Skip to main content
sharethis

ในช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนักทั่วโลกระลอกแรก หลายประเทศวางมาตรการป้องกันการระบาดในรูปแบบต่างๆ แต่ที่สวีเดนซึ่งไม่ใช้วิธีล็อกดาวน์แต่ทดลองเพื่อให้เกิด herd immunity หรือภูมิคุ้มกันกลุ่มก้อนในหมู่ประชากร อย่างไรก็ตามทางการสวีเดนระบุมีประชากรเกิดภูมิต้านทานเพียง 6.1% ขณะที่มีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 พันราย แต่ก็มีชาวสวีเดนบางส่วนเห็นว่าการไม่ล็อกดาวน์ก็ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า

เต็นท์โรงพยาบาลสนาม ตั้งอยู่ภายนอกโรงพยาบาลเมือง Visby บนเกาะ Gotland ประเทศสวีเดน ภาพถ่ายเมื่อ 14 มีนาคม 2020 (ที่มา: VisbyStar/Wikipedia)

เมื่อไม่นานนี้สื่อหลายแห่งรายงานเกี่ยวกับผลพวงที่เกิดขึ้นในสวีเดนหลังจากที่ไม่มีมาตรการจริงจังในการควบคุม COVID-19 โดยที่ก่อนหน้านีทางการสวีเดนเคยคาดหวังว่าจะใช้วิธีการปล่อยให้ประชากรเกิดภูมิคุ้มกันขึ้นเองเป็นกลุ่มก้อนในแบบที่เรียกว่า herd immunity โดยแนวทางนี้เชื่อว่าถ้าหากมีประชากรในชุมชนจำนวนมากพัฒนาภูมิคุ้มกันได้ไม่ว่าจะหลังจากได้รับเชื้อโรคใหม่จนร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต้านทานโรคสำเร็จ ก็จะสามารถสกัดกั้นไม่แพร่กระจายโรคต่อไปอีกได้ จนทำให้การระบาดลดลงเอง

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าโรคต่างๆ ก่อนหน้านี้มีบางโรคที่สามารถใช้วิธีการแบบ herd immunity เป็นผลสำเร็จจนสามารถแก้ปัญหาได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับ COVID-19 นี้กลับให้ผลต่างกันออกไป โดยสวีเดนเพิ่งจะนำเสนอผลการวิจัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่ามีประชากรเพียงร้อยละ 6.1 เท่านั้นที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้เองแบบ herd immunity จากการวัดผลจนถึงช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคม ซึ่งต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของหน่วยงานสาธารณสุขสวีเดน

ประเทศสวีเดนไม่ได้ดำเนินมาตรการล็อกดาวน์แบบเข้มงวดในการระบาดหนักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยยังคงอนุญาตให้มีการเปิดโรงเรียน ร้านอาหาร และบาร์ต่อไปได้ ส่วนประชาชนสามารถทำการวางระยะห่างทางสังคมกันเอง

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขของสวีเดนเปิดเผยว่าตัวเลขผู้สร้าง herd immunity เองได้ไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ สาเหตุที่พวกเขาต้องการใช้ herd immunity เช่นนี้เพราะมองว่ามันเป็นการป้องกันการระบาดในระลอกที่ 2 ได้ดีและจะไม่ทำให้คนทำงานสาธารณสุขต้องรับศึกหนักเกินไป


Herd Immunity คืออะไร?

Herd Immunity นั้นจะใช้หยุดยั้งการระบาดได้ต้องอาศัยให้คนจำนวนมากในชุมชนกลายเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคติดต่อ เพราะเมื่อคนมีภูมิคุ้มกันจนไม่เป็นโรคแล้วก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อต่อได้ห่วงโซ่ของการระบาดก็จะขาดช่วงไปเอง ซึ่งกับบางโรคการกระตุ้นภูมิคุ้มกันนี้ก็ทำได้ด้วยการให้วัคซีน แต่สำหรับในกรณี COVID-19 นี้ยังไม่มีวัคซีน จึงกลายเป็นว่าต้องเสี่ยงให้ร่างกายของคนที่ติดเชื้อสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้เอง ซึ่งเรื่องนี้เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ากลายเป็นการละเลยคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ร่างกายมนุษย์เรานั้นจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่คอยทำงานต่อสู้ป้องกันเชื้อโรคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเชื้อโรคใหม่ร่างกายจะยังไม่รู้จัก ทำให้ในบางกรณีมีการใช้วัคซีนซึ่งก็คือชีววัตถุที่มาจากเชื้อโรคซึ่งถูกทำให้อ่อนแรงมากหรือเป็นเชื้อที่ตายแล้วนำเข้าไปในร่างกายคนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายคนรู้จักเชื้อโรคนั้นๆ จะได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคนั้นขึ้นมาได้

ก่อนหน้านี้เคยมีวิธีการใช้ herd immunity แบบวัคซีนที่ประสบความสำเร็จคือโรคหัดซึ่งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับประชากรได้ราวร้อยละ 95 สำหรับตัวอย่างของ herd immunity แบบไม่ใช้วัคซีนแต่มาจากร่างกายได้รับโรคเองคือโรคอีสุกอีใสซึ่งคนที่เป็นโรคนี้แล้วส่วนใหญ่จะไม่กลับมาเป็นซ้ำเพราะร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้ว

อย่างไรก็ตามสื่อ healthline แนะนำว่าในกรณีของไวรัส SARS-CoV-2 ที่ทำให้เกิดโรค COVID-19 นั้นยังไม่มีวัคซีนและยังมีการวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโรคนี้ในหลายๆ ด้านที่ยังไม่ได้รับข้อสรุปรวมถึงการที่ผู้คนตอบสนองต่อโรคในระดับที่ต่างกันบ้างก็ป่วยหนัก บ้างก็ป่วยเล็กน้อยหรือไม่ป่วยเลย ทำให้ต่างจากโรคที่มีอาการเบา ดังนั้น การล้างมือ สร้างระยะห่าง และดำเนินหลักสุขอนามัยจึงยังเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดอยู่ การใช้วิธี herd immunity แบบไร้วัคซีนจึงมีความเสี่ยงสูงและในกรณีของสวีเดนนั้นกลายเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างหนัก และการทดลองให้คนติดเชื้อเองจำนวนมากก็ไม่ได้ส่งผลให้เกิด herd immunity มากเท่าที่คาดการณ์ไว้


แต่ก็ไม่ได้ล้มเหลวเสียทีเดียว?

แอนเดอร์ส เทกเนลล์ (ซ้าย) ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อ 20 เมษายน 2020 (ที่มา: Wikipedia/Frankie Fouganthin)

ในมุมมองของ แอนเดอร์ส เทกเนลล์ หัวหน้านักระบาดวิทยาของกระทรวงสาธารณสุขสวีเดน เขามองว่าการพยายามสร้าง Herd Immunity ในสวีเดนไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากมีคนสร้างภูมิต้านทานน้อยกว่าที่คิดมาก และจำนวนร้อยละ 6.1 ก็ไม่มากพอที่จะทำให้เกิด herd immunity ในระดับที่จะยับยั้งโรคได้ แต่เทกเนลล์ก็บอกว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่า herd immunity จะถึงขั้นล้มเหลวเสียทีเดียว เพราะจำนวนผู้มี herd immunity ก็ไม่ได้ต่ำเกินไป จากที่กลุ่มประชากรมีการอัตราส่วนผลิตภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่างกัน ในบางกลุ่มอาจจะแค่ร้อยละ 4-5 แต่ในบางกลุ่มมี herd immunity ในระดับร้อยละ 20 หรือ 25

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือ ประเทศสวีเดนมีอัตราการเสียชีวิตจาก COVID-19 มากถึง 5,000 ราย จากการตั้งข้อสังเกตของสื่อระบุว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าประเทศแถบสแกนดิเนเวียอื่นๆ ทีมีมาตรการป้องกัน

ชาวสวีเดนรู้สึกอย่างไรบ้าง

ไฟแนนเชียลไทม์นำเสนอว่า ในแง่วิถีชีวิตของชาวสวีเดนแล้ว มีทั้งด้านที่สูญเสียน่าเศร้าใจ และด้านที่ผู้คนยังใช้ชีวิตปกติภายใต้สภาพสังคมที่ทุกอย่างขับเคลื่อนไปตามเดิมโดยที่อาจจะมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย

มีการยกตัวอย่างกรณีของสถานพักพิงคนชรา Gerashus ในสวีเดนที่มีคนเสียชีวิตไปมากกว่า 1 ใน 4 ตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และในช่วงการระบาดสูงสุดมีคนทำงานถึง 2 ใน 3 ต้องลางาน ขณะเดียวกันผู้คนก็ยังคงใช้บริการขนส่งสาธารณะที่มีคนจำนวนมาก มีนักเรียนไปโรงเรียน มีคนจับจ่ายซื้อของตามวิถีชีวิตของตัวเองต่อไป ไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัย แต่คนก็พยายามยืนอยู่ห่างกันประมาณ 1 เมตร มีผู้สูงอายุวัย 58 ปี ที่ทำงานหน้าเคานเตอร์รายหนึ่งชื่อเอเดรียนเล่าว่า ชีวิตของพวกเขาก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครคิดอะไรมากเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส

แต่นักบวชอีกรายหนึ่งที่สังเกตเห็นว่าเขาต้องดำเนินพิธีกรรมจัดงานศพเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็บอกว่า "พวกเราเปิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีชีวิตปกติ" มีคนมาเข้าร่วมพิธีที่โบสถ์ของเขาน้อยลงมากถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา

ถึงแม้ว่าสภาพชีวิตจะเป็นไปตามปกติไม่มีการล็อกดาวน์เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในแถบสแกนดิเนเวียอย่าง นอร์เวย์, เดนมาร์ก และฟินแลนด์ แต่สวีเดนก็ยังคงมีการปิดด่านจนถึงตอนนี้ ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการล็อกดาวน์ตอนนี้เริ่มเปิดด่านให้สัญจรข้ามไปมาระหว่างกันและกันได้แล้ว

สำหรับชาวสวีเดนเองมีความรู้สึกผสมผสานกันในเรื่องนี้ พวกเขามองว่าการให้เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กที่มีอายุถึง 16 ปี ยังเป็นความคิดที่ดี แต่สิ่งที่พวกเขามองว่าแย่คือการไม่สามารถคุ้มครองสถานที่ๆ มีคนเสี่ยงเสียชีวิตจากโรคอย่างสถานพักพิงคนชราได้ นอกจากนี้ชาวสวีเดนยังรู้สึกมั่นใจจากการที่กลุ่มผู้ตอบสนองต่อวิกฤตในครั้งนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขไม่ใช่นักการเมือง ส่งผลให้รู้สึกว่าประเทศของพวกเขาโต้ตอบสถานการณ์ "อย่างเป็นเหตุเป็นผล" กว่า เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่พวกเขามองว่า "ใช้อารมณ์ความรู้สึก"

แต่ผลพวงจากเรื่องนี้ที่มีคนเสียชีวิตจำนวนมากในสวีเดนก็ทำให้เกิดเสียวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ทางการในสวีเดนเองรวมถึงหัวหน้าฝ่ายระบาดวิทยาอย่าง เทกเนลล์ มีฝ่ายค้านของสวีเดนที่มองว่าการที่ประเทศสวีเดนอยู่อย่างสงบสุขมาตลอด 200 ปีผ่านการวางตัวเป็นกลางทำให้มีปฏิกิริยาโต้ตอบปัญหาโรคระบาดครั้งนี้ช้าเกินไปโดยพยายามซ่อนมันในภาพลักษณ์ของประเทศที่ดูสุขุม

ถึงจะมีกระแสต่อต้านบ้างแต่ก็มีคนเห็นวิธีการแบบของรัฐบาลสวีเดนมีแง่ดี ตรงที่มันไม่ได้ทำให้เด็กอายุ 16 ปีลงไปที่มีสถิติป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคนี้ต่ำมากยังคงไปโรงเรีนและเล่นกับเพื่อนได้ และการใช้วิธีการนี้ก็ยังคงทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้โดยที่คนไม่ต้องเจ็บปวดหรือฆ่าตัวตายเพราะเศรษฐกิจพังหรือจิตใจย่ำแย่เพราะถูกโดดเดี่ยวทางสังคม

เรียบเรียงจาก

Sweden's 'herd immunity' hopes are fading as only a small fraction of the population has coronavirus antibodies, Business Insider, 21-06-2020

Coronavirus: Sweden starts to debate its public health experiment, Financial Times, 22-06-2020

What Is Herd Immunity and Could It Help Prevent COVID-19?, Healthline, 02-04-2020

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Vaccine

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net