บุญเกื้อหนุนเดินทางเข้ามอบตัวที่ สน.ดุสิต เอกชัยถูกสกัดจับระหว่างทาง ทั้งคู่ถูกนำตัวไปแจ้งข้อหาประทุษร้ายต่อเสรีภาพราชินีฯ ที่ ตชด.ภาค 1 ยันไม่ทราบว่ามีขบวนเสด็จ ไม่เจตนาประทุษร้าย เตรียมออกหมายจับเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 ราย ส่วนสมยศไปเป็นเพื่อนเอกชัย แต่ถูกจับไป สน.ชนะสงคราม
16 ต.ค. 2563 ประมาณ 10.00 น. 'ฟรานซิส' บุญเกื้อหนุน เดินทางเข้ามอบตัวที่ สน.ดุสิต ตามหมายจับข้อหาประทุษร้ายต่อของพระราชินีหรือรัชทายาทฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ก่อนถูกควบคุมตัวไปแจ้งข้อกล่าวหาที่ ตชด.ภาค 1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ประมาณ 12.00 น. โดยมีเพื่อนที่ไว้ใจเดินทางไปด้วย และมีทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนขับรถติดตามไป
'ฟรานซิส' บุญเกื้อหนุน
ด้านสมยศ พฤกษาเกษมสุข กล่าวว่า เวลาประมาณ 08.30 น.เขาและเพื่อนไปรับเอกชัย หงส์กังวาน ออกจากบ้านย่านบางกะปิ เพื่อจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ดุสิต โดยแจ้งเจ้าหน้าที่ที่นั่นไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม ระหว่างเดินทางผ่านอิมพีเรียลลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบราว 10 นาย เข้าสกัดการเดินทาง และแสดงตัวเข้าจับกุมตามหมายจับและนำตัวไปที่ สน.ลาดพร้าว โดยแยกเอกชัยไม่ให้พบกับเพื่อน
เอกชัย หงส์กังวาน
สมยศกล่าวว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะนำตัวเอกชัยไปที่ กองบังคับการ ตชด.ภาค 1 อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี แต่เขาไม่ทราบว่าจะนำตัวออกไปเวลาไหน
ต่อมา 11.10 น. สมยศแจ้งว่า ขณะที่รอเป็นเพื่อนเอกชัย เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวสมยศโดยระบุว่า กำลังนำหมายจับจาก สน.ชนะสงคราม มาแสดงและจะนำตัวไป สน.ชนะสงคราม ในช่วง 13.00 น . ส่วนเหตุของคดียังไม่ทราบแน่ชัด
ทั้งนี้ ศาลอนุมัติหมายจับเอกชัย และ บุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส เมื่อค่ำวานนี้ ฐานประทุษร้ายต่อของพระราชินีหรือรัชทายาทฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 ระบุว่า ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 16-20 ปี ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือประทุษร้ายต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 12-20 ปี
ขณะที่มติชนออนไลน์ รายงานว่า หน่วยงานความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวบรวมหลักฐานที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ยืนยันว่าจะเอาผิดกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกคนที่ขวางเส้นทางขบวนเสด็จฯ และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งวาจาและการกระทำ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถระบุตัวบุคคลได้ และเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 5 ราย เป็นศิลปินอิสระ, นักแต่งเพลงอิสระ, และกลุ่มผู้เคยเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ ไผ่ ดาวดิน จ.ร้อยเอ็ด
คดีนี้เกิดเมื่อ 14 ต.ค. 2563 ช่วงบ่ายแก่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล มีประชาชนจำนวนหนึ่งยืนรออยู่บริเวณนั้น เนื่องจากเป็นจุดนัดหมายว่าจะมีการตั้งเวทีการชุมนุม ขณะที่ขบวนใหญ่ของผู้ชุมนุมยังติดอยู่บนถนนนครสวรรค์ก่อนถึงแยกนางเลิ้ง ระหว่างนั้นมีขบวนเสด็จของพระราชินีและ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติเคลื่อนผ่าน โดยเอกชัยระบุว่า เขาและประชาชนบริเวณดังกล่าวไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีขบวนเสด็จ ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นก็ไม่ได้ประกาศแจ้งประชาชน และที่พวกเขาไปผลักดันตำรวจนั้นเป็นเพราะคิดว่าจะเข้ามาขัดขวางหรือสลายขบวนใหญ่ของผู้ชุมนุมที่กำลังจะเดินทางมา
เหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏคลิปมากมายที่เห็นว่ามีการโห่ร้อง ชูสามนิ้วระหว่างขบวนเสด็จเคลื่อนผ่าน ขณะที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงสาเหตุที่มีการเลือกใช้เส้นทางดังกล่าวที่มีผู้ชุมนุมอยู่ ท่ามกลางทางเลือกอื่นๆ ทั้งนี้อานนท์ นำภา แกนนำคนหนึ่งได้กล่าวตอนหนึ่งในการชุมนุม 14 ต.ค. 2563 ด้วยว่า ผู้ชุมนุมพยายามเลี่ยงเส้นทางที่ทราบว่าจะมีขบวนเสด็จอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังมาเจอกับขบวนที่พวกเขาไม่รู้มาก่อน
ผู้สื่อข่าวติดต่อสัมภาษณ์บุญเกื้อหนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2563 บุญเกื้อหนุนกล่าวว่า ขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเย็นหน้าทำเนียบรัฐบาล ตอนนั้นตนนั่งกับเพื่อนๆ หลายคน จนกระทั่งเห็นตำรวจเรียงแถวมาเป็นแนวนอน คิดว่าอาจเป็นปฏิบัติการสลายการชุมนุม จึงไปยืนข้างหน้าเพื่อบอกตำรวจว่าอย่าทำ
“หลังจากนั้นผมก็เห็นคนกรูเข้ามาเพื่อทำเป็นกำแพงกั้น อีกสิ่งที่เห็นหลังจากนั้น ตอนนั้นกำลังปะทะอยู่กับตำรวจ แต่มองข้ามไหล่เขาไปก็คือมีขบวนเสด็จฯ มาแล้ว และเหตุการณ์ตอนนั้นตำรวจไม่ได้แจ้งว่าจะมีขบวนเสด็จฯ มา ไม่มีสิ่งไหนที่พูดเลยว่าขบวนจะเสด็จฯ มาตรงนี้
“พอผมเห็นปั๊บ ผมได้เดินออกมา พยายามจะออกมาจากแนวกั้น แล้วพยายามใช้โทรโข่งผมเพื่อที่จะบอกผู้ชุมนุมว่า ให้ถอยออกมา ให้หลบออกจากขบวนเสด็จฯ ออกมาเพื่อให้เขาได้ดำเนินต่อ หลังจากนั้นก็มีการชูนิ้วตามสัญลักษณ์ แต่ผมไม่ได้ตะโกนอะไรออกไป แล้วหลังจากนั้นผมก็ถอยออกมาอยู่ที่เดิม”
บุญเกื้อหนุนกล่าวว่า ที่เขาไปอยู่ตรงนั้นแต่แรก เพราะเป็นสัญชาตญาณว่าอย่างน้อยเราต้องเป็นแนวกั้น แต่ไม่รู้ว่าจะมีขบวนเสด็จฯ คิดเพียงจะกั้นผู้ชุมนุมไว้ก่อนพื่อให้มันไม่เกินเลยไปกว่านั้น แต่เมื่อทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ก็ถอยออกมา ตอนนั้นคนไม่ได้เยอะ แต่ก็มีการปะทะ หลังจากนั้นก็มีขบวนเสด็จฯ
“ตามคลิป หรือผู้เห็นเหตุการณ์ และหลายๆ คนที่อยู่ในพื้นที่นั้นสามารถคอนเฟิร์มได้ว่า ผมไม่ได้ต้องการจะไปขัดขวาง และทันทีที่เห็นตรงนั้นก็พยายามจะถอยออกมา ถอยออกมาเสร็จก็บอกให้ผู้ชุมนุมถอยมาด้วย เพื่อความปลอดภัยและความผาสุกของทั้งสองฝ่าย ผมเชื่อว่าตอนนี้ข่าวมีการเอาไปปั่นในลักษณะนั้นแล้ว แต่ผมก็จะบอกว่า สิ่งที่ผมพูดออกมานั้นเป็นความจริง ผมไม่ได้ต้องการที่จะประทุษร้ายองค์พระราชินีหรือองค์รัชทายาทแต่อย่างใด
“แน่นอนว่าผมมาชุมนุมด้วยสันติ ผมไม่ต้องการความรุนแรง ดังนั้น ผมก็ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจตรงนี้” บุญเกื้อหนุนกล่าว
แม้ประเด็นการชุมนุมครั้งนี้จะพูดถึงประเด็นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ บุญเกื้อหนุนกล่าวว่า นั่นก็เป็นส่วนของแกนนำ แต่ตนเข้ามาในความเชื่อของตน ด้วยสิทธิ เสรีภาพที่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย
"ผมมาตามนั้นและผมพูดเลยว่าผมไม่มีความตั้งใจจะประทุษร้ายตั้งแต่ต้น” บุญเกื้อหนุนย้ำ
รายละเอียดการจับกุมเอกชัย
บันทึกการจับกุม เอกชัย ระบุว่า บุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 1545/2563 ลงวันที่ 15 ต.ค. 2553 พร้อมของกลาง สถานที่จับกุม ปากซอยลาดพร้าว 106 ถ.ลาดพร้าว แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันพยายามกระทําการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชนิ” สถานที่เกิดเหตุ เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 เวลาประมาณ 17.30 น. ที่ ถนนพิษณุโลก แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร พร้อมทั้งแจ้งสิทธิตามกฎหมายให้ผู้ถูกจับทราบว่า 1.มีสิทธิ์ที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ และถ้อยคําของผู้ถูกจับนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการ พิจารณาคดีได้ 2. มีสิทธิ์ที่จะพบหรือปรึกษาทนายความ หรือบุคคลที่จะเป็นทนายความของตนได้
ในบันทึกระบุด้วยว่า เอกชัย ทราบข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมายดีแล้ว ให้การว่า กำลังจะเดินทางไปมอบตัวกับพนักงานสอบสวนที่ สน.ดุสิต โดยร้องขอให้ สมยศและเพื่อนมารับเพื่อไปส่งที่ สน.ดุสิต และไม่ได้แจ้งให้สมยศทราบว่าตนมีหมายจับ
นอกจากนี้ยังมีการตรวจยึด 1 โทรศัพย์มือถือ ยี่ห้อ NOKIA สีดำ (ไม่ทราบรุ่น) 1 เครื่อง 2. ซิมการ์ดประจำเครื่อง 1 อัน (อยู่ในตัวเครื่อง) 3. เมมเมออรี่การ์ด (อยู่ในตัวเครื่อง) 1 อัน
หมายเหตุ : 14.50 น. วันที่ 16 ต.ค.2563 ประชาไทมีการปรับแก้พาดหัวข่าว