‘สถาปัตยกรรม’ กับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษ เนรมิตสิ่งแวดล้อมใหม่ ด้วยหลักวิจัย

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เผย ‘สถาปัตยกรรม’ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กพิเศษ เนรมิตสิ่งแวดล้อมใหม่ ด้วยหลักวิจัยและผลการเปลี่ยนแปลงจากห้องทดลองทางวิชาการ

เมื่อช่วงเดือน มี.ค. 2566 หน่วยงานสื่อสาร สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) รายงานว่า “เด็กพิเศษ” หนึ่งในกลุ่มเปราะบางของสังคม ที่มีความต้องการพิเศษ จากสภาพความพิการ บกพร่อง หรือความแตกต่างทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ ที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจคุ้นเคยดีกับกลุ่มของ “เด็กออทิสติก” (Autism) ที่มีความผิดปกติของโครงสร้างหรือสารเคมีบางอย่างในสมอง ทำให้เกิดปัญหาด้านพัฒนาการทางภาษาและสังคม กับอีกกลุ่มคือ “เด็กดาวน์ซินโดรม” (Down syndrome) ที่มีความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ส่งผลให้มีใบหน้าเป็นลักษณะเฉพาะ และมีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติ

แน่นอนว่าเรื่องของการดูแลและให้การศึกษาสำหรับเด็กกลุ่มนี้ จำเป็นจะต้องอาศัยความรู้และทักษะความเชี่ยวชาญของตัวครู อาจารย์ หรือผู้ดูแล ที่จะต้องมีความเข้าใจและสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็กให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทย ได้มีการจัดระบบการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะการเรียนการสอนที่เฉพาะเจาะจง เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษ โรงเรียนเด็กพิเศษ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐ ภาคเอกชน โรงพยาบาลหรือมูลนิธิต่างๆ รวมไปถึงในลักษณะที่เรียนรวมกันกับเด็กปกติ หากแต่องค์ประกอบนี้ อาจไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะฟื้นฟูการเรียนรู้ของเด็กพิเศษ เพราะยังมีส่วนที่เป็น “สภาพแวดล้อม” ซึ่งจะเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของการช่วยทำหน้าที่นี้

ทีมวิจัยของ รศ.ดร.นวลวรรณ ทวยเจริญ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักวิจัยเครือข่ายสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงเดินหน้าทำการศึกษาและทบทวนวรรณกรรมในเบื้องต้น ภายใต้โครงการวิจัย การพัฒนาสภาพแวดล้อมศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษและโรงเรียนเด็กพิเศษที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาการ: เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กออทิสติก เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโควิด-19 ซึ่งพบว่ารูปแบบ “สถาปัตยกรรม” มีส่วนช่วยส่งเสริมการพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยเฉพาะเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาและออทิสติกได้จริง

ตัวอย่างกรณีศึกษาการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กออทิสติก ของวิทยาลัยสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้สร้างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสสำหรับเด็กออทิสติกสเปกตรัม (ASD) โดยสร้างโครงสร้างพื้นผิวที่นุ่มและยืดหยุ่นสำหรับการเรียนรู้ของเด็กออทิสติก หรือกรณีของสถาปนิกชาวออสเตรเลีย ได้ออกแบบโรงเรียนให้มีพื้นที่การเรียนรู้กลางแจ้งรอบๆ ลานสนาม ที่เชื่อมต่อกัน รวมทั้งเป็นพื้นที่ที่รับแสงแดดได้โดยตรง

ขณะที่การศึกษาการออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กดาวน์ซินโดรม ซึ่งการออกแบบโดยใช้โทนสีต่างๆ มีผลต่อการกระตุ้นพัฒนาการและการเรียนรู้ เช่น โครงการ “DOWN SYNDROME OF LOUISVILLE” ที่รัฐ

เครตักกี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการเลือกใช้บานเกล็ดภายในและพื้นที่สีเขียวทั้งหมด นอกจากนี้มีการเลือกการใช้สีโทนสดใสภายในอาคารเพื่อช่วยสร้างความสนุกสนานและประสบการณ์การเรียนรู้
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของงานศึกษาวิจัยต่างๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นของต่างประเทศ และพบว่าในประเทศไทยยังไม่มีการศึกษาประเด็นนี้อย่างจริงจัง ดังนั้นเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย ทางเครือข่ายนักวิจัย สวรส. จึงเดินหน้าพิสูจน์โดยการทดสอบในสถานที่จริง ณ ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่รับผิดชอบในการดูแลเด็กพิเศษกว่า 500 คน ใน 16 อำเภอของจังหวัดอยุธยา

ตัวอย่างแนวทางการออกแบบสภาพแวดล้อม

ภายในห้องเรียนเด็กออทิสติก

ภายในห้องเรียนเด็กดาวน์ซินโดรม

  • ใช้ผนังสีโทนเย็น เพื่อลดอาการก้าวร้าว ทำให้เด็กสงบและผ่อนคลาย ไม่ใช้ผนังห้องสีสด
  • ใช้ผนังสีส้ม เพื่อสร้างการกระตุ้นในเด็กให้ตื่นตัว และไม่ใช้ผนังห้องสีสด
  • จัดโต๊ะเก้าอี้แบบกลุ่ม และใช้สีสันที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นการจดจำ
  • โต๊ะเรียนหันหน้าเข้าหากันสองฝั่งเพื่อกระตุ้นพัฒนาการ และเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร
  • ไม่ควรมีกระจกภายในห้องเพื่อไม่ให้เด็กเกิดความสับสน
  • การมีหน้าต่างทำให้เกิดสิ่งเร้า ซึ่งจะส่งผลดีทำให้เด็กมีความกระตือรือร้น
  • ไม่ควรใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่ควรใช้หลอด LED และควรใช้สีของแสงโทนอบอุ่น
  • ไม่ควรใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ แต่ควรใช้หลอด LED และควรใช้สีของแสงโทนเย็น
  • มีมุมหรือห้องเงียบภายในห้องสำหรับปรับอารมณ์
  • มีมุมศิลปะเสริมสร้างทักษะด้านจินตนาการ

สีที่เหมาะสม : เขียว ฟ้า ชมพู เหลือง

สีที่เหมาะสม : เหลือง ส้ม เขียว ชมพู

สวนเด็กออทิสติก

สวนเด็กดาวน์ซินโดรม

  • ใช้สีโทนเย็น ช่วยในการปรับด้านอารมณ์
  • ใช้สีโทนร้อน ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้
  • เน้นเครื่องเล่นที่ฝึกกล้ามเนื้อเป็นหลัก และไม่อันตรายจนเกินไป
  • เน้นดินและทางเดินที่ไม่สูงและคดเคี้ยวจนเกินไป มีส่วนช่วยในการทรงตัว
  • Sensory Wall ลวดลายเป็นระเบียบ ช่วยในเรื่องของพัฒนาการได้
  • Sensory Wall มีลวดลายที่ซับซ้อน มีส่วนช่วยกระตุ้นการกระตือรือร้นได้

รศ.ดร.นวลวรรณ เล่าว่า ภายหลังการศึกษาและปรับปรุงห้องเรียนต้นแบบ พร้อมวัดผลก่อน-หลัง พบว่าพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 กลุ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และสภาพแวดล้อมที่ออกแบบใหม่นี้ยังมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ ได้อีกด้วย

“หลักๆ เราใช้วิธีกระตุ้นเด็กด้วยสีสันต่างๆ ที่ใช้ภายในห้อง การจัดวางโต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการใช้แสงสว่าง อย่างเช่น เด็กออทิสติกที่มักจะวอกแวก อยู่ไม่นิ่ง หรืออารมณ์รุนแรง ห้องที่เป็นลักษณะโทนเย็น ก็จะช่วยให้เกิดความสงบมากขึ้น ขณะที่เด็กดาวน์ซินโดรมที่มักอยู่นิ่ง ห้องในลักษณะโทนร้อน ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ มีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น” นักวิจัยอธิบาย

สำหรับผลการศึกษาที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการวิจัยฯ รศ.ดร.นวลวรรณ หวังว่าจะเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาสภาพแวดล้อมศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษ และโรงเรียนเด็กพิเศษแห่งอื่นๆ ที่เหมาะสมต่อไป

นางอำไพพิศ บุนนาค ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาพิเศษประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยอมรับว่า ที่ผ่านมาการดูแลเด็กพิเศษอาจมุ่งเน้นไปในส่วนของการศึกษา การพัฒนาบุคลากร และอาจลืมมองไปถึงรายละเอียดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี รูปทรง หรือการใช้แสงสว่าง จนเมื่อมีโครงการวิจัยฯ เข้ามา จึงทำให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลกับพัฒนาการของเด็ก

“พอเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้องเรียนก็ตื่นเต้นแทนเด็ก ด้วยสีสันที่เห็นได้ว่าช่วยจูงใจให้เด็กอยากเข้าห้องเรียน อย่างเด็กดาวน์ซินโดรมจะแสดงออกมาชัดเจนว่าตื่นเต้นกับห้องเรียนใหม่ เข้ามาลูบสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ขณะเดียวกันเราก็ได้ห้องเรียนที่เป็นระเบียบ โปร่งสบาย เหมาะกับการเรียนมากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น หรือในส่วนของสวน จากเดิมที่เป็นเพียงสนามเด็กเล่น พอมีเรื่องของสี มีความแตกต่างของผิวสัมผัสเข้ามา ก็ช่วยให้เด็กเล่นแบบมีเป้าหมาย ได้ประโยชน์จากการเล่นมากขึ้น” นางอำไพพิศ ระบุ

ผอ.ศูนย์ศึกษาพิเศษฯ ระบุด้วยว่า หลังจากเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ทางศูนย์ฯ จึงมีความตั้งใจที่จะนำไปพัฒนาห้องเรียนอื่นๆ ให้มีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กแต่ละกลุ่มต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ในส่วนของผู้ปกครองบางรายเอง ก็พบว่ามีความตั้งใจที่จะกลับไปปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในบ้านด้วยเช่นเดียวกัน หลังเห็นว่าลูกของตนมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ขณะที่ ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเด็กพิเศษหรือคนทั่วไป เป็นที่ทราบกันดีว่า สี นั้นมีผลต่อสภาพจิตใจของเราพอสมควร และงานวิจัยชิ้นนี้ก็ทำให้เราตระหนักได้ว่าสภาพแวดล้อมช่วยส่งผลต่อการเรียนรู้ และความปลอดภัยของเด็กพิเศษได้อย่างมาก อย่างไรก็ตามทาง สวรส. ยังอยากให้เกิดการช่วยกันคิดต่อ และมองอย่างเป็นเชิงระบบ ว่าเราจะขยายห้องเรียนเหล่านี้ไปสู่ที่อื่นๆ มากขึ้นได้อย่างไร

“อย่างที่นี่เป็นศูนย์ฯ หลักประจำจังหวัด และยังมีศูนย์ย่อยอยู่ในทุกอำเภอ จะมีการปรับแนวคิดเหล่านี้ไปสู่แห่งอื่นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน หรือในแง่ของการดูแลคนพิการด้านอื่นๆ จะสามารถปรับสภาพแวดล้อมการดูแลได้ด้วยหรือไม่อย่างไร ดังนั้นเราคงไม่หยุดแค่นี้ แต่ยังมีโจทย์ที่จะขยายผลต่อไปได้อีกมาก” ทพ.จเร กล่าว

ด้าน นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า เป้าหมายหลักของ สวรส. คือการให้ทุนเพื่อสนับสนุนการวิจัยในเชิงการแพทย์และสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็น ความพยายามหาคำตอบว่าช่องว่างอยู่จุดใด จำเป็นต้องไปปรับแก้นโยบายหรือกฎหมายอะไรบ้าง และอีกส่วนสำคัญคือการดำเนินการนำร่องเพื่อให้เห็นเป็นตัวอย่าง ที่จะสามารถนำไปสู่การขยายผลต่อไปได้มากขึ้น

“เมื่อมีการขยายผลมากขึ้น เราก็สามารถเรียนรู้ผ่านงานวิจัยได้มากขึ้น เช่นการเปรียบเทียบห้องเรียนที่ปรับกับที่ไม่ได้ปรับ หรือดูว่าผ่านไปในแต่ละปี พัฒนาการเด็กเป็นอย่างไร ดังนั้นระยะยาวจึงอาจเป็นในแง่ของการติดตาม และการถ่ายทอดองค์ความรู้งานวิจัยต่างๆ ไปสู่ที่อื่นๆ เพื่อการนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ต่อไป โดยงานวิจัยรวมทั้งความรู้ใหม่ๆ 

จะช่วยกระตุ้นให้สังคมรับรู้และเห็นความสำคัญของการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาการของเด็กพิเศษ และป้องกันโควิด-19 อย่างเป็นระบบและมีหลักวิชาการรองรับไปพร้อมกัน” นพ.นพพร ทิ้งท้าย

ข้อมูลจาก: 
โครงการวิจัย การพัฒนาสภาพแวดล้อมศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษและโรงเรียนเด็กพิเศษที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาการ: เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และเด็กออทิสติก เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ และโควิด-19, สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท