ก.พลังงานไม่รับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนโขง 4 แห่ง ระบุเงื่อนไขเจ้าของเขื่อนต้องรับผิดชอบผลกระทบข้ามพรมแดน

กระทรวงพลังงานประกาศไม่รับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อน 4 แห่งบริเวณแม่น้ำโขง พร้อมเพิ่มเงื่อนไขว่าเจ้าของเขื่อนต้องระบุชัดเจนในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าว่าจะรับผิดชอบผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย

25 ส.ค. 2564 กระทรวงพลังงานส่งหนังสือแจ้งต่อเครือข่ายประชาชนไทย 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขงว่ายังไม่ได้มีการซื้อขายไฟฟ้าจากเขื่อน 4 แห่งบนแม่น้ำโขงสายหลัก ได้แก่ เขื่อนปากแบง ปากลาย หลวงพระบาง และสานะคาม ทั้งยังเพิ่มมาตรการหลายข้อในกระบวนซื้อขายไฟฟ้า โดยเฉพาะเงื่อนไขของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จะต้องระบุในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าว่า ผู้พัฒนาโครงการต้องรับผิดชอบในการเยียวยาต่อผลกระทบในประเทศไทยทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเกิดจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้า ตามข้อกังวลของกระทรวงทรัพยากรและธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

เฉลิมศรี ประเสริฐศรี มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากเครือข่ายประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง กล่าวว่าได้ส่งหนังสือไปยังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อสอบถามความคืบหน้าแผนการซื้อขายไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และคัดค้านการทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลัก 4 แห่ง คือ เขื่อนปากแบง ปากลาย หลวงพระบาง ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีไฟฟ้าสำรองอยู่ในปริมาณสูงมาก แต่ที่ผ่านมากลับมีการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนในประเทศลาว และขณะนี้ลาวก็กำลังเร่งสร้างเขื่อนขึ้นอีกหลายพื้นที่ตามนโยบายแบตเตอรีแห่งเอเชีย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านพลังงานไฟฟ้า นั่นคือ กฟผ. มาโดยตลอด เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าที่สูงเกินความจำเป็นได้กลายเป็นต้นทุนเพิ่มขึ้นและผลักเป็นภาระให้ผู้บริโภค

เฉลิมศรี กล่าวว่า เนื้อหาในจดหมายถือเป็นสัญญาณที่ดีในกระบวนการซื้อขายไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเพิ่มเงื่อนไขร่างสัญญา Tariff MOU ซื้อขายไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ผู้พัฒนาโครงการจะต้องรับผิดชอบและเยียวยาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีการรับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนใหญ่ในอนาคตต่อไป การป้องกันและบรรเทาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นหน้าที่ของหน่วยงานรัฐโดยตรงตามกฎหมาย การระบุเนื้อหาดังกล่าวมีข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นผลมาจากปรากฎการณ์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องบนแม่น้ำโขงจากกรณีเขื่อนไซยะบุรีเริ่มผลิตไฟฟ้าเชิงพานิชย์ให้กับ กฟผ. เมื่อปี 2562 เป็นต้นมา

เฉลิมศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื้อหาในจดหมายระบุถึงการที่กระทรวงพลังงานได้จัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Revision 1) เพื่อเป็นการวางแผนการจัดหาพลังงานไฟฟ้าของประเทศให้เพียงพอกับความต้องการใช้ไฟฟ้า รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยการจัดทำแผนดังกล่าว มีการวางแผนจะรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2569, 2571, 2576, 2578 โดยกระบวนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมประสานความร่วมมือในการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้เป็นผู้พิจารณารับซื้อไฟฟ้า โดยมีหลักเกณฑ์การพิจารณารับซื้อไฟฟ้าที่สอดคล้องกับแผน PDP ของประเทศไทย ความสามารถของระบบส่งไฟฟ้าที่จะรองรับการไฟฟ้าและให้ความสำคัญต่อผลกระทบในมิติต่างๆ เช่น ผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม เขตแดน รวมถึงความมั่นคงด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ ก่อนที่คณะอนุกรรมการประสานงานฯ จะพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำของ สปป.ลาว โครงการที่เสนอขายไฟฟ้าจะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาภายในสปป.ลาว มาอย่างถูกต้องครบถ้วน และจะต้องผ่านกระบวนการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้า และข้อตกลง หรือ PNPCA เพื่อให้ประเทศสมาชิกคณะกรรมการแม่น้ำโขงหรือ MRC ได้ศึกษารายละเอียดโครงการ รวมถึงจัดทำข้อตกลงเพื่อลดผลกระทบข้ามพรมแดนที่อาจจะเกิดขึ้น จึงจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการต่อไป นอกจากนี้ ในกระบวนการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของกระทรวงพลังงานจะมีการสอบถามความเห็นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่างๆ ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้า

เนื้อหาในจดหมายยังระบุเพิ่มเติมว่าเพื่อเป็นการเยียวยาและบรรเทาผลกระทบด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตกับภาคประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพลังงานจึงได้สั่งการให้ กฟผ.ระบุเงื่อนไขในร่าง Tariff MOU ดังนี้ ให้ผู้พัฒนาโครงการรับผิดชอบในการเยียวยาผลกระทบต่อประเทศทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม  ซึ่งอาจจะเกิดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้า ตามข้อกังวลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และให้ผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าแลการผลิตไฟฟ้าของ สปป.ลาว เลือกใช้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า รวมถึงการใช้บุคลากร การจ้างงาน และการบริการจากประเทศไทย (Local Content Requirement) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ของทั้งโครงการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย และสุดท้าย คือ ปัจจุบันยังไม่มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับโครงการเขื่อนปากแบง ปากลาย พลวงพระบาง และสานะคามแต่อย่างใด

ภาพเขื่อนต่างๆ บริเวณแม่น้ำโขง
 

ไพรินทร์ เสาะสาย ผู้ประสานงานการณรงค์ไทย-แม่โขง องค์กรแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่า ถือเป็นความชัดเจนของกระทรวงพลังงานของไทยที่ฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าหลักจากเขื่อนแม่น้ำโขงหลายแห่งตามแผน การเพิ่มเงื่อนไขความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมด้านผลกระทบข้ามพรมแดนต่อประชาชนไทย ถือเป็นผลเชิงประจักษ์ที่เกิดจากเรียกร้องของชาวบ้านในพื้นที่ 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง นักวิชาการและหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบมาตลอดระยะเวลากว่าสิบปี ที่ได้เพิ่มเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต

ไพรินทร์กล่าวว่า ปัจจุบันพลังงานสำรองของประเทศไทยยังสูงมากถึง 55% และมีโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตไฟฟ้าแต่มีรายได้ตลอดจากการทำสัญญาซื้อขายที่ผลักภาระให้ผู้บริโภคอย่างไม่เป็น คือประเด็นสำคัญต่อเนื่องต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเชิงระบบให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าจริงของประเทศ พร้อมๆ กับการมุ่งสู่ทางเลือกการส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกที่ไม่ใช่เขื่อนไฟฟ้า ที่มีผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า และมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและราคาถูกกว่าเดิม เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งต้นทุนต่ำลงไปเรื่อยๆ และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า รวมถึงการกระจายอำนาจให้ผู้บริโภค อุตสาหกรรมต่างๆ สามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองควบคู่ไปกับระบบหลัก อาจจะเป็นทางเลือกที่สำคัญและสอดคล้องกับแนวโน้มพลังงานโลกมากกว่า

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท