Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

การรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองในพม่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านมาครบรอบ 2 ปีแล้วที่กองกำลังของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจการปกครองโดยอ้างช่องว่างในรัฐธรรมนูญประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นำกำลังกองทัพเข้าควบคุมตัวนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ (State Counsellor) และผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy-NLD) ประธานาธิบดี วิน มยิ้น และผู้นำระดับสูงในพรรคอีกหลายคน นำมาสู่การปราบปรามประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างรุนแรง จนกระทั่งสงครามกลางเมืองและแนวรบตามแนวชายแดนมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากขบวนการเยาวชน นักศึกษา ปัญญาชน และประชาชนทั่วไปในเมืองใหญ่แล้ว ยังเกิดการผนึกกำลังลุกขึ้นต่อต้านของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆ ที่ไม่ยอมรับการยึดอำนาจการปกครองของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และพวก

หลังการปราบปรามอย่างหนัก ประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารหลายกลุ่มหนีออกจากหัวเมืองต่างๆ ไปเข้าร่วมกับกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ และตั้งเป็นกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People's Defence Force-PDF) และเกิดกลุ่มพันธมิตรระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ขึ้น โดยเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยง คะฉิ่น และฉิ่น เป็นต้น ปฏิบัติการของ PDF และพันธมิตรสร้างความเสียหายให้กับกองกำลังของ มิน อ่อง หล่าย อย่างมาก จนเกิดการเปิดฉากโจมตีฐานปฏิบัติการของ PDF และกองกำลังกลุ่มอื่นๆ เรื่อยมา ตั้งแต่รัฐกะฉิ่นในภาคเหนือ-รัฐกะเหรี่ยงทางตอนกลาง ภัยสงครามและการสู้รบที่รุนแรงขึ้นทำให้มีผู้อพยพที่หนีภัยสงครามเข้ามาตามแนวชายแดนไทยจำนวนมาก

ขณะที่แกนนำสมาชิกพรรค NLD และแนวร่วมหลังโดนรัฐประหาร โดยคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (Committee Representing PyidaungsuHluttaw-CRPH) 17 คน ซึ่งเป็นสมาชิกสมัชชาแห่งสหภาพ สภานิติบัญญัติของพม่าที่ถูกยึดอำนาจ ได้ประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นโดยใช้ชื่อว่า “คณะรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ”(National Unity Government-NUG) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2564  เรียกร้องนานาชาติให้การยอมรับรัฐบาลพลัดถิ่นแทนที่รัฐบาลของพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย โดยมีตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในคณะรัฐมนตรี รองประธานาธิบดีจากชาติพันธุ์คะฉิ่นนายกรัฐมนตรีชาติพันธุ์กะเหรี่ยงรัฐมนตรีกระทรวงความร่วมมือต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสหพันธรัฐ ที่เป็นตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ฉิ่น เป็นต้น

โดยรายชื่อคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลพลัดถิ่น ประกอบด้วย

ประธานาธิบดี อูวินหมิ่น, ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ออง ซาน ซูจี, รองประธานาธิบดี ดูว่า ละฉี, นายกรัฐมนตรี มันวิน ไข่ตัน

(1) กระทรวงกลาโหม รมว. อูเหย่มุ่น / รมช.กลาโหม ด่อขิ่นมะมะเมียว และไหน่กองยอด
(2) ศึกษาธิการ - รมว. ส่อเหว่โส่ / รมช. จ่าถ่อยป่าน
(3) รมว.สาธารณสุข - รมว. ส่อเหว่โส่ / รมช. ดร.ส่วยโป่ง
(4) รมว.กิจการสหพันธรัฐของสหภาพ - รมว. เลียนหม่อสาข่อง / รมช. อูชิดทุน และไมวินทุน
(5) รมว.การต่างประเทศ - รมว. ต่อสิ่น ม่านอ่อง / รมช. อูโมส่ออู
(6) รมว.กิจการภายในประเทศ และตรวจคนเข้าเมือง - รมว. อูละหวิ่น / รมช. ขู่แทบู
(7) รมว.มนุษยธรรม และการบริหารจัดการภัยอันตราย - รมว. วินเมียตเอ / รมช. หน่อทูพอ
(8) รมว.ความร่วมมือระหว่างประเทศ - รมว. ดร.ซาซา
(9) รมว.ทรัพยากร และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม - รมว. คาเลนทูฮอง / รมช. คุนบีทู​
(10) รมว.วางแผน การคลัง และการลงทุน - รมว. ทินทุนไหน / รมช. มินเส่ย่าอู
(11) รมว.กิจการสตรี วัยรุ่น และเด็ก - รมว. หน่อ ซูซานนา / รมช. ด่ออิติ่นส่าหม่อง

วิกฤตที่เกิดจากการรัฐประหารของกองทัพของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในครั้งนี้ ได้ทำให้เกิดการสามัคคีปรองดองระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ขึ้น เพื่อยืนหยัดต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าที่ถือเป็นศัตรูร่วมในสถานการณ์ แม้ว่าพม่ามีกลุ่มชาติพันธุ์หลักคือคนพม่าประมาณ 70% นอกนั้นเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆราว 135 กลุ่ม แต่มีกลุ่มใหญ่ๆ คือ ชาวโรฮิงญา ชาวยะไข่ ชาวมอญ ชาวไทใหญ่ ชาวกะเหรี่ยง คะฉิ่น คะยา ฉิ่นเป็นต้น โดยแต่ละชนกลุ่มน้อยก็มีสมาชิกจำนวนมากเป็นล้านคน ซึ่งพวกเขาอยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษก่อนรัฐบาลทหารจะสถาปนาสหภาพพม่าหลังได้รับเอกราชเสียอีก และที่ผ่านมามีสัญญาสงบศึกร่วมกัน

แต่ต่อมาสัญญาสงบศึกก็ถูกฉีกทิ้งเมื่อหลายกลุ่มปฏิเสธคำสั่งกองทัพทหารพม่า ที่เรียกว่า “ตัตมาดอว์” ซึ่งสั่งให้กลุ่มชาติพันธุ์หลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังป้องกันชายแดน (Border Guard Force) ภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ปี 2551 ที่กองทัพเป็นคนร่างขึ้น คะฉิ่นเป็นกลุ่มแรกที่ตัดสินใจฉีกสัญญาสงบศึก และจับอาวุธต่อสู้อีกรอบใหม่ในปี 2554 รัฐบาลของพลเอกเต็ง เส่ง ที่กองทัพให้การหนุนหลัง จึงเริ่มสัญญาสงบศึกรอบใหม่ขึ้นในปี 2556 และเจรจาจนกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ 8 กลุ่ม (จาก 15 กลุ่ม) ยอมลงนามด้วยในเดือนพฤศจิกายนปี 2558 โดยสัญญาสงบศึกครั้งสำคัญเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลอองซาน ซูจี ในปี 2561 เมื่อพรรคมอญใหม่ และสหภาพประชาธิปไตยลาหู่ (Lahu Democratic Union-LDU) ประกาศเข้าร่วมด้วย โดยมีการเปิดประชุมปางโหลงแห่งศตวรรษที่ 21 ขึ้นและเชิญกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาสงบศึกเข้าร่วม โดยมีนายบัน คีมูน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติในเวลานั้นมาเป็นสักขีพยาน

แม้ในช่วงเวลา 5 ปีของรัฐบาลอองซานซูจี ที่กำกับโดยกองทัพตัตมาดอว์อยู่ข้างหลังตามรัฐธรรมนูญ จะมีการประชุมปางโหลงเพียง 4 ครั้ง เพื่อนำไปสู่สหพันธรัฐ แต่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างก็มีความหวังว่าหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2563 จะเป็นโอกาสสานต่อการประชุมให้ไปสู่กระบวนการสร้างสันติภาพต่อไปได้ แต่ก็มาเกิดการยึดอำนาจโดย มิน อ่อง หล่าย และกองทัพทหารพม่าเสียก่อน

แม้ว่าหลายกลุ่มชาติพันธุ์ยังอาจจะมีความสงสัยคลางแคลงในความจริงใจของกลุ่มการเมือง เช่น พรรค NLD ของนางอองซาน ซูจีอยู่บ้าง จากการเป็นรัฐบาลในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีนโยบายรุกรานรัฐยะไข่และนำไปสู่การฆ่าล้างชาวโรฮิงญา ตามที่ “เจ้ายอดศึก” ผู้นำกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ในรัฐฉาน บอกกับนักข่าวว่า เขาให้การสนับสนุน CRPH ในระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่ใช่ทั้งหมด โดยเรียกร้องให้กองทัพพม่าหยุดใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ออกมาประท้วง และพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการก่อตั้งระบอบการเมืองใหม่หากสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ แต่หลายกลุ่มก็พร้อมเข้าร่วมกระบวนการประสานงานกัน แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างเพื่อร่วมกันต่อสู้กับกองทัพพม่า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสหภาพกระเหรี่ยงแห่งชาติ (Karen National Union-KNU) สภาฟื้นฟูรัฐฉาน (Restoration Council of Shan State-RCSS) กองทัพคะฉิ่นอิสระ (Kachin Independence Army-KIA) เป็นต้นอโดย “ดร.ซาซา” ทูตพิเศษประจำสหประชาชาติของ CRPH  ได้ออกมายืนยันว่า วิกฤติครั้งนี้ทำให้เกิดความสามัคคีเพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้คนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอ, ครู, นักศึกษา, วิศวกร และคนทำงานทั้งหลาย

ภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์

ปัจจุบันนี้ ในพม่ามีกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่ประมาณ 25 กลุ่ม โดยมีกองกำลังอาวุธตั้งแต่ 100 คนขึ้นไปจนถึง 30,000 คน โดยกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดน่าจะมีกองกำลังที่พร้อมสู้รบรวมกันประมาณ 70,000-100,000 คน ขณะที่กองทัพตัตมาดอว์ของพม่ามีกำลังพลอยู่มากกว่า 400,000 คน รวมถึงพลเรือนติดอาวุธหรือกองกำลังอาสาสมัครที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของกองทัพที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครันอีกกว่า 100,000 คน ความขัดแย้งครั้งนี้จึงอาจยืดเยื้อและสู้รบกันอีกยาวนาน หากไร้ซึ่งเวทีเจรจาระหว่างประเทศและหนทางสร้างสันติภาพร่วมกัน

ก่อนหน้านั้นหลังรัฐประหารไม่นาน มีการประท้วงติดต่อกันโดยคณะกรรมการเพื่อการประท้วงหยุดงานทั่วประเทศ (GSCN) ซึ่งจัดตั้งขึ้นมาโดยเยาวชนที่เป็นตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ 27 กลุ่มในพม่า ขบวนการนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากซึ่งผู้ประท้วงส่วนใหญ่มาจากชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ที่หลากหลาย รวมตัวกันเพื่อเป้าหมายร่วมกันในการขับไล่ระบอบเผด็จการของ มิน อ่อง หล่าย และให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2551 และเรียกร้องสหพันธรัฐประชาธิปไตยพม่า รวมถึงให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมทางการเมือง กลุ่มชาติพันธุ์คิดไปถึงเรื่องการมีระบอบการเมืองในแบบที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมและอิสระในการปกครองตนเอง ขณะที่สมาชิก NLD ส่วนใหญ่ยังคงเน้นเรื่องการให้ปล่อยตัวผู้นำพรรคและการจัดตั้งรัฐบาล นี่คือความต่างของกลุ่มชาติพันธ์กับพรรคการเมืองในระดับแนวทางเชิงโครงสร้าง-สถาบันทางการเมืองในพม่าในห้วงเวลาตั้งแต่ก่อนหน้านี้มาถึงปัจจุบัน

ระหว่างการต่อสู้ยืนหยัดของกองกำลังพิทักษ์ประชาชน PDF ในห้วงที่ผ่านมา กองทัพทหารพม่าเปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มฝ่ายต่อต้านอย่างหนัก โดยเฉพาะหมู่บ้านในฐานที่มั่นของสหภาพกะเหรี่ยงแห่งชาติ(KNU) อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากเสียชีวิต และอีกนับหมื่นชีวิตอพยพหนีภัยสงครามข้ามแดนมายังฝั่งไทย และถูกผลักดันกลับไปหลายครั้ง ทำให้สถานการณ์แนวรบด้านตะวันตกของประเทศไทยไม่เปลี่ยนแปลง ความขัดแย้งครั้งนี้ได้ทำลายความหวังริบหรี่ที่จะเห็นสันติภาพของพม่าดับลงเรื่อยๆ  กองทัพคะฉิ่นอิสระ (KIA) บอกกับสำนักข่าว Myanmar Now ว่า ในเมื่อกองทัพพม่าไม่ได้หยุดปฏิบัติการปราบปรามผู้ประท้วง พวกเขาก็จำเป็นต้องเปิดฉากโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาลบ้างเพื่อเป็นการตอบโต้ กองทัพพม่าจึงตัดสินใจเปิดศึกกับกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างเป็นทางการและเกิดการสู้รบอย่างดุเดือดในหลายพื้นที่

โดยเฉพาะแถบเมืองเมียวดี บริเวณพรมแดนที่ติดกับจังหวัดตาก โดยองค์กรป้องกันแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNDO) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทัพกะเหรี่ยงที่อยู่ภายใต้สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ยาวไปจนถึงบริเวณจังหวัดผาปูน ตรงข้ามอำเภอสบเมย และอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนของประเทศไทย เจ้าหน้าที่ KNU ให้ข่าวกับสื่อมวลชนไทยว่าอีกสาเหตุหนึ่งของการโจมตีรัฐกะเหรี่ยงและรัฐมอญเกิดจากการที่ KNU ไม่ยอมเปิดเส้นทางให้กองทัพพม่าส่งเสบียงไปให้ทหารตัตมาดอว์ ขณะที่พื้นที่ชั้นในที่เป็นที่ตั้งกองทัพและชุมชนชาติพันธุ์ มีคนหนุ่มสาวจากหัวเมืองใหญ่รวมถึงศิลปิน ดารา นางแบบ นักร้อง ต่างเดินทางเข้ามาร่วมฝึกอาวุธและตั้งใจที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่าของรัฐบาลพลัดถิ่นและกองกำลังพันธมิตรชนกลุ่มน้อยยังคงดำเนินต่อไป สงครามภายในพม่ายังคงหอมกลิ่นควันปืนไม่ต่างจาก 30 กว่าปีก่อนตามแนวรบริมชายแดนและแนวป่า ท่ามกลางการปราบปรามของกองทัพตัตมาดอว์ที่นำโดยพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และการเมืองระหว่างประเทศที่เป็นหลังผิงของเผด็จการทหารพม่า และฝ่ายประชาธิปไตย เช่น จีน รัสเซีย สหรัฐฯ และตะวันตก ซึ่งสุดท้ายสงครามภายในของพม่าอาจจะกลายเป็นสงครามตัวแทนของมหาอำนาจภายนอกไปด้วย ท่ามกลางความคาดหวังที่ประเทศไทยและอาเซียนควรมีบทบาททางการทูตในการสร้างสันติภาพและประชาธิปไตยในพม่า โดยยืนหยัดหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างเคร่งครัด

หลังพิงส่วนหนึ่งของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และผู้นำกองทัพพม่า คือ กลุ่มทุนธุรกิจและพันธมิตรที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจของพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติในแผ่นดินพม่าที่มีเครือข่ายใหญ่โตและอุปถัมภ์รัฐบาลทหารพม่าเสมอมา และในปัจจุบันพม่ายังคงเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจากอัฟกานิสถาน หรือมีสัดส่วนเป็น 10% ของการผลิตทั้งหมดในโลก ตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ

สตีเวน ลอว์ (Steven Law) บุตรชายของ โล ซิง ฮัน อดีตราชายาเสพติดโลกผู้ล่วงลับ กลายมาเป็นผู้มีบารมีที่สุดคนหนึ่งที่คอยเดินตามคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผู้นำกองทัพ เขาเป็นผู้อำนวยการบริหารกลุ่มธุรกิจ Asia World แทนพ่อ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดของพม่าในปัจจุบัน ที่เติบโตขึ้นจากสัญญาสัมปทานจำนวนมากมายจากรัฐบาลทหารพม่า ทั้งการก่อสร้างท่าเรือ ทางหลวง สนามบิน และอาคารสำนักงานของรัฐบาล ขณะเดียวกัน Asia World ก็เป็นนายทุนสนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าไปในตัว ขณะเดี่ยวกันก็เข้าหาพรรค NLD ในช่วงที่ร่วมเป็นรัฐบาลด้วย

ต่อมาเขาแต่งงานกับซีซิเลีย อึง (Cecilia Ng) นักธุรกิจหญิงชาวสิงคโปร์ เงินทุนจากการค้ายาเสพติดบางส่วนได้ผนวกกับเงินทุนใหม่ถูกยักย้ายถ่ายเทสู่โลกธุรกิจตะวันตก รวมทั้งสู่ตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ สิงคโปร์ซึ่งพัฒนาตัวเองสู่ความเป็นศูนย์กลางตลาดทุนในเอเชียถูกวิจารณ์ว่าเป็นแหล่งฟอกเงินให้กับพ่อค้ายาเสพติดและเผด็จการคอร์รัปชั่นในภูมิภาคไปโดยปริยาย จนกระทั่งในปี 2551 จอร์จ ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศคว่ำบาตรบริษัทธุรกิจ 10 แห่งของชาวสิงคโปร์ ที่มีสายสัมพันธ์โยงใยกับราชายาเสพติดที่โลกรู้จักดีและเป็นฐานการเงินให้แก่คณะรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปกครองพม่า

สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศ (Office of Foreign Assets Control-OFAC)  กล่าวหาว่า บริษัทธุรกิจ 10 แห่ง รวมทั้งบริษัทบริษัทการค้าและการลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่าง Golden Aaron Pte Ltd  ซึ่งมี ซีซิเลีย อึง พลเมืองสิงคโปร์เป็นเจ้าของ เป็นฐานสนับสนุนทางการเงินสำคัญแก่ระบอบเผด็จการทหารพม่า นอกจากนั้น กลุ่มบริษัทดังกล่าวยังมีชื่อร่วมอยู่ในกลุ่มบริษัทที่เซ็นสัญญาเพื่อสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติกับรัฐบาลทหารพม่าด้วยเช่นกัน

กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ยังระบุชื่ออีก 9 บริษัทของ ซีซิเลีย อึง ซึ่งครอบคลุมธุรกิจ อุตสาหกรรมและบริการ อย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ด้านบริการการเงิน อสังหาริมทรัพย์ อาหาร จนถึงการค้าทั่วไป ซึ่งได้แก่บริษัท G A Ardmore Pte Ltd, G A Capital Pte Ltd, G A Foodstuffs Pte Ltd, G A Land Pte Ltd, G A Resort Pte Ltd, G A SentosaPte Ltd, G A Treasure Pte Ltd, G A Whitehouse Pte Ltd และ S H Ng Trading Pte Ltd

นอกจากมาตรการขึ้นบัญชีดำ สตีเวน ลอว์ และซีซิเลีย อึง ยังมีการขึ้นบัญชีดำบริษัทโรงแรมและการท่องเที่ยวอีก 2 แห่ง คือ Aureum Palace Hotels and Resorts กับ Myanmar Treasure Resorts ของกลุ่มตู๋ (Htoo Group) อันเป็นอาณาจักรธุรกิจของนายเทย์ซา (TayZa) ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินแอร์พุกาม หรือ แอร์บากาน (Air Bagan) ด้วย หลังจากปลายปี 2550 ได้มีการขึ้นบัญชีดำนายเทย์ซา กับบริษัทธุรกิจของกลุ่มตู๋จำนวน 3 แห่งที่มีสำนักงานในสิงคโปร์ จนสายการบินแอร์พุกามต้องยุติการบินเส้นทางย่างกุ้ง-สิงคโปร์ 

ข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิลีกส์ยังได้เปิดเผยเอกสารจากทางการสหรัฐระบุถึง  สตีเวน ลอว์ ว่า เป็นบุคคลที่รู้จักกันในแวดวงธุรกิจของพม่า ในฐานะเจ้าพ่อธุรกิจรายใหญ่ (Regime"s Top Crony) โดยบริษัท Asia World ของเขาประสบความสำเร็จในด้านการก่อสร้างและค้าขายมากที่สุดในประเทศ เขาและภรรยายังถือหุ้นจำนวนมากให้อาคารสำนักงาน โรงแรม และซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวนมากในนครย่างกุ้ง และยังมีธุรกิจที่มีผลประโยชน์ในสิงคโปร์ ไทย และจีน โดยเฉพาะท่าเรือ Asia World ที่อยู่ใกล้กับนครย่างกุ้งศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งยังได้สัมปทานจากรัฐบาลพม่ามูลค่าเกือบหมื่นล้านบาทให้เข้ามาพัฒนาสนามบินนานาชาติ ประจำนครย่างกุ้ง นอกจากนี้ยังได้สัมปทานเส้นทางด่วนในประเทศ และเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ร่วมลงทุนสร้างเมืองใหม่อย่างเมืองเนย์ปิดอว์ ให้กับรัฐบาลเพื่อเป็นศูนย์กลางประเทศในปัจจุบัน

การเติบโตของธุรกิจสีเทาเหล่านี้ หลายคนอาจนึกถึงกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้ามาเติบโตและสร้างอาณาจักรเศรษฐกิจสีเทาในประเทศไทยไม่มากก็น้อยและอาจมีวิถีการเติบใหญ่ไม่แตกต่างกัน จากการเข้าหาผู้มีอำนาจทางการเมือง คนมีสีในกองทัพและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจ และอาจไม่ต่างจากกลุ่มทุนไทยหลายกลุ่มที่เข้าไปมีธุรกิจภายในพม่าด้วยเช่นกัน โดยอาจมีทั้งธุรกิจสีเทาที่ทำการทุจริตและหรือธุรกิจที่ทำอย่างโปร่งใสตามกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดหลักธรรมาภิบาล แต่ไม่สนใจการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายใน

ดังกรณีที่มีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา กรณีสมาชิกวุฒิสภาไทยบางคนเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาในฝั่งพม่า โดยหลายคนถูกตั้งข้อหาค้ายาเสพติดและฟอกเงินร่วมกันกับนายตุน มิน ลัต (Tun Min Latt) นักธุรกิจชื่อดังชาวพม่า ที่ทำธุรกิจเหมืองแร่ พลังงานไฟฟ้า ก่อสร้าง การเงิน อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและกาสิโนที่ จังหวัดท่าขี้เหล็ก ริมชายแดนไทยฝั่งอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่า ตุน มิน ลัต เป็นคนสนิทของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย หัวหน้าคณะรัฐประหารในพม่า องค์การสหประชาชาติระบุว่าเขามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนรัฐบาลทหารของมิน อ่อง หล่าย ทั้งบริจาคเงิน เป็นนายหน้าจัดหาอาวุธ เอื้อผลประโยชน์สร้างความร่ำรวยให้กับบรรดานายพลและพวกพ้องบริวาร ทำให้ระบอบทหารในพม่าเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ตุน มิน ลัต ถูกจับในไทยเมื่อเดือนกันยายน 2565 โดย ป.ป.ส. ขยายผลการจับยาเสพติดล็อตใหญ่จนพบว่าเส้นทางการเงินเชื่อมโยงถึง เขาถูกตั้งข้อหาค้ายาเสพติดและฟอกเงิน สามารถอายัดทรัพย์สินในเครือข่ายของเขาได้กว่า 1,800 ล้านบาท โดยกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่รณรงค์เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในพม่า (Justice For Myanmar) ได้เผยแพร่ภาพถ่ายและแผนผังความสัมพันธ์ของเขากับสมาชิกวุฒิสภาไทยผู้หนึ่งซึ่งถูกแต่งตั้งเป็น 1 ใน 250 ส.ว. โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องในขบวนการค้ายาเสพติด โดยจัดตั้งบริษัทขึ้นมา 3 แห่ง เพื่อฟอกเงินที่ได้จากการค้ายา ได้แก่ บริษัทเมียนมาอัลลัวร์ กรุ๊ป (จดทะเบียนในพม่า) บริษัทอัลลัวร์กรุ๊ป (จดทะเบียนในไทย) และบริษัทอัลลัวร์พีแอนด์อี (จดทะเบียนในไทย) แต่ต่อมาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดีที่จับกุมตุน มิน ลัต ถูกสั่งย้ายไปต่างจังหวัด ทั้งที่ได้รางวัลปราบปรามยาเสพติดดีเด่น และก่อนหน้านั้น พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย นำคณะทหารไทยเข้าร่วมหารือกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพม่า ในการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee-HLC) ไทย–พม่า ครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 19-21 มกราคม 2566 ณ เมืองงาปาลี รัฐยะไข่

นอกจากนี้ อาจมีธุรกิจร่วมกันอีกหลายอย่างของบรรดานายพลทั้ง 2 แผ่นดิน ตั้งแต่ภายหลังที่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เริ่มนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าในอินโดจีน และยังคงมีธุรกิจการลงทุนในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐ และบริษัทมหาชนต่างๆ อีกหลายโครงการด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจผลิตและสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งควรเป็นทรัพยากรส่วนรวมของคนไทยและคนพม่าร่วมกันไม่มากก็น้อย แต่วันนี้ทรัพยากรต่างๆ ของชาติทั้งสองกลายเป็นผลประโยชน์ร่วมกันจากความร่วมมือของกลุ่มทุนไทยกับนายพลอาวุโสของพม่าเท่านั้นหรือไม่? ประชาชนได้ส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจอย่างไรภายใต้ความขัดแย้งในปัจจุบัน

เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นมา คณะกรรมการเคลื่อนไหวประท้วงเพื่อประชาธิปไตยในทวาย (Democracy Movement Strike Committee-Dawei : DDMSC) ได้เดินรณรงค์แจกใบปลิวชักชวนประชาชนที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของจังหวัดทวาย ภาคตะนาวศรี โดยเฉพาะในเมืองลองโลง ประเทศพม่า ให้ออกมาร่วมประท้วงการทำธุรกิจ บอยคอตสินค้าและแบรนด์ของบริษัท ปตท. (PTT) และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่งเป็นกิจการพลังงานยักษ์ใหญ่จากประเทศไทย

เนื้อหาในใบปลิว ระบุว่า ทั้ง PTT และ PTTEP เป็นแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนกองทัพพม่า ซึ่งได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซาน ซูจี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ในใบปลิวระบุว่า PTTEP ถือหุ้นอยู่ 25.5% ในแหล่งแก๊สยาดานา 19.3% ในแหล่งเยตากุน และ 80% ในแหล่งซอติกา เงินค่าสัมปทานที่ PTTEP จ่ายให้รัฐบาลทหาร ทำให้กองทัพพม่ามีเงินไปใช้ซื้ออาวุธ เครื่องบิน และเฮลิคอปเตอร์ที่นำมาใช้โจมตี เข่นฆ่า กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาล มิน อ่อง หล่าย

รูปแบบความเคลื่อนไหวของ DDMSC ตลอด 3 วันที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนกันในทุกเมือง โดยกลุ่มนำจะชูสามนิ้ว ถือธงรูปนกยูงสีเหลืองบนพื้นสีแดง อันเป็นสัญลักษณ์ของพรรค NLD เดินไปยังย่านชุมชนตามเมืองต่างๆ เช่น ในตลาดสด จากนั้นให้ทีมงานเดินแจกใบปลิวซึ่งพิมพ์โลโกของ PTT กับ PTTEP ที่มีรูปกากบาทสีแดงทับไว้ ทีมงานอีกส่วนหนึ่งจะชักชวนให้ประชาชนออกมาร่วมเดินประท้วงบนท้องถนน อีกส่วนหนึ่งเดินนำใบปลิวไปติดไว้ตามจุดต่างๆ ที่มีผู้คนมองเห็นได้ชัด

ขณะที่ฝั่งจังหวัดท่าขี้เหล็ก ชายแดนไทยตรงข้ามอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เมื่อคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เกิดเหตุระเบิดกลางเมืองท่าขี้เหล็กกลางดึก ถึง 3 จุด รวม 5 ลูกใกล้ที่ตั้งสำนักงานพรรคสหสามัคคีและพัฒนา (USDP) ที่สนับสนุนรัฐบาลทหารพม่า ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน  โดยคาดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มประชาชนผู้ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าที่กำลังสู้รบกันอยู่

เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงประเมินเบื้องต้นทราบว่าระเบิดที่ปะทุเป็นแบบแสวงเครื่อง หรือวางลูกระเบิดเอาไว้แล้วกดรีโมตจากกลุ่มกองกำลังไม่ทราบฝ่าย แต่คาดว่ามาจากกลุ่มกองกำลังปกป้องประชาชน PDF ที่ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คนแต่ไม่มีผู้เสียชีวิต

วันนี้การต่อสู้ของรัฐบาลพลัดถิ่นและกองกำลังพันธมิตรชนกลุ่มน้อย กับรัฐบาลทหารพม่ายังคงไร้ซึ่งหนทางไปสู่สันติภาพ ฝ่ายต่อต้านไม่อาจยอมรับการเลือกตั้งใหม่ภายใต้กองทัพที่อาจจะมีในปีนี้และเรียกร้องให้ยอมรับผลการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อปลายปี 2563 สถานการณ์สู้รบและสงครามกลางเมืองในพม่าจะยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกนาน ตราบใดที่ประชาคมโลกยังคงยึดถือเพียงผลประโยชน์ของตนเองจากหลังพิงของอำนาจและเงินตรา และมองนโยบายความมั่นคงภายในของตนเองจากภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยละเลยการปกป้องหลักการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนร่วมกันอย่างเข้มแข็ง

แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง..

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net