“ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” เป็นบทบัญญัติที่ได้รับรองสิทธิไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 29 วรรค 2 และ วรรค 3 แต่ไม่ใช่สิทธิสำหรับประชาชน ผู้ถูกดำเนินคดีการเมืองและคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
ภายหลังมีแถลงการณ์นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2563 ประกาศบังคับใช้กฎหมายทุกมาตรา เอาผิดกลุ่มคนที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง การดำเนินแจ้งความเอาผิดในมาตรา 112 กับประชาชนทุกภูมิภาคก็เพิ่มสูงขึ้น และจากการติดตามข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไปแล้วอย่างน้อย 1,886 คน ในจำนวน 1,159 คดี
ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 จนถึงวันที่ 21 ธ.ค. 2565 คดีมาตรา 112 ที่มีการพิพากษาในศาลชั้นต้นแล้ว จำนวน 17 คดี และมีคดีที่จำเลยรับสารภาพ โดยศาลมีคำพิพากษาแล้วอีก 13 คดี ในจำนวนดังกล่าวนี้ยังไม่มีผลทางคดีถึงที่สุด และในหลายๆ คดีกำลังต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา
การพิจารณาให้ประกันตัว เป็นอำนาจของศาลที่จะสามารถกำหนดเงื่อนไขใดๆ ให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 110 วรรค 3 ที่ได้บัญญัติให้การเรียกประกันหรือหลักทรัพย์ประกันจะเรียกจนเกินควรแก่กรณีไม่ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ซึ่งให้ดุลยพินิจศาลแล้วแต่กรณี
ศาลกำหนดเงื่อนไขประกันตัวเกินกว่ากรณี แม้คดีไม่ได้มีการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว ไผ่ — จตุภัทร บุญภัทรรักษา ในคดีชุมนุม #ม็อบ18พฤศจิกา63 เพราะไปพ่นสีใส่พื้นถนน ป้ายที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และไปพ่นทับกล้องวงจรปิดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดี พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และข้อหาอื่นกว่า 9 ข้อหา ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งดำเนินคดีตามมาตรา 112 แต่อย่างใด
ทั้งนี้ ศาลกำหนดเงื่อนไขประกันตัวไผ่ โดยมีใจความสำคัญระบุว่า“จากคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและพฤติการณ์ของจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไปก่อนหน้าแล้ว เชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี จึงเห็นควรอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างพิจารณา โดยให้วางหลักทรัพย์ 100,000 บาท ระบุเงื่อนไข ห้ามจําเลยทํากิจกรรมหรือกระทําการใดๆ ที่จะกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งห้ามกระทําการใดๆ อันเป็นการขัดขวางกระบวนพิจารณาคดีของศาล
ต่อมาวันที่ 29 พ.ย. 2565 ศาลอาญา ก็ได้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว ไดโน่ — นวพล ต้นงาม นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุฟ้า หลังพนักงานอัยการ จากสำนักงานอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้องคดี จากกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าร่วมการชุมนุม #ม็อบ19สิงหาไล่ล่าทรราช ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2564
ศาลได้ระบุคำสั่งที่มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขประกันตัวในคดีของไผ่ แม้ในคดีนี้ของไดโน่จะเป็นเหตุจากการชุมนุมเพื่อกดดันให้ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และอัยการไม่ได้สั่งฟ้องคดีมาตรา 112 กับจำเลย แต่ศาลยังกำหนดเงื่อนไขขยายไปถึงการกระทำที่ไม่เกี่ยวกับคดีด้วยว่าห้ามกระทำการที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนระบุให้แต่งตั้งผู้กำกับดูแลและนายประกันเป็นคนในครอบครัวเท่านั้น พร้อมกับวางเงินหลักทรัพย์กว่า 90,000 บาท
ตั้งมาตรฐานเงื่อนไขประกันตัวเข้มเกินกฎหมาย และเรียกเงินประกันชนเพดาน
ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญาฯ) มาตรา 108 วรรค 1 ระบุว่า "การสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว จะกระทำได้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรเชื่อเหตุใดเหตุหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี
- ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
- ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น
- ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันไม่น่าเชื่อถือ
- การปล่อยชั่วคราวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล
นอกจากนี้ ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยเรื่องการปล่อยชั่วคราวและวิธีการเรียกประกันในคดีอาญา พ.ศ.2565 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2565 ได้ออกข้อกำหนดเรื่องการกำกับดูแลและการเรียกดประกัน ในข้อ 8 ว่า แม้มีเหตุตามกฎหมายที่จะออกหมายขัง แต่หากศาลเห็นว่าการกำกับดูแลสามารถช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้นั้นจะหลบหนีหรือก่อภัยอันตราย หรือสร้างความเสียหายในระหว่างการประกันตัว ก็ให้มีคำสั่งปล่อยชั่วคราวได้
โดยใช้การกำกับดูแลและการเรียกประกันตามลำดับความเข้มงวด ดังนี้
- กำหนดเงื่อนำไขให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติ
- แต่งตั้งผู้กำกับดูแล
- ทำสัญญาประกัน
- ใช้อุปกรณ์กำไล EM
- เรียกหลักประกัน
ข้อบังคับดังกล่าวมีใจความสรุปได้ว่า หากศาลมีดุลยพินิจตามมาตรา 108 แล้วให้พิจารณาความเข้มงวดของการกำหนดเงื่อนไขใดๆ ให้ผู้ถูกปล่อยชั่วคราวปฏิบัติ ตามลำดับขั้นดังกล่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนและนักกิจกรรมที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองกลับไม่เป็นเช่นนั้น แต่ต้องเผชิญหน้ากับเงื่อนไขการประกันตัวที่เข้มงวดเกินกว่าข้อบังคับของประธานศาลฎีกาดังกล่าว จากการติดตามสถานการณ์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่าเงื่อนไขการประกันตัวในคดีการเมืองมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้
- ห้ามจำเลยกระทําการใดในลักษณะเช่นเดียวกับที่ถูกกล่าวหาตามฟ้องอันเป็นที่เสื่อมเสียแก่สถาบันพระมหากษัตริย์
- ห้ามเข้าร่วมในกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้ในบ้านเมือง
- ให้ติดกำไล EM
- กำหนดเวลาออกนอกเคหสถาน จนถึงการห้ามไม่ให้ออกนอกเคหสถานตลอด 24 ชั่วโมง
- ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
มีกรณีที่นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุฟ้า 7 คนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกว่า 57 วันจากกรณีถูกฟ้องว่าทำกิจกรรมสาดสีหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเรียกร้องให้ลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 ก่อนศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัวในวันที่ 12 ก.ย. 2565 พบว่าศาลได้กำหนดเงื่อนไขให้แต่งตั้งผู้กำกับดูแล,ติดกำไล EM และกำหนดเวลาออกนอกเคหสถาน ซึ่งจากกรณีของทะลุฟ้าได้ปรากฎเงื่อนไขที่เข้มงวดอยู่หลายประเภททั้งการให้ติดตั้งอุปกรณ์ติดตาม (EM) หรือการกำหนดเวลาออกนอกเคหสถานในช่วงเวลากลางคืน การใช้ดุลยพินิจของศาลดังกล่าว ก็ไม่ได้มีการลำดับความเข้มงวดหรือเป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาที่กำหนดไว้แต่อย่างใด
หรือในกรณีของ ‘แซม - แม็ก - มิกกี้บัง’ นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุฟ้า ที่ถูกฟ้องในข้อหามาตรา 112 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากกรณีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติบริเวณหน้าโรงเรียนราชวินิตมัธยม เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2564 ก่อนศาลอนุญาตให้ประกันตัวในวันที่ 22 พ.ย. 2565 โดยกำหนดเงื่อนไขการประกันตัวที่ค่อนข้างมีความเข้มงวด คือไม่ให้ใช้เงินประกันจากกองทุนราษฎรประสงค์ โดยระบุว่านายประกันและเงินประกันไม่เกี่ยวข้องกับผู้กำกับดูแล กล่าวคือไม่ใช่บุคคลในครอบครัวหรือมีสัมพันธ์กับจำเลย ก่อนที่ทนายจะยื่นคำร้องใหม่โดยใช้ทรัพย์สินของครอบครัวพวกเขาที่เป็นผู้กำกับดูแลไม่ใช่กองทุนราษฎรประสงค์ ศาลถึงอนุญาตให้ประกัน โดยให้วางหลักทรัพย์คนละ 100,000 บาท
ทั้งนี้ ตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยเรื่องการพิจารณาสั่งปล่อยชั่วคราวได้ระบุไว้อย่างชัดเจนในข้อ 5 ว่านายประกันที่เป็นครอบครัวกับจำเลย สามารถยื่นคำร้องประกันได้โดยไม่ต้องเสนอหลักประกันใดๆ มาพร้อมกับคำร้อง อีกทั้งข้อบังคับดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้ในเรื่องของการกำหนดวงเงินประกัน ในข้อ 18 ว่า ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจอนุญาตให้ประกัน โดยให้ผู้ขอประกันวางเงินสดหรือหลักทรัพย์เพียงจำนวนร้อยละ 20 จากจำนวนเงินประกันที่ศาลกำหนดก็ได้
แต่สำหรับคดีอาญาทางการเมือง โดยเฉพาะมาตรา 112 การวางเงื่อนไขและเรียกหลักทรัพย์ประกันมักจะเรียกเต็มจำนวน อย่างในกรณีของทะลุฟ้าทั้ง 3 คนข้างต้นจะเห็นได้ว่า แม้จะใช้นายประกันและผู้กำกับดูแลเป็นบุคคลในครอบครัว แต่ศาลก็ไม่ได้มีดุลยพินิจที่จะผ่อนปรนหลักทรัพย์ประกันตามข้อบังคับที่ประกาศใช้แต่อย่างใด
ความลักลั่นในคำสั่งและเงื่อนไขการประกันตัว ตามดุลยพินิจของศาล
ในปี 2565 นักโทษคดีการเมืองอย่าง “เอกชัย หงส์กังวาน” ซึ่งถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย.65 จากการถูกศาลชั้นต้นตัดสินลงโทษจำคุก 1 ปี ไม่รอลงอาญา ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หลังโพสต์เล่าเรื่องราวประสบการณ์ทางเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขออุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยศาลอุทธรณ์ยืนยันเห็นชอบกับบทลงโทษของศาลชั้นต้น ระบุว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นเห็นชอบแล้ว
เปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดี “เอกชัย” โพสต์เรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ | ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
การต่อสู้ของเอกชัยดำเนินต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ หลังทนายความเข้ายื่นประกันตัวเขาในระหว่างฎีกาคำพิพากษาแต่กลับพบว่าศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวถึง 5 ครั้ง ระบุเห็นว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนและยังถูกฟ้องอีกหลายคดี ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำคุกหนึ่งปี หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยอาจหลบหนี คดียังไม่เห็นสมควรได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา
ในวันที่18 พ.ค.2565 ศาลฎีกาได้รับรองคำร้องของเอกชัยที่ได้ขอแถลงข้อเท็จจริงในหลายประเด็น โดยในความสำคัญในคดีนี้ ได้แก่
1.ในคดีโพสต์เล่าเรื่องประสบการณ์เรื่องเพศสัมพันธ์ในเรือนจำ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ประกันตัว ด้วยเงินสดจำนวน 100,000 บาท แต่ศาลฎีกากลับปฏิเสธการให้ประกันตัวเรื่อยมา อีกทั้งในชั้นศาลฎีกา ได้วางเงินสดประกันตัวไปถึง 200,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมากเมื่อเทียบกับโทษจำคุก ที่เหลือเพียงแค่ 6 เดือน และยิ่งสูงมากเมื่อเทียบเป็นสัดส่วนกับคดีอื่นๆ ที่มีอัตราโทษจำคุกมากกว่า
2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 ว่าด้วยเรื่องของการคำนวนโทษ หากคำนวนตามข้อกฎหมายดังกล่าวแล้ว เอกชัยจะคงเหลือโทษจำคุกเพียง 6 เดือน คดีนี้มีประเด็นที่ได้ยื่นฎีกาต่อศาล คือเรื่องการคำนวณโทษจำคุกที่ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 โดยเอกชัยควรต้องโทษจำคุกเพียง 10 เดือน 20 วัน ไม่ใช่ 1 ปี ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งจะส่งผลให้เอกชัยยังคงเหลือโทษจำคุกเพียง 6 เดือน หลังจากถูกคุมขังมาตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 2565 ไม่ใช่ 7 เดือนเศษ และจะลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่ยังคงอยู่ในเรือนจำ
คำร้องดังกล่าวถูกยื่นไปถึงศาลฎีกา แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งปฏิเสธไม่อนุญาตให้ประกันตัวกับเอกชัยเป็นจำนวนกว่า 5 ครั้ง ถึงแม้ข้อเท็จจริงของเอกชัยจะมีมูลให้พิจารณาในเรื่องการคำนวนโทษใหม่ แต่ศาลยังคงระบุคำสั่งว่าจำเลยมีคดีติดตัวเป็นจำนวนมาก เลยเกรงว่าจะหลบหนี
เก็บตกหลังศาลฎีกามีคำสั่ง #ไม่ให้ประกันตัว “เอกชัย” เรื่องการคำนวณโทษจำคุก ที่จำเลยโต้แย้งในชั้นฎีกา
จนกระทั่งในวันที่ 19 ก.ย.2565 การพยายามยื่นประกันตัวของเอกชัยในครั้งที่ 6 ด้วยคำร้องเดียวกันก็เป็นผล เมื่อศาลฎีกาได้กลับคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวเอกชัยในระหว่างฎีกา ระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีกำหนดเพียง 1 ปี จำเลยต้องคุมขังมาระยะหนึ่งแล้วและได้รับอนุญาตให้ฎีกา จึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวระหว่างฎีกา ตีราคาประกันหนึ่งแสนบาท ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาหลักประกันและดำเนินการต่อไป”
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีของเอกชัย พบว่าคำสั่งของศาลฎีกาที่วินิจฉัยคำร้องขอประกันตัวในประเด็นเดียวกัน กล่าวคือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่มีการคำนวณโทษจำคุกผิดพลาด แต่ศาลให้เหตุผลคนละแบบ โดยในคำสั่งเดิมศาลไม่ให้ประกันตัวด้วยเหตุผล “เกรงว่าจะหลบหนี” เรื่อยมา แต่ในวันที่ 19 ก.ย.2565 หลังจากเอกชัยถูกคุมขังมา 5 เดือน ศาลจึงเห็นว่า “ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนี” และอนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งเป็นการสิ้นสุดการคุมขังกว่า 154 วันของเอกชัย
จากกรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความลักลั่นของศาลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการเปลี่ยนแปลงคำสั่งประกันตัวของผู้ต้องขังในคดีอาญาทางการเมือง ตลอดจนในกรณีอื่นๆ ที่ศาลตั้งเงื่อนไขการให้ประกันเข้มงวดเกินกว่าข้อกฎหมาย และเรียกหลักทรัพย์ประกันตัวแบบชนเพดาน หรือเต็มวงเงินสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ได้ ถึงแม้ประธานศาลฎีกาจะออกข้อบังคับให้มีความ ‘อลุ่มอะล่วย’ กับกรณีของคดีความอาญา
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับประชาชนผู้ซึ่งออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยตามสิทธิและเสรีภาพที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและถูกดำเนินคดี ตลอดจนการที่จำเลยในคดีอาญาทางการเมืองยืนยันต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด ไม่ได้นำพาให้ศาลมองเห็นความบริสุทธิ์ใจที่จะยืนยันต่อสู้ตามสิทธิที่ประชาชนคนหนึ่งพึงมีอย่างเท่าเทียมกันแต่อย่างใด แต่หากสร้างความซับซ้อน งุนงงและสร้างคำถามให้กับประชาชนในสังคมว่าการใช้ดุลยพินิจของศาลมีการแบ่งแยกระหว่างคดีความอาญาทั่วไป กับคดีความอาญาการเมืองหรือไม่
เรื่องที่เกี่ยวข้อง