เครือข่ายสื่อมวลชนร่วมกันยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง กมธ. ขอให้ชะลอการผลักดันร่าง พ.ร.บ.จริยธรรมสื่อฯ กังวลถูกตีความกฎหมายมาปิดกั้นการนำเสนอข่าวและประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนจากการได้รับงบจากกองทุนของรัฐทั้งที่สื่อต้องทำงานตรวจสอบรัฐ
24 ม.ค.2566 ที่รัฐสภา เกียกกาย ภาคีนักเรียนสื่อ สมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย (Thai Media for Democracy Alliance - DemAll) และ Change.com เข้ายื่นหนังสือชะลอขบวนการออก พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .… โดยมีณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ พรรคก้าวไกลเป็นผู้รับหนังสือในฐานะตัวแทนของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชนของรัฐสภา
อภิสิทธิ์ ชวานนท์ จากภาคีนักเรียนสื่อกล่าวว่า ตนคิดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน จึงขอแสดงจุดยืนความกังวลต่อร่างกฎหมายนี้ โดยมีข้อเรียกร้อง 2 ข้อ คือชะลอการพิจารณากฎหมายและให้จัดเวทีรับฟังความเห็นอย่างทั่วถึงรอบด้าน
ณัฐชา ตอบคำถามสื่อเรื่องแนวทางการจัดการกรณีอินฟลูเอนเซอร์หรือสื่อที่สร้างข้อมูลบิดเบือน ณัฐชาตอบว่า มีการตั้งกรรมการดูเรื่อง fake news ก็มีหลายความเห็น แต่ในข้อสรุปคือ ข้อมูลข่าวจริงและปลอม รัฐมีหน้าที่ให้ความรู้ว่าข่าวปลอมมีลักษณะแบบไหน สิ่งที่จะล้างข่าวปลอมคือข้อมูลที่ถูกต้อง การนำเสนอข่าวของอินฟลูเอนเซอร์นั้นเราไม่สามารถไปแก้ไขทำอะไรได้ เพราะบ่อยครั้งข่าวที่สร้างความเปลี่ยนแปลง หรือเป็นพยานหลักฐานในการจับผู้ร้ายก็เกิดจากอินฟลูเอนเซอร์หรือประชาชนเผยแพร่ข้อมูลกันเอง
สำหรับหนังสือของทางภาคีฯ ได้ให้รายละเอียดถึงข้อกังวลต่อร่างกฎหมายฉบับนี้ไว้ว่า ในร่างที่กำหนดข้อยกเว้นเอาไว้ว่าจะ “ต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งมักถูกรัฐตีความในทางจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากกว่า แม้ในมาตราเดียวกันจะรับรองเสรีภาพเอาไว้ก็ตาม
นอกจากนั้นยังมีข้อกังวลเรื่องกรรมการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนที่อาจจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการที่สภาต้องพึ่งพาเงินจากกองทุนของหน่วยงานรัฐต่างๆ ทั้งที่สื่อมวลชนจะต้องทำงานตรวจสอบรัฐ อีกทั้งกรรมการยังมาจากการสรรหาในแวดวงจำกัดด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจร่วมลง ยังสามารถร่วมลงชื่อผ่านลิงก์ด้านล่าง เพื่อนำยื่นต่อผู้ผลักดันร่างกฎหมายและรัฐสภาต่อไปได้ที่ แบบฟอร์มลงชื่อ
จดหมายเปิดผนึกจากนักวิชาชีพและนักวิชาการสื่อมวลชน
เรื่องข้อห่วงใยต่อสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนในการผลักดันร่าง พ.ร.บ.มาตรฐานวิชาชีพสื่อฯ
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .… เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ระบุเหตุผลในบันทึกหลักการและเหตุผลว่า “สมควรกำหนดให้มีองค์กรเพื่อทำหน้าที่คุ้มครองเสรีภาพของบุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติรับรอง และกำหนดให้มีการส่งเสริมจริยธรรมสื่อมวลชนเพื่อให้การทำหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพเป็นไปอย่างเหมาะสม”
สาระสำคัญของร่างกฎหมายนี้ คือ กำหนดให้มีองค์กรชื่อ ‘สภาวิชาชีพสื่อมวลชน’ ขึ้นมาทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานจริยธรรมของสื่อมวลชน พร้อมกำกับดูแลการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปตามมาตรฐานจริยธรรมนั้น โดยกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนจะประกอบด้วยตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อในปัจจุบัน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านต่างๆ อีก 5 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกโดยคณะกรรมการสรรหา พร้อมกับผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง อีก 1 คน รวม 11 คน
นักวิชาชีพและนักวิชาการสื่อมวลชน ดังรายนามท้ายจดหมายเปิดผนึก ได้พิจารณาแล้วเห็นพ้องกันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการรายงานข่าวสารของสื่อมวลชน รวมถึงสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข่าวสารของประชาชน จึงควรมีการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทั้งสื่อมวลชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างทั่วถึงเสียก่อน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภา จึงมีขอเรียกร้องร่วมกันดังต่อไปนี้
- ขอให้รัฐสภา ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องในการผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าว ชะลอกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายออกไปก่อน จนกว่าจะเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับข้อมูลและมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายฉบับนี้โดยทั่วกัน
- ขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนในฐานะผู้ที่มีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างทั่วถึงและรอบด้าน จากสื่อมวลชนที่มีสังกัดและสื่อภาคพลเมือง ทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ว่าจำเป็นจะต้องมีร่างกฎหมายเช่นนี้ออกมาหรือไม่ พร้อมจัดทำข้อคำนึงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาตามกระบวนการรัฐสภาต่อไป
พร้อมกันนี้ขอแสดงความกังวลต่อเนื้อหาในร่างกฎหมายที่ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้ว ดังนี้
- การจำกัดเสรีภาพของสื่อมวลชน : มาตรา 5 ของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว แม้จะรับรองเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็น “ตามจริยธรรมสื่อมวลชน” แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า “ต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ซึ่งที่ผ่านมาคำว่า “หน้าที่ของปวงชนชาวไทย” และ “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” มักถูกรัฐตีความอย่างกว้างขวางเพื่อใช้ในทางจำกัดเสรีภาพตลอดมา จึงทำให้เกิดข้อกังวลว่าจะกระทบต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย
- ผลประโยชน์ทับซ้อน : มาตราที่ 8 และ 9 ของร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดแหล่งรายได้ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนว่ามาจาก 7 ช่องทาง รวมถึงจากเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม, เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเงินที่ได้รับการจัดสรรโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ไม่ต่ำกว่าปีละ 25 ล้านบาท ขณะที่หลักการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนต้องเป็นผู้ตรวจสอบการดำเนินการของภาครัฐ เช่นนี้แล้ว สภาวิชาชีพสื่อมวลชนจะการันตีความเป็นอิสระจากภาครัฐได้อย่างไร หากมีแหล่งรายได้มาจากรัฐเสียเอง
- ไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วม : คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนนั้น มาจากการสรรหาของคณะกรรมการสรรหา ประกอบด้วยกลุ่มบุคคลในวงจำกัด ได้แก่
- คณบดี หัวหน้าภาควิชา หรือผู้แทนคณะหรือภาควิชาด้านนิเทศศาสตร์ หรือสื่อสารมวลชนในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่มิใช่มหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล คัดเลือกกันเองให้เหลือ 1 คน
- คณบดี หัวหน้าภาควิชา หรือผู้แทนคณะหรือภาควิชาด้านนิเทศศาสตร์ หรือสื่อสารมวลชนในมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล คัดเลือกกันเองให้เหลือ 1 คน
- คณบดี หัวหน้าภาควิชา หรือผู้แทนคณะหรือภาควิชาด้านนิเทศศาสตร์ หรือสื่อสารมวลชนในสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน คัดเลือกกันเองให้เหลือ 1 คน
- ผู้แทนองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนด้านสื่อหนังสือพิมพ์ ด้านสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ด้านสื่อออนไลน์ ซึ่งแต่ละด้านคัดเลือกกันเองให้เหลือด้านละ 1 คน
- ผู้แทนสหพันธ์องค์กรคุ้มครองผู้บริโภค จำนวน 1 คน
- ผู้แทนสภาทนายความ จำนวน 1 คน
- ผู้แทนกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) ตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จำนวน 1 คน
โครงสร้างของคณะกรรมการสรรหานี้ ไม่ได้ยึดโยงกับทั้งสื่อมวลชนและประชาชน แต่กลับมีอำนาจในการคัดเลือกคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนซึ่งจะมีบทบาทหน้าที่สำคัญ อาทิ เป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนของประเทศ, กำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชน, พิจารณาการขอจดแจ้งและเพิกถอนการจดแจ้งขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นบทบาทให้คุณให้โทษต่อสมาชิกและวงการสื่อมวลชน
นอกจากนี้เมื่อคัดเลือกมาแล้วก็ไม่มีกลไกเอื้อให้สมาชิกมีส่วนร่วมหรือตรวจสอบการทำงานของคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน ทั้งที่มีวาระดำรงตำแหน่งได้ถึง 4 ปี และเป็นติดต่อกันได้ 2 สมัย รวม 8 ปี ทำให้เกิดข้อกังวลว่า กลุ่มบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกโดยวงจำกัดเช่นนี้จะสามารถเข้ามาทำหน้าที่ในการส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพและปกป้องเสรีภาพสื่อมวลชน ควบคู่กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ได้จริงหรือไม่
กลไกการกำกับดูแลสื่อมวลชนจะออกมาเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องการฉันทามติจากสังคม ไม่ใช่เฉพาะจากแวดวงสื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ สื่อมวลชนในสังคมประชาธิปไตยถูกคาดหวังให้ตรวจสอบการทำงานและการใช้อำนาจของภาครัฐ จึงควรปิดช่องทางที่ภาครัฐจะเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ ทั้งนี้ เพื่อความเป็นอิสระของวงการสื่อมวลชน และเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศที่แท้จริง
ขอแสดงความนับถือ
เครือข่ายสื่อเสรี
ภาคีนักเรียนสื่อ
สมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย ( Thai Media for Democracy Alliance - DemAll) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตามรายชื่อแนบท้าย
รายชื่อแนบจดหมายเปิดผนึก
- เครือข่ายสื่อเสรี
- ภาคีนักเรียนสื่อ
- สมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย ( Thai Media for Democracy Alliance - DemAll)
- กรุณพร เชษฐพยัคฆ์
- กฤตนัน ดิษฐบรรจง ส่องสื่อ มีเดีย แลป / Modernist
- กานตชาติ เรืองรัตนอัมพร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- กิตติ พันธภาค Voice TV
- โกวิท โพธิสาร WAY Magazine
- จามร ศรเพชรนรินทร์
- จารุกิตติ์ ธีรตาพงศ์ ไทยพับลิก้า
- จิรัชญา ชัยชุมขุน The MATTER
- ชฎาพร ชัยขันธ์ Hi Cable TV
- ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม
- ฑิฆัมพร ธรรมเที่ยง Eyepress
- ณฐาภพ สังเกตุ ไทยพีบีเอส
- ณรรธราวุธ เมืองสุข
- ณฤดี จินตวิโรจน์
- ณัฐณิชา พิมพ์พาพ์
- ณิชากร ศรีเพชรดี
- ตติยา ตราชู
- ทศพล เพิ่มพูล
- เทวฤทธิ์ มณีฉาย หนังสือพิมพ์อิสระบนเว็บประชาไท
- ธนกร วงษ์ปัญญา THE STANDARD
- ธนชัย วรอาจ
- ธัญสิตา สิทธิสงวนพันธ์
- ธีรภัทร์ เจนใน
- นรรณพร แสนใจวุฒิ echo
- นราธิป ทองถนอม
- ปิยะโชติ อินทรนิวาส
- พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ The MATTER
- พชร์ โพธิ์พุ่ม
- พรทิพย์ อุทัศ
- พรพรรณ จันทร์แดง มหาวิทยาลัยพะเยา
- พรรษาสิริ กุหลาบ
- คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- พริสม์ จิตเป็นธมworkpointTODAY
- พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ สำนักข่าว Modernist
- พลอยรุ้ง สิบพลาง
- พัฒนา ค้าขาย
- พิชญ์ธรา แก้วก่อ เดลินิวส์
- ไพศาล ฮาแวTHE STANDARD
- ฟาห์เรนน์ นิยมเดชา ไทยพีบีเอส
- ภัทรา บุรารักษ์ มหาวิทยาลัยพะเยา
- มนต์ศักดิ์ ชัยวีระเดช
- มูฮำหมัด ดือราแม The PEN
- ยิ่งศิวัช ยมลยง
- รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์
- ฤทธิกร มหาคชาภรณ์ Voice TV
- วงศธร เลิศจรัส Voice TV
- วรพิพัฒน์ ลามพัด
- วรวัฒน์ ฉิมคล้าย THE STANDARD
- วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์
- วศินี พบูประภาพ workpointTODAY
- วิชยุทธ รัตนาวลีพงษ์
- วิชุดา ขวัญชุม
- วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ธรรมศาสตร์
- วีริสา ลีวัฒนกิจ
- ศิริมิตร ประพันธ์ธุรกิจ
- สุดารัตน์ พรมสีใหม่ The101.World
- สุภชาติ เล็บนาค The Momentum
- สุภาพร ธรรมประโคน
- หทัยรัตน์ พหลทัพ The Isaan Record
- อดิราช ท้วมละมูล
- อรสา ศรีดาวเรือง Way Magazine
- อริน เจียจันทร์พงษ์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.ศิลปากร
- อัฐพล ปิริยะ Patani Forum
- อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
- อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล workpointTODAY
- อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการสื่อสารมวลชน
- Suthep Sriwisalsilp
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)