ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ: อ่านประวัติศาสตร์โลก อ่านอนาคตสังคมไทย

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ บรรยายที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.นเรศวร ชี้ให้เห็นมรดกตกทอดทางความคิดในสังคมไทย ชวนทบทวนมโนทัศน์การปฏิรูปและความทันสมัยที่เป็นเครื่องมือชนชั้นนำยุคก่อร่างสยามประเทศ ร่องรอยความอิหลักอิเหลื่อไม่ลงรอย “เมื่อของเก่าไม่สามารถทิ้งออกไปได้ ของใหม่ก็ไม่สามารถรับมาได้อย่างเต็มที่”

 

เมื่อวันที่เสาร์ที่ 17 ธ.ค. 2565 ที่ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ แผนงานคนไทย 4.0 จัดบรรยายพิเศษหัวข้อ "อ่านประวัติศาสตร์โลก อ่านอนาคตสังคมไทย" วิทยากร โดยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ โดยมีรายละเอียดของการบรรยายดังนี้


โปสเตอร์ซีรีส์เสวนา "อ่านประวัติศาสตร์โลก อ่านอนาคตสังคมไทย"

มรดกทางความคิดในสังคมไทย

มรดกทางความคิดในสังคมไทยที่ตกทอดจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน ประเด็นหลักคือการชี้ให้เห็นถึงความคิดและมโนทัศน์การปฏิรูปแสดงออกอย่างไรในทางนโยบายของรัฐบาลสมัยต่างๆ ในทางความคิดและอุดมการณ์วางอยู่บนคติความรับรู้อะไร มีปรัชญา โลกทัศน์อะไรที่รองรับความคิดการปฏิรูปในแต่ละยุคสมัย ในที่สุด ความคิดการปฏิรูปมีลักษณะแตกต่าง หรือเหมือนกันในทางประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุผลอะไร

โดยประเด็นที่หาคำตอบก็คือ การค้นหาความหมายของการ “ปฏิรูป” ซึ่งมีความหมายได้เท่ากับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น การอธิบายมโนทัศน์ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นการศึกษาค้นคว้าแบบประวัติศาสตร์ความคิด เพื่ออธิบายบริบทของสังคม เศรษฐกิจการเมืองในแต่ละยุคสมัย อย่างไรก็ตาม ไม่ได้อธิบายตามลำดับตามเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ แต่กลับมุ่งเน้นไปตามมโนทัศน์ที่ชนชั้นนำใช้เป็นเครื่องมือ ในการผลักดันซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยเป็นวงกว้าง

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ (แฟ้มภาพ)

กล่าวได้ว่านับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา มีการประยุกต์ความรู้ความคิดจากบริบทของต่างชาติมาหลากหลายมิติ ซึ่งเป็นตัวบังคับให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ความเปลี่ยนแปลงในช่วงต้นนี้ก็มิใช่ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน และเข้าแทนกันได้ แต่เกิดจากการผสมกลมกลืนกับความรู้กับต่างชาติ จนเห็นความอีหลักอิเหลื่ออยู่มากมาย เหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดคือสมัยปลายรัชกาลที่ 4 ที่พระองค์เสด็จไปเยือนบ้านหว้ากอ ประจวบคีรีขันธุ์ เพื่อไปสังเกตสุริยุปราคา กรณีนี้ราวกับว่าเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เพื่อพิสูจน์ว่าสยามทัดเทียมกับตะวันตก ในแง่ของความรู้นั้น เป็นการเชื่อมประสานกันระหว่างดาราศาสตร์แบบตะวันตกกับโหราศาสตร์แบบไทย ความกำกวมของเหตุการณ์และญาณวิทยาลูกผสม เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญในแง่ของการเปลี่ยนเคลื่อนทางความรู้ โหรจึงเป็น “นักวิทยาศาสตร์” ที่ทรงอิทธิพลในทุกระดับของสังคมตั้งแต่ราชสำนักจนถึงหมู่บ้าน เพราะพวกเขามีความรู้ในการคำนวณทิศทางที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต

ความรู้ 2 ชนิดที่ดูเหมือนจะเข้ากัน ไม่ได้ประสานกันจนเป็นเนื้อเดียวกันเสียทีเดียว ความรู้ทั้ง 2 ชนิดไม่เพียงแต่ศึกษาเรื่องคล้ายกัน แต่ทั้งคู่ยังใช้คำศัพท์เหมือนๆ กันในระบบการแบ่งหมวดหมู่ที่เทียบเคียงกันได้ เพราะฉะนั้น การที่สยามตกอยู่ในภาวะที่ขัดกันระหว่างความรู้ของที่สืบทอกดมาแต่โบราณ กับความคิดสมัยใหม่แบบตะวันตก ความอิหลักอิเหลื่อนี้ทำให้สยามสามารถท้าทายต่อการเลือกรับความรู้ตะวันตกแบบสมัยใหม่กับคงความคิดที่มีอยู่แต่เดิมไว้ได้

มโนทัศน์การปฏิรูปและความทันสมัยสยามประเทศ

มโนทัศน์การปฏิรูปและความทันสมัยในช่วงแรกเน้นความคิดที่ว่าด้วยความเป็นเอกราช เคียงคู่ไปกับความทันสมัย ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การขยายตัวของเจ้าอาณานิคมตะวันตก ทำให้สยามต้องยอมจำนนและต้องการทำการปฏิรูป ในอีกทางหนึ่ง แรงผลักดันของการล่าอาณานิคม มาจากพลังการผลิตของระบบทุนนิยมโลก ที่ต้องการผลิตสินค้าจำนวนมาก และต้องทำการผลิตจำนวนมหาศาล ดังนั้น ชนชั้นนำจึงให้ความสนใจในต่อการปฏิรูปทางความคิด ความเชื่อและจิตใจของผู้คน ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ที่สยามจำเป็นต้องทำ โดยเราจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในโลกโบราณ ดังจะเห็นได้จากการสร้างอุดมการณ์ชาติไทย อันเป็นมโนทัศน์จากการค้นคว้าแบบสมัยใหม่ รองรับด้วยหลักฐานทางโบราณคดีและเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร เกิดเป็นประวัติศาสตร์ชาติในรูปแบบที่เป็นชุมชนรูปแบบพิเศษ 

การพยายามสร้างและทำให้รัฐสยาม รวมไปถึงผู้คนทั้งหลายมีฐานะและภาพลักษณ์อันสอดคล้องกับโลกตะวันตก เมื่อรัชกาลที่ 5 เริ่มปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอาณาจักรให้มีความทันสมัย ในทางการเมือง เจ้าพระยาภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) ไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษแล้วกลับมารับราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการแปลรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสออกมาเป็นภาษาไทย และแปลรัฐธรรมนูญแบบอื่นๆ อีก เพื่อแสดงให้ชนชั้นนำยุโรปได้รับรู้ หลักการใหญ่ประการที่สำคัญคือการจำกัดอำนาจผู้ปกครอง สิ่งนี้ส่งผลกระเทือนสำหรับเหล่าชนชั้นนำเป็นอย่างมาก ชนชั้นนำจารีตไทยยืนยันหลักการโบราณอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ถึงที่มาของอำนาจพระมหากษัตริย์มิอาจระบุในกฎหมายได้ เพราะว่าไม่มีอะไรมาบังคับได้ ผลกระเทือนที่ตามมาก็คือ เมื่อผู้นำรัฐสูงสุดไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายใดๆ บรรดาเจ้าหน้าที่และข้าราชการในระบบย่อมมิอาจถูกบังคับด้วยกฎหมายได้เช่นกัน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

มโนทัศนชนชั้นสยามได้ก่อตั่งขึ้นตามระเบียบโลกที่เป็นระบบทุนนิยม ลักษณะเด่นของการปฏิรูปในยุคแรกคือการสร้างเงื่อนไขให้แก่การขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีการค้า และการแลกเปลี่ยนเป็นธงนำ ในขณะที่การผลิตแบบใหม่ยังเป็นด้านรอง เพราะต้องพึ่งพาจากนายทุนเป็นสำคัญ

อีกมโนทัศน์หนึ่งที่ส่งผลต่อผู้คนที่สำคัญคือมโนทัศน์ที่ว่าด้วยคนกับสังคม เหล่าชนชั้นนำตระหนักเป็นอย่างดี เห็นได้จากความคิดของรัชกาลที่ 5 ได้มองราษฎรเปลี่ยนไปจากเดิม จากการเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่มีอิสระจากคนทั่วไป คือเป็นข้า ทาส ไพร่ ที่ไม่มีจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเอง บัดนี้เป็นภาวะของตนเองและมีจุดหมายที่คนอื่นอาจรับรู้ได้ เพราะเป็นคนเหมือนกัน ทำให้ทัศนะใหม่ต่อราษฎร ต้องให้ความเจริญ ความสุข และเป็นธรรม 

การก่อรูปของมโนทัศน์เหล่านี้ ชนชั้นนำได้ก่อรูปขึ้นมาท่ามกลางวิกฤติ และความขัดแย้งภายในกลุ่มชนชั้นเอง ท่ามกลางการก่อรูปของรัฐสมัยใหม่ จึงมีการปะทะประสานการต่อสู้ทางการเมืองของเหล่าชนชั้นนำในการรักษาฐานะและความเป็นเจ้าของพวกตนไว้ ภายใต้บริบทของการคุกคามและท้าทายต่อลัทธิอาณานิคมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ที่สามารถสร้างความรู้และทฤษฎีของตนขึ้นมา บนความขัดแย้งและความแตกต่างหลากหลาย จนลงตัวและสร้างรัฐไทยแบบใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งคล้ายกับ “ลัทธิบูรพาคดีศึกษา” (Orientalism) ตั่งแต่แรกมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่การปฏิบัติเป็นแบบ “ลัทธิบูรพาคดีศึกษาแบบสมบูรณาญาสิทธิ์” (Absolutist Orientalism)

กำเนิดมโนทัศน์ “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา”

การปฏิรูป "หลักหกประการ" ของคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ความคิดทางการเมืองที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ คือ ความคิดปฏิวัติประเทศอย่างถอนรากถอนโคน ดังที่เกิดขึ้นในประเทศจีนคือการปฏิวัติซินไห่ หรือสาธารณรัฐ ที่นำโดยซุนยัดเซน แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสยามได้ถูกขัดขวางและต่อต้านด้วยวิธีการต่างๆ แม้กระทั่ง พยายามยึดอำนาจรัฐคืน เพื่อสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงที่ถูกมองว่ารุนแรงและทำลายผลประโยชน์เดิมของชนชั้นนำ 

คณะราษฎร ผู้ก่อการปฏิวัติเมื่อปี 2475

ความคิดทางหนึ่งที่ได้ก่อรูป และส่งต่อมายังความคิดปฏิรูปในระยะต่อมา คือ ความคิดว่าด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อความสมบูรณ์มั่งคั่งของคนในชาติ แต่พัฒนาการทางความคิดการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากหน้ามือเป็นหลังมือ ยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำ และกลุ่มคนกลุ่มต่างๆ อย่างกว้างขวาง ในที่สุดได้ลดระดับลง และพยายามเสนอให้เป็นนโยบายที่ผ่อนปรนมากที่สุด หลังจากการเกิดการต่อต้าน ส่งผลให้ความคิดในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงของแกนนำคณะราษฎร เปลี่ยนเป็นการรอมชอมกับฝ่ายตรงข้ามมากยิ่งขึ้น 

มองอีกแง่หนึ่งโดยพิจารณาบริบททางการเมืองในขณะนั้น อาจกล่าวได้ว่าแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ มุ่งสร้างขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีการปฏิบัติมาก่อนแล้วในสังคม ธรรมเนียมปฏิบัติใดที่เคยปฏิบัติมาก่อน แม้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ควรมารับใช้ต่อไป หากไม่ทำให้หลักการใหม่เสียหาย ทั้งหมดนั้นคือการสร้างความเป็นเอกภาพและความต่อเนื่องระหว่างประชาธิปไตยกับประเพณีธรรมเนียมในการปกครองสยามแต่โบราณ ซึ่งเป็นระเบียบใหม่ภายใต้การเปลี่ยนแปลง 

มโนทัศน์การปฏิรูปในยุคพัฒนา บริบททางสังคมและเศรษฐกิจในยุคใกล้กึ่งพุทธกาล ค่อนข้างไปในทางที่มีความแตกต่างหลากหลายมโนทัศน์การปฏิรูปในช่วงยุคพัฒนาเศรษฐกิจ ช่วงปลายสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการรัฐประหารและเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ รัฐบาลใหม่ได้เปิดช่องให้แก่การวางแผนระบบระเบียบการปกครองเสียใหม่อย่างที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ก่อรูปในเชิงความคิด ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งระบบการปกครองและในตัวประชาชนที่ถูกปกครองในเวลาเดียวกัน พร้อมชูนโยบายการสร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ประเทศใหม่ คือ การให้น้ำหนักและการปฏิบัติไปที่การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นขั้นตอน มีกระบวนการ แนวทาง และเป้าหมายของการพัฒนาอย่างแน่ชัด ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาจากอิทธิพลจากภายนอก นั่นคือสหรัฐฯ เนื่องจากเป็นแนวคิดที่มีเสน่ห์ในการเปลี่ยนแปลง ต้องการเห็นสังคมที่มีความเจริญก้าวหน้าไปจากสภาวะที่ล้าหลัง

ความคิดที่มองว่าประเทศ สังคมเป็นอะไรที่สามารถ "ผ่าตัด" จัดการกับมันได้เหมือนกับเป็นร่างกายมนุษย์ อันเป็นวิธีคิดแบบนักวิทยาศาสตร์มากกว่าคติทั่วไปของเหล่าชนชั้นนำที่ใช้บารมีในการชักจูงให้ผู้อยู่ใต้การปกครองยอมรับและทําตาม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดทางการเมืองไทยของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะ การพัฒนาเป็นใจกลางในนโยบายของคณะปฏิวัติ โดยวางอยู่บนฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ จนยุคนี้ได้สมญานามว่า ยุคพัฒนา ซึ่งสฤษดิ์ เข้าใจดีว่าพัฒนาการคือแนวคิดสำคัญของยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ในระดับโลก และเป็นแนวคิดใหม่ที่จะช่วยสร้างความชอบธรรมของรัฐชาติ 

ภูมิหลังทางสังคมของบรรดาผู้มีความคิดการพัฒนามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก คือ เกือบทั้งหมดมาจากสามัญชน ครอบครัวประกอบการทางการค้าหรืออิสระ การศึกษาระดับสูงสุดในประเทศ แล้วไปเรียนต่อในต่างประเทศ ด้วยทุนรัฐบาลและหรือทุนส่วนตัว ส่วนมากในยุโรปโดยเฉพาะอังกฤษ ในสาขาวิชาทางกฎหมาย รัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรวมปรัชญา จากนั้น ส่วนใหญ่กลับมารับราชการในหน่วยงานที่สอดคล้องกับความชํานาญทางทฤษฎี มีจํานวนน้อยที่ดําเนินอาชีพอิสระ ในทางความคิดและอุดมการณ์คนส่วนนี้จัดได้ว่าเป็นคนชนชั้นกลางมีแนวคิดที่ไปทางเสรีนิยมและเหตุผลนิยม ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในทางการเมือง ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปและดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการสร้างสถาบันที่มีประสิทธิภาพและความรับผิดชอบต่อภารกิจ เพื่อจุดหมายของส่วนรวม

มโนทัศน์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในยุคพัฒนาก็คือมโนทัศน์ “พระมหากษัตริย์ของมหาชน” การก่อรูปของความคิดนี้ คือ การทำให้พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง แนวคิดนี้ได้เข้ามามีบทบาทในการสร้างเครือข่ายที่อาศัยความเป็นศูนย์กลางทางจิตใจของราษฎร ให้กลายมาเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกลุ่มและบุคคลที่อยู่ในอํานาจทั้งภาครัฐ และเอกชน แนวคิดนี้ก่อรูปขึ้นมาภายใต้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายระยะ ในระยะแรก จาก พ.ศ. 2492-2519 ที่ความคิดนี้ค่อยๆ ถักทอเข้ากับ “การสร้างรัฐ” เป็นหมุดหมายสําคัญในการกําหนดความหมายแห่งการดํารงอยู่ของอํานาจรัฐ

ในระยะที่สอง พ.ศ. 2520-2549 มโนทัศน์สถาบันพระมหากษัตริย์ขยายแนวคิดและการปฏิบัติไปสู่ “การสร้างชาติ” ในช่วงระยะนี้การประสานจากภาคทฤษฎี (จารีตประเพณี) สู่การปฏิบัติ (การพัฒนา) มโนทัศน์สถาบันฯ คลี่คลายพัฒนาไปท่ามกลางการสร้างและสืบทอดโครงสร้างอํานาจรัฐที่วางอยู่บน “ฉันทามติพระมหากษัตริย์” ซึ่งการก่อรูปในแต่ละระยะเวลาที่กล่าวมานี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความหมายเรื่องชาติ ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เป็นแบบเดียวกันอย่างแยกไม่ออก อย่างไรก็ตาม เราจะสังเกตได้ว่า ความหมายของชาติแบบคณะราษฎรกับความหมายของชาติในยุคพัฒนา แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นโยบายการพัฒนาประเทศสมัยจอมพลสฤษดิ์ นําไปสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในการรองรับการเติบโตของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่พึ่งพาทุนและเทคโนโลยีต่างชาติ แต่ก็ตั้งเป้าในการที่จะสร้างทุนไทยให้เติบใหญ่ขึ้นมาเองได้ แม้อาจไม่ออกไปแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ก็ทําการผลิตรองรับการบริโภคและการสะสมทุนต่อไปในประเทศ เป็นหลักประกันในเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาล โครงการพัฒนานี้จึงมุ่งสร้างกลุ่มคนที่เรียกว่า ‘ชนชั้นกลาง’ ขึ้นมา เพื่อทําหน้าที่ในการผลิตและบริโภคสินค้าจากระบบทุน

สฤษดิ์ ธนะรัชต์

หลังจากรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ดําเนินนโยบายการพัฒนาประเทศไประยะหนึ่ง ผลสะเทือนข้างเคียง อันหนึ่งที่เกิดขึ้นคือการแพร่กระจายของความคิดทางการเมืองเสรีนิยม ที่เป็นปฏิกิริยาและผลผลิตของการพัฒนาในด้านการศึกษาและเศรษฐกิจทุนนิยมที่เติบใหญ่ ด้านหนึ่งสะท้อนถึงข้อจํากัดของระบอบการเมือง เผด็จอํานาจพ่อขุน อีกด้านหนึ่งแสดงถึงความปรารถนาของประชาชน ที่ต้องการได้รับสภาพสังคม สิ่งแวดล้อมอันเป็นประโยชน์ต่อคนและธรรมชาติอย่างเหมาะสม ความย้อนแย้งนี้ในเวลาต่อมาจะส่งผลต่อการให้กรอบคิดและอารมณ์ความรู้สึกแก่นิสิตนักศึกษา คนรุ่นใหม่ในทศวรรษ 2510 ซึ่งผลลัพธ์เหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจหรืออยู่ในจุดหมายของการพัฒนาเลย สิ่งที่ทางการอเมริกัน และรัฐบาลไทย ต้องการวางรากฐานทางความคิดให้แก่คนรุ่นใหม่ของสังคมไทยที่จะเป็นคนชั้นกลาง ดําเนินไปในหนทางที่สหรัฐอเมริกาและชนชั้นนําไทยกําหนดเป้าหมายและทิศทางไว้ คือ ต่อต้านลัทธิ “คอมมิวนิสต์” และส่งเสริมลัทธิความเป็นไทย ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาประเทศของจอมพลสฤษดิ์ จึงสะท้อนภาวะย้อนแย้งของพัฒนาการของรัฐไทย และระบอบทุนนิยมที่ขัดกัน

แม้การเมืองและเศรษฐกิจเติบโตและเปิดกว้าง ภายใต้พลังทางเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จึงเห็นได้ว่าเมื่อผู้นําพูดถึงการปฏิรูป มักมีแต่รูปแบบที่ลอกมาจากตะวันตก แต่ปราศจากเนื้อหาและคุณภาพที่สอดคล้องกับวิถีการปฏิบัติของคนไทยส่วนใหญ่โดยทั่วไป ดังที่นักวิชาการตะวันตกบางคนเรียกว่าประเทศไทย “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา” กล่าวได้ว่า ยุคพัฒนาในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งคล้ายคลึงกับการปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 หากแต่เปลี่ยนจากเดินตามเจ้าอาณานิคมตะวันตก เป็นการเดิมตามจักรวรรดินิยมอเมริกาแทน

มโนทัศน์ว่าด้วย “ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา” ความคิดความก้าวหน้าจากตะวันตกและสหรัฐฯ เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มปัญญาชน และนักศึกษาหัวก้าวหน้ามากขึ้น เนื่องจากเห็นสภาพสังคม ความรุนแรง และอารมณ์ความรู้สึกของการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย บริบททางการเมืองที่คุกรุ่นในยุค 14 ตุลา ความคิดและมโนทัศน์ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงมิได้มีแค่เหล่าชนชั้นนำเพียงอย่างเดียว หากมาจากสมาชิกและการรวมกลุ่มที่เรียกรวมๆ ว่า “คนรุ่นใหม่” ในอีกทางหนึ่งกระแสแนวความคิดลัทธิมาร์กซ์เป็นที่นิยมผ่านพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย สู่แกนนำนักศึกษาและกรรมกร นำไปสู่การเคลื่อนไหว แต่ความคิดแบบเอียงขวาของรัฐบาลหลัง 14 ตุลาคือการปฏิรูปแต่ไม่มีการสร้างและพัฒนาออกไปอย่างเป็นระบบ นอกจากเป็นเพียงคำขวัญและเครื่องมือสำหรับโจมตีและทำลายฝ่ายตรงข้ามที่เป็นพลังฝ่ายประชาชน ความคิดและอารมณ์ทางสังคมเริ่มเปลี่ยนแปลง เนื่องจากความทุลักทุเลของระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ทำให้ประสิทธิภาพการบริหารราชการโดยเฉพาะในระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นไม่เป็นที่พึ่งพอใจในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ในทางความคิด ปรากฏการณ์ “ลัทธิเสด็จพ่อ ร.5”  สะท้อนความหวังต่อระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน มีความหวังที่จะประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะยากเพียงใดก็ตาม 

รัฐประหารและการเมืองคนดี

มโนทัศน์ต่อมาก็คือความคิดว่าด้วยการเมืองคนดี การขึ้นมาของขบวนการเสื้อเหลือง พลังทางอุดมการณ์ทางการเมืองของกลุ่มนี้ไม่ใช่เพียงแค่ประชาชน และประชาธิปไตย แต่คือพระมหากษัตริย์ กับพุทธศาสนา หากน้ำหนักและความหมายโดยนัยทางการเมืองคืออยู่กับพระมหากษัตริย์แต่ฝ่ายเดียว สถานการณ์การประท้วงทวีความรุนแรงและตึงเครียด จึงนำไปสู่การรัฐประหารใน พ.ศ. 2549 สืบเนื่องมาจากการที่ฝ่ายผู้ประท้วง ได้สร้างเงื่อนไขทำให้การเจรจาตกลงกันกับฝ่ายรัฐบาลเป็นไปไม่ได้ นั่นคือการเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเป็นการเรียกร้องที่เกินกว่าฝ่ายรัฐบาลจะยอมรับได้ เนื่องจากไม่เป็นไปตามกฎหมาย และความถูกต้องตามกติกาของระบบประชาธิปไตย ในกรณีของ กปปส. (คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน นั่นคือฝ่ายประท้วงเคลื่อนไหวท้าทายรัฐบาลอย่างเปิดเผย

สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบ กปปส.

หลังจากการรัฐประหารปี 2557 หนทางเข้าสู่การปฏิรูปภายใต้รัฐบาล คสช. เราจะเห็นความอีหลักอีเหลื่อของการปฏิรูปอีกครั้งหนึ่ง คือ การปฏิรูปภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนคนไทย 4.0 ซึ่งได้กระชับอำนาจการปกครองมาไว้ในมือ ด้วยการร่วมมือกับนักธุรกิจและอดีตนักการเมือง สามารถสร้างแนวคิดและจุดหมายของการปฏิรูปออกมาได้ว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยอาศัยวิธีที่เรียกว่า “ประชารัฐ” คือรัฐกับเอกชนร่วมมือกันในการยกระดับคุณภาพการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ ที่เน้นเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นสำคัญ และใช้อำนาจพิเศษในการควบคุมประชาชน ที่น่าสนใจคือวิสัยทัศน์แผนการปฏิรูป มองว่านับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มาประเทศตกอยู่ในภาวะประชาธิปไตยเทียม ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ประชาธิปไตยเทียมก็คือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งเป็นสำคัญ

ประเด็นต่อมา คือ โมเดลประเทศไทย 4.0 ได้นำเสนอภาพการปฏิรูป และหนทางในการไปบรรลุเป้าหมายการออกแบบประเทศไทยใหม่ จุดหมายคือการเปลี่ยนจากประเทศรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง และเศรษฐกิจขับเคลือนด้วยนวัตกรรม ส่วนอุดมการณ์ที่มารองรับการปฏิรูป 4.0 เมือเปรียบเทียบยุคก่อนแล้วกลับมีลักษณะถดถอย และอนุรักษนิยม เน้นความมีเอกภาพและศูนย์กลาง ความคิดชาตินิยมที่เน้นหนักไปทางเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ อัตลักษณ์ความเป็นไทยที่ไม่เหมือนใคร และไม่ต้องฟังเสียงจากภายนอก ดังนั้น เมื่อผู้คนออกมาตั้งคำถามต่ออัตลักษณ์ความเป็นไทย และสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นเท่าไหร่ ฝ่ายรัฐบาลเองก็ยิ่งต้องปราบปราม ใช้เครื่องมือและกลไกมากขึ้นเท่านั้น

โดยสรุปแล้ว จะเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายมหาศาล และเห็นความอิหลักอิเหลื่อไม่ลงรอยในสังคมไทย ของเก่าไม่สามารถทิ้งออกไปได้ ของใหม่ก็ไม่สามารถรับมาได้อย่างเต็มที่ อาทิ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็ไม่สามารถปฏิวัติได้อย่างถอนรากถอนโคน กล่าวอย่างถึงที่สุด เส้นทางและความซับซ้อนของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงประเทศ จากความต้องการที่จะทันสมัยและเอกราช มาสู่ความหวังว่าจะเห็นประเทศมีความปรองดองบนความหลากหลาย ความคิดเรื่องการปฏิรูปมีมากมายมหาศาลในสังคมไทย เพียงแต่ขาดสภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ต้องการยอมรับความแตกต่างหลากหลายของทุกกลุ่ม และกลไกที่ไม่ถูกควบคุมบงการโดยรัฐในการทำหน้าที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศของเราจึงอยู่บนหนทาง "ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา"

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท