คณะก้าวหน้าเปิดเว็บไซต์ให้ลงชื่อออนไลน์ เสนอกฎหมายยกเลิก 112 ไม่ทันถึง 24 ชั่วโมงได้ครบแสนแล้วจ้า

อดีตพุทธะอิสระเร็วกว่า ล่าชื่อเกิน 2 แสนมายื่นคัดค้านต่อประธานสภา แต่ไม่รู้ว่าใช้ google sheets แบบหมอวรงค์หรือเปล่า รู้ไหมเดี๋ยวนี้ พ.ร.บ.เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ให้ลงชื่อออนไลน์ได้ แค่กรอกเลขบัตรประชาชน เซ็นชื่อผ่านมือถือก็จบ

คนลงชื่อสิต้องใช้ความกล้าหาญ แม้คงไม่โดนตั้งข้อหา แต่อาจโดนกาหัวติดประวัติ ไม่ให้เข้ารับราชการ ทหาร ตำรวจ อัยการ ศาล องค์กรอิสระ หรือแม้แต่สอบเข้าสำนักงานกรรมการสิทธิมนุษยชน คนลงชื่อ 1 แสนจึงเป็นตัวแทนอีกหลายแสนคนที่มีข้อจำกัด เช่น ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทยักษ์ใหญ่เอาใจอำนาจ

ยิ่งกว่านั้น คนลงชื่อก็รู้แก่ใจว่าถึงได้เสนอกฎหมายเข้าสภาก็แก้ไม่สำเร็จ แต่มันเป็นการแสดงความกล้า

มีเรื่องขำๆ อดีตพุทธะอิสระไปยื่นชื่อคัดค้านแล้วโวยว่า พวกตนผู้จงรักภักดี มักจะถูก bully ในโลกออนไลน์ อ้าว จงรักภักดีแล้วขุดอดีตไม่ได้หรือไง หัวหน้าแก๊งอันธพาล ปิดถนน รีดไถ อ้างจงรักภักดีแล้วกลายเป็นคนดีหมด? มันควรจะเป็นคนดีมีศีลธรรม อุทิศตนเพื่อสังคม โอบอ้อมอารีคนเห็นต่าง ออกมาเคลื่อนไหว จึงจะแสดงพลัง “อนุรักษนิยม” ให้คนเลื่อมใส

อย่างที่ตั้งคำถามไว้หลายครั้ง พลังอนุรักษนิยมวันนี้ทำไมไม่มี “ปราชญ์” อย่างคึกฤทธิ์ ไม่มีคนยืนหยัดในจริยธรรม มีความกล้าหาญทักท้วงอำนาจ ว่าอะไรถูกผิด อะไรเหมาะควร

มีแต่คนหวาดกลัว คล้อยตาม หรือห้อยโหน แบบนักการเมือง ที่อ้าปากก็เห็นทะลุไส้พุง ว่าแย่งชิงภาพสุดโต่งเพื่ออำนาจผลประโยชน์ ทหารตำรวจก็เหมือนมาจาก “พิมพ์เขียว” พลตรีพลโทพลเอก ตำแหน่งไหนเหมือนกันหมด ไม่มีความคิดของตัวเอง ถ้าไม่มี “ตั๋ว” ก็รักษาเนื้อรักษาตัวเป็นหุ่นไปจนเกษียณ

มีใครหวังดีอย่างแท้จริงบ้าง ยังแยกไม่ออกเลย

การโต้เถียงก็ไร้เหตุผล ไม่มีคำตอบที่ชอบธรรมให้ประชาชน เช่นอ้างว่าแก้ 112 ทำลายชาติศาสน์กษัตริย์ งั้นทำไมอังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ ฮอลแลนด์ ญี่ปุ่น ยังอยู่ได้ เป็นที่รักโดยไม่ถูกนำมาเกี่ยวกับการเมือง กับกองทัพ

ประยุทธ์บอกการพิจารณาเรื่องนี้ในรัฐธรรมนูญจบตั้งแต่วาระ 1 สมองเข้าใจคนละเรื่อง 112 คือแก้กฎหมาย ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ วิษณุก็บอกเสนอได้ อภิปรายได้ เหมือนแก้กฎหมายทั่วไป อยู่ที่สภาจะรับหรือไม่

พูดกันทีไรก็เห็นแต่นกแก้วนกขุนทอง ไม่มีใครหาคำตอบที่เข้ากับความชอบธรรมในโลกสมัยใหม่ ความเสมอภาคเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน

ฝ่ายอนุรักษ์ได้แต่ฝากความหวังไว้กับ “ระบอบประยุทธ์” รัฐราชการใหญ่โต อำนาจมาก ว่าจะสามารถกดปราบคนรุ่นใหม่ไปจนพ้นช่วงเวลา “เปลี่ยนผ่าน” แล้วหลังจากนี้ทุกอย่างจะราบคาบ คนรุ่นใหม่และใหม่กว่า จะเข็ดหลาบ ยอมรับชะตากรรม ชินไปเอง หันไปขายบิตคับบิตคอยน์ เก็งกำไรคริปโต NFT แล้วใช้ชีวิตชิลชิล ใส่ใจสุขภาพและการท่องเที่ยว (โฆษณากองทุน)

ฝันไปเถอะ ระบอบอำนาจนี้นอกจากไม่ชอบธรรม ยังเทอะทะ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่ฉลาด ขนาดผักชีแพงจะให้ทหารปลูกผักชี น้ำท่วมให้เลี้ยงปลา

อุตส่าห์ไปกวาดต้อนนักการเมืองที่พวกคนดีเคยร้องยี้ มาค้ำระบอบ ก็กลายเป็นเรือแป๊ะโคลงเคลงอยู่ตอนนี้ ระบอบอำนาจอย่างนี้แหละจะพาพังทั้งยวง

เราอยู่ในโลกยุค “ประชาธิปไตยถดถอย” ทั่วโลกเต็มไปด้วยผู้นำฝ่ายขวาประชานิยม ที่ชนะเลือกตั้งแล้วปิดกั้นเสรีภาพ ละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่อำนาจอนุรักษนิยมไทยแย่กว่า ล้าหลังกว่า ไม่ได้มาจากความนิยม แล้วยังล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้ประชาชน

ระบอบนี้สร้างขึ้นเพื่อคุ้มครองความมั่นคง เป็นอุดมการณ์สูงสุด ความมั่นคงต้องมาก่อนเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ สิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงทุ่มงบให้รัฐใหญ่โต อำนาจมาก เพื่อควบคุมประชาชน

นี่ไม่เหมือนฝ่ายขวาตะวันตก หรือพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มุ่งเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง สี จิ้นผิง จะปฏิวัติวัฒนธรรมรวบอำนาจ ก็อ้างเหลื่อมล้ำทุบหัวคนรวยบริจาคคนจน

อำนาจอนุรักษ์ไทยกลับสมานฉันท์เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ยิ่งปกครองยิ่งเหลื่อมล้ำ ยิ่งล้มเหลวยิ่งดันทุรัง เป็นหนทางเดียวที่จะปกป้อง “ความมั่นคงของชาติ”

ระบอบอำนาจนี้ไม่พังง่าย แต่ยิ่งวิบัติ เพราะดึงอำนาจทุกด้านมาปะทะกับประชาชน “ทหารมีไว้ทำไม” ตำรวจถูกเกลียดชัง กระบวนการยุติธรรมถูกต่อต้าน

ยิ่งชนยิ่งถอยไม่ได้ สมมติทหารบอกเลิกยุ่งการเมืองกลับเข้ากรมกอง ประชาชนก็ยอมไม่ได้ จะต้องปฏิรูปกองทัพ ยุบหน่วยงาน ตัดงบ เลิกเกณฑ์ทหาร

เฮือกนี้ของอนุรักษนิยมจึงยาว แต่ราคาแพง เดิมพันสูง

ที่มา: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/politics/hot-topics/news_6718181