยอมรับสารภาพ

อย่างไรก็ตาม นิตยา บอกอีกว่า แม้ผลการสืบพยานจำเลยในครั้งนี้จะออกมาอย่างไรก็ตาม เธอพร้อมที่จะสู้ในขั้นต่อไปเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ในที่ดินทำกินของตนเองและครอบครัว รวมทั้งของเพื่อนบ้านและสมาชิก

สำหรับการลุกขึ้นมาเป็นแกนนำของนิตยานั้น เริ่มจากช่วงปี 2549 หลังจากโรงงานเย็บผ้าที่เธอเคยทำอยู่ที่กรุงเทพฯ ล้มละลาย นิตยาจึงเดินทางกลับมายังบ้านเกิดที่บ้านซับหวาย ต.ห้วยแย้ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ โดยยึดอาชีพเกษตรกร ทำไร่มันสำปะหลัง ซึ่งผู้เป็นแม่มอบที่ดินทำกินให้กับนิตยาและน้องสาวอีก 2 คนๆ ละ 10 ไร่

ต่อมาในวันที่ 10 เม.ย.58 ช่วงที่เธอกับน้องสาวอีก 2 คนไม่อยู่ เจ้าหน้าที่ป่าไม้อุทยานแห่งชาติไทรทอง จำนวน 25 คน เข้ามาหาแม่ของเธอ พร้อมบอกว่าครอบครัวทำผิดกฎหมายบุกรุกพื้นที่ป่า โดยให้เซ็นต์เอกสารยินยอมคืนพื้นที่ตามนโยบายทวงคืนผืนป่า

เจ้าหน้าที่บอกให้แม่ของนิตยาเซ็นต์แทนให้เธอและน้องสาวด้วย แม้แม่ของนิตยาขอให้รอเจ้าตัวมาเซ็นต์เอง แต่ได้รับการปฎิเสธ พร้อมกับข่มขู่ว่าหากไม่เซ็นต์จะถูกจับกุม ดำเนินคดี และจะไม่ให้เก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง แม่ของนิตยาจึงเซ็นต์ด้วยความจำยอม

ต่อมานิตยาได้ทราบเรื่องราว จึงได้หันมาต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในสิทธิที่ดินทำกิน ด้วยเกรงว่าในอนาคตของครอบครัวรวมทั้งเพื่อนบ้านจะไม่มีที่ดินทำกิน เหตุเพราะเพื่อนบ้านของเธอก็ถูกข่มขู่ให้ยินยอมเซ็นต์เอกสารหลายราย ในลักษณะเดียวกัน

นิตยา เข้ามาเป็นแกนนำ ด้วยการเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่ายปฎิรูปที่ดินภาคอีสาน(คปอ.)โดยครั้งแรกที่เริ่มเคลื่อนไหว คือในวันที่ 8 มี.ค.59 ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนทั่วประเทศในนามขบวนการประชาชนเพื่สังคมที่เป็นธรรม(พีมูฟ) เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสำนักงานสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีและร่วมเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาทางนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กระทั่งเมื่อวันที่ 18 ก.ค.59 นิตยาและแม่ รวมทั้งน้องสาว รวม 4 คน ได้รับหมายเรียกให้เข้าพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรวังตะเฆ่ อ.หนองบัวระเหว จ.ชัยภูมิ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง แจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ 2507 และ พ.ร.บ.อุทยานฯ 2504

ต่อมานับจากจากนั้นเพื่อนบ้านของเธอก็ถูกแจ้งหาเพิ่มอีก รวมจำนวนทั้งหมด 14 ราย

ช่วงระหว่างวันที่ 2 - 12 พ.ค.61 ในขณะที่ พีมูฟ ชุมนุมปักหลักอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหากับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งทางเพื่อนบ้านสมาชิกของเธอก็เข้ามาร่วมชุมนุมด้วย

ในขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงที่เพื่อนบ้านของเธอต้องเดินทางไปยังศาลจังหวัดชัยภูมิ เพื่อสืบพยานโจทก์และจำเลย ตามศาลนัดนับแต่วันที่ 3 พ.ค.- ถึงเดือน มิ.ย.61 ขณะนี้ ศาลได้นัดสืบพยานจำเลยไปแล้ว 4 ปาก โดยในวันที่ 23 พ ค.ที่ผ่านมา นิตยา ศาลจังหวัดชัยภูมินัดสืบพยานจำเลยเป็นคนที่ 5

นิตยา ในฐานะที่เธอเป็นแกนนำ ย่อมถูกกดดันอย่างมากเพื่อให้ยอมรับสารภาพ เพราะหากยอมรับแล้ว เป็นไปได้ว่าเพื่อนบ้านของเธออีกจำนวน 9 ปาก ย่อมเกิดการเสียขวัญและกำลังใจ เธอพร้อมกับทุกคนยืนยันว่า จะสู้เพื่อความบริสุทธิ์ใจจากการไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะสิ้นสุดลงในชั้นใดก็ตาม

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net