สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า และเครือข่ายภาคประชาสังคมร่วมกันยื่นแถลงการณ์คัดค้านการนำเข้าขยะพลาสติกและขยะพิษเข้ามารีไซเคิลในประเทศไทย เหตุกระทบสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะในประเทศจนกระทบอาชีพซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าจนต้องเลิกกิจการ
10 ก.ย.2563 ทวิตเตอร์ของกรีนพีซ ประเทศไทย ทวีตรายงานว่า สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า และเครือข่ายภาคประชาสังคมยื่นหนังสือถึงกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เพื่อเรียกร้องให้ควบคุมการนำเข้าขยะพลาสติกและแก้ไขปัญหาลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะปนเปื้อนหลังจีนประกาศห้ามนำเข้าขยะเข้าประเทศจนไหลทะลักไปประเทศอื่นซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งในประเทศปลายทางของขยะเหล่านี้ การยื่นหนังสือครั้งนี้มี นิศากร งิ้วจิตร หัวหน้าสำนักงานนายกรัฐมนตรีเป็นตัวแทนรับเรื่อง
ในหนังสือที่ยื่นระบุเหตุผลว่าขยะเหล่านี้เข้ามาในไทยมากถึง 552,912 ตัน ในปี 2561 มากขึ้นถึง 8 เท่าจากเมื่อปี 2559 ที่มีเข้ามาเพียง 69,500 ตัน ทำให้คณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างเป็นระบบ มีมติให้ยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกภายใน 2 ปี โดยมีช่วงผ่อนผันได้กำหนดโควตาให้ยังนำเข้าได้และจะให้ยุติการนำเข้าในปีที่สาม ซึ่งจะครบกำหนดภายใน 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้
ทั้งนี้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมได้พยายามขอนำเข้าเศษพลาสติกต่อไปโดยให้เหตุผลว่า วัตถุดิบที่มีภายในประเทศไม่เพียงพอและคุณภาพต่ำจึงต้องการนำเข้าอีก 6.5 แสนตันในปี 2564 คณะกรรมการจึงให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้ กรอ. ไปสำรวจความต้องการของโรงงานและนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 กันยายนนี้
เครือข่ายภาคประชาสังคมมีความห่วงใยต่อประเด็นดังกล่าวจึงเรียกร้องให้คณะกรรมการยืนยันมติเดิม ของคณะอนุกรรมการฯ เมื่อปี 2561 ที่ “กำหนดให้ประเทศไทยยกเลิกการนำเข้าขยะหรือเศษพลาสติกและซากอิเล็กทรอนิกส์ 100% ภายในปี 2563” ด้วยเหตุผลและข้อเสนอต่อไปนี้
1. ผู้นำเข้าควรมีการปรับตัวหรือปรับแผนธุรกิจเพื่อลดการนำเข้าและเพิ่มสัดส่วนการใช้เศษพลาสติกในประเทศให้มากขึ้น หากรัฐบาลเปลี่ยนเป้าหมายจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและจะกระทบกับเป้าหมายตาม Roadmap
2. คณะอนุกรรมการฯ ควรให้มีการสำรวจโดยอ้างอิงจากสถิติในอดีต เพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการแจ้งความต้องการในปริมาณสูงไว้ก่อนเพื่อจะนำเข้าได้มากและเพื่อลดต้นทุนของตัวเอง
3. ยังมีการนำเข้ามากถึง 323,167 ตัน ในปี 2562 ซึ่งเกินโควตาที่กำหนดในช่วงผ่อนผันซึ่งร่วมกันสองปีแค่ 1.1 แสน แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของมาตรการกำกับการนำเข้าเศษพลาสติกของภาครัฐ
4. หากมีการอนุญาตนำเข้า ให้อนุญาตเฉพาะการนำเข้า “เม็ดพลาสติกใหม่หรือเม็ดพลาสติกรีไซเคิล” เท่านั้น ซึ่งสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เลย โดยห้ามนำเข้าเศษพลาสติกชนิดอัดก้อนเด็ดขาด
5. ข้ออ้างของ กรอ.และผู้นำเข้าที่ว่าพลาสติกรีไซเคิลในประเทศมีราคาแพงกว่า จึงเป็นข้ออ้างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศผู้ส่งและผู้นำเข้าไม่กี่ราย โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย
6. เนื่องจากขยะพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศมีราคาถูกมากจนทำให้ราคาพลาสติกรีไซเคิลในประเทศ ตกต่ำจึงมีผลกระทบต่อการประกอบอาชีพและกำลังใจในการทำงานของกลุ่ม “ซาเล้ง” ประมาณ 1.5 ล้านคน และร้านรับซื้อของเก่าอีก 30,000 ร้านค้า ต้องเลิกประกอบอาชีพนี้
7. ปริมาณพลาสติกเพื่อรีไซเคิลในประเทศมี 1.6 ล้านตันต่อปี ปริมาณนี้จึงเพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ในส่วนข้ออ้างเรื่องการปนเปื้อนหรือความไม่สะอาดนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมกันเร่งหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
8. รัฐบาลไทยควรเร่งเตรียมความพร้อมในการเพิ่มเติมรายการที่ต้องดำเนินการตามข้อกำหนดของอนุสัญญาบาเซลฯ และควรเร่งการให้สัตยาบันข้อแก้ไขอนุสัญญาบาเซลฯ (Ban Amendment) เพื่อเพิ่มมาตรการป้องกันการนำเข้าส่งออกของเสียอันตราย ซึ่งรวมถึงขยะพลาสติกอย่างเข้มงวดมากขึ้น
9. รัฐบาลควรมีมาตรการตรวจสอบ กำกับ ติดตาม และดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มีหน่วยงานตรวจสอบทุกครั้งโดยทันทีที่วัตถุดิบมาถึง กรณีมีการสำแดงเท็จ เพิกถอนใบอนุญาตชิพปิ้งและผู้นำเข้าทันทีถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมถอนใบอนุญาตเป็นเวลา 10 ปี หากมีประชาชนเกิดผลกระทบและเข้าร้องเรียนกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถสั่งระงับการดำเนินการหรือระงับการต่อใบอนุญาตโรงงานได้
ข้อเสนอต่อการเพิ่มอัตราการเก็บรวบรวมพลาสติกรีไซเคิลในประเทศ
1. กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร และ อปท.ในเมืองใหญ่ที่มีประชากรอยู่อย่างหนาแน่นและเป็นแหล่งกำเนิดขยะขนาดใหญ่ต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดระบบเก็บขยะแบบแยกประเภท โดยเริ่มจากพื้นที่ที่มีแหล่งกำเนิดเริ่มแยกขยะอยู่แล้ว จัดระบบทั้ง drop-off และ pick-up หรือ curbside collection รวมทั้งการจัดกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลอย่างสม่ำเสมอ
2. กำหนดให้ อปท. ร่วมกับภาคเอกชนสนับสนุนให้ร้านรับซื้อของเก่ามีการจัดการสภาพร้านหรือแหล่งรับซื้อที่ดี ส่งเสริมให้เข้าระบบ application ที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่ (pick-up service) อปท. มีมาตรการส่งเสริมให้ร้านรับซื้อของเก่าให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมจัดกิจกรรมตลาดนัดขยะรีไซเคิลและธนาคารขยะในพื้นที่ร่วมกับ อปท. โดยมีการจัดสรรรายได้ที่เหมาะสม
3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกกฎหมายพื้นฐานเพื่อสร้างสังคมรีไซเคิลและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน กำหนดบทบาทหน้าที่ของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น และนำหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) มาใช้เพื่อกำหนดความรับผิดชอบของผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย อปท. และผู้บริโภคต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบเก็บรวบรวมขยะบรรจุภัณฑ์ กำหนดเป้าหมายการเก็บรวบรวมที่ชัดเจนในแต่ละปี เพื่อลดความจำเป็นที่ต้องนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ดังแนวทางที่แสดงอยู่ภาพประกอบต่อไปนี้
รายชื่อเครือข่ายภาคประชาสังคมที่สนับสนุนความเห็นและข้อเรียกร้องในแถลงการณ์
- มูลนิธิบูรณะนิเวศ
- มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
- กรีนพีซ ประเทศไทย
- สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า
- แผนงานขับเคลื่อนการปฏิรูประบบการจัดการขยะเพื่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน สสส.
- สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ดร.เพชร มโนปวิตร เจ้าของเพจ “Rereef”
- นายเปรม พฤกษ์ทยานนท์ เจ้าของเพจ “ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป”
- กลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC Watch)
- กลุ่มคนรักษ์ต้นน้ำจังหวัดราชบุรี ต.น้ำพุ อ.เมือง จ.ราชบุรี
- กลุ่มคนคลองบางป่า ต.บางป่า อ.เมือง จ.ราชบุรี
- กลุ่มเรารักษ์ท่าถ่าน-บ้านซ่อง ต.ท่าถ่าน และ ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
- กลุ่มเรารักษ์พนม อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
- กลุ่มเรารักพุม่วง ตำบลหนองชุมพล อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี
- เครือข่ายเพื่อนตะวันออก วาระเปลี่ยนตะวันออก
- เครือข่ายปกป้องผืนป่าตะวันออก
- เครือข่ายประชาชนศึกษาและติดตามปัญหาขยะ
- เครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) จังหวัดฉะเชิงเทรา /ชลบุรี / ระยอง / ปราจีนบุรี / สระแก้ว / นครนายก / ราชบุรี / เพชรบุรี
- สมัชชาแปดริ้วเมืองยั่งยืน
- องค์กรชุมชนตําบลหนองชุมพลเหนือ ต.หนองชุมพลเหนือ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี
- มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ (Foundation for AIDS Right)
- เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก
- มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน
- สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
- มูลนิธิเครือข่ายอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตก
- มูลนิธิสถาบันปฏิปัน
- มูลนิธิสืบศักดิ์สิน แผ่นดินสี่แคว
- สมาคมพัฒนาชุมชนยั่งยืน นครสวรรค์
- ศ. (เกียรติคุณ) สุริชัย หวันแก้ว
- กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์)
- มูลนิธิสุขภาพไทย
- คณะทำงานติดตามความรับผิดชอบข้ามการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch Coalition)
- มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
- มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร
- มูลนิธิโลกสีเขียว
- มูลนิธิชีววิถี
- แนวร่วมปฏิวัติขยะสุพรรณบุรี
- Less Plastic Thailand
- มูลนิธิเพื่อนหญิง
- มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
- มูลนิธิสระแก้วสีเขียว
- สำนักข่าวธรรมรัฐจังหวัดสระแก้ว
- บงกช ภูษาธร ประชาชนกรุงเทพมหานคร
- วริศรา เมฆานนท์ชัย ประชาชนกรุงเทพมหานคร
- กลุ่มรวมพลังคนรักบ้านเกิดบางโทรัด
- Bye Bye Plastic Bags (Thailand)
- เถื่อน channel
- เครือข่ายวงษ์พาณิชย์
- บริษัท ธาอีส อีโคเลทเธอร์ จำกัด
- กลุ่มพัฒนาแรงงานสัมพันธ์ตะวันออก
- สภาองค์การลูกจ้างแรงงานสัมพัน์แห่งประเทศไทย
- เครือข่ายอากาศสะอาด
- วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์ social activist artist จาก เพจ WISHULADA
- กลุ่มรักธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต.คลองกระแชง อ.เมือง จ.เพชรบุรี
- กลุ่มคนรักบ้านเกิด ต.ท่าเสน อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี
- กลุ่มสิ่งแวดล้อมภาคประชาชน ต.เกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
- กลุ่มคนสองแคว ต.เกาะขนุน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
- กลุ่มเพื่อนรักจักรยานบ้านพี่โสเพ็ชร์บุรี ต.บ้านหม้อ อ.เมือง จ.เพชรบุรี
- ภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร (องค์กรเพื่อผู้บริโภค)
- SOS Earth
- Refill Station
- Little Big Green
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)