Skip to main content
sharethis

มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม เสนอแนะด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน 4 ประเด็นที่สำคัญต่อรัฐบาลเศรษฐา 'การสมานไมตรีทางการเมือง-สร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้-ส่งเสริมการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย-ยุติโทษประหารชีวิต'

6 ก.ย. 2566 มูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม แจ้งข่าวว่าในโอกาสการเข้าบริหารราชการของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มูลนิธิฯ จึงมีข้อเสนอแนะด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน 4 ประเด็นที่สำคัญ โดยระบุว่ามูลนิธิสันติภาพและวัฒนธรรม (Peace and Culture Foundation) ถือกำเนิดจากกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม (กศส.) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2519 และได้จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษา วิจัย และดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้ง การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และสนับสนุนการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ในโอกาสการเข้าบริหารราชการของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน  มูลนิธิฯ จึงมีข้อเสนอแนะในด้านสันติภาพและสิทธิมนุษยชน ดังนี้

1. ข้อเสนอเพื่อการสมานไมตรีทางการเมือง

ที่ผ่านมาแม้รัฐบาลหลายรัฐบาลจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมาหลายชุด และมีข้อเสนอมากมายในเชิงหลักการ แต่ทว่ายังมีข้ออ่อนในทางปฏิบัติคือ ขาดกระบวนการและกิจกรรมเพื่อความปรองดองและการสมานไมตรีที่กว้างขวางและต่อเนื่อง มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

1.1    แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อ (1) ศึกษาและเสนอแนะนโยบาย มาตรการ กลไก และวิธีการแปลงเปลี่ยนความขัดแย้งอย่างสันติและสร้างสรรค์ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน และเพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของความบาดหมางใหม่ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง (2) พัฒนาและจัดให้มีกระบวนการถกแถลงที่เปิดกว้างต่อสาธารณะ โดยอาศัยการสื่อสารทั้งต่อหน้ากันและผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อแสวงหาความเห็นพ้องในสังคม ในประเด็นที่อาจเป็นข้อขัดแย้งระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงกรณีที่รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 77 วรรคสอง และ (3) พัฒนาและจัดให้มีกระบวนการคนกลางเพื่ออำนวยความสะดวกในการพูดคุยระหว่างภาคีความขัดแย้งที่เอื้อต่อการแสดงออกอย่างเสรี เป็นธรรม และปลอดภัย ทั้งนี้ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างกัน อันนำไปสู่การยอมรับคุณค่าของการอยู่ร่วมกันโดยเคารพความแตกต่าง

1.2 ดำเนินการให้มีการนิรโทษกรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา ผู้ต้องหา จำเลย หรือนักโทษคดีการเมือง โดยเฉพาะผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการเมืองโดยสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ตลอดจนนักโทษทางความคิด ความเชื่อ หรือผู้ที่ถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดีเพราะเหตุผลทางการเมือง

1.3 มีมติเรื่องการจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อถามความเห็นจากประชาชนว่าเห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนหรือไม่ ทั้งนี้ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่เปิดให้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองที่เอื้อต่อการสมานไมตรีดังกล่าว

2. ข้อเสนอเพื่อการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้

กระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และมีเป้าหมายไม่เฉพาะเพียงการยุติความรุนแรงทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างความยุติธรรม ความเสมอภาค และการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

2.1 ทบทวนการประกาศใช้กฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ตามหลักการของมาตรา 77 วรรคหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายทั้งสองฉบับและกฎหมายด้านความมั่นคงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทันสมัย เกิดความสมดุลในการปฏิบัติระหว่างความมั่นคงของประเทศ สังคม และชุมชน บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย

2.2 ทบทวนโครงสร้างการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ใหม่ เพื่อลดความซับซ้อนและดำเนินตามหลักการควบคุมโดยพลเรือน (Civilian Control) โดยขอให้ศึกษาและกำหนดความสัมพันธ์ของหน่วยงานพลเรือนและทหาร เพื่อให้ร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิผลอันจะนำไปสู่สันติภาพและความยุติธรรม

2.3 จัดให้มีเวทีปรึกษาหารือเพื่อเปิดพื้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงหรือผู้มีบทบาททั้งด้านการใช้ความรุนแรงและด้านส่งเสริมสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งผู้นำด้านการทหารและการเมือง ผู้นำทางสังคมและธุรกิจ และผู้นำชุมชนและประชาสังคม เพื่อนำไปสู่การสร้างภาพอนาคตหรือยุทธศาสตร์ร่วมกัน และนำเสนอผลการหารือดังกล่าวสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้ที่ตัดสินใจเชิงนโยบายในกระบวนการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งในระดับพื้นที่และระดับชาติ

2.4 ยุติการเก็บสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ (DNA) ของผู้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร รวมทั้งของเด็กและเยาวชนตามโรงเรียนและสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้โรงเรียนและสถานศึกษาตลอดจนพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นพื้นที่ปลอดภัย

2.5 ยอมรับและเคารพในความเป็นพหุวัฒนธรรมของสังคมไทย ขจัดอคติและการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ ศาสนา และดำเนินมาตรการในการป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร การโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้เกิดความเกลียดชังทางเชื้อชาติและศาสนาไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด ทั้งหน่วยงานของรัฐจะต้องไม่สนับสนุน การกระทำดังกล่าว ไม่ว่าในทางหรือรูปแบบใด ๆ รวมทั้งประกันการเคารพ ยึดถือ และปฏิบัติ ซึ่งสิทธิในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม รวมทั้งวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ตัวอย่างการส่งเสริมพหุวัฒนธรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี อาทิ การริเริ่มด้านทักษะวัฒนธรรม (Cultural Fluency) ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร การเรียนการสอนแนวทวิ/พหุภาษา (Bi/Multilingual Education) ของสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยมหิดล และการสร้างความสัมพันธ์ข้ามศาสนา (Interfaith Relations)  เป็นต้น

3. ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และตามพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

3.1 เร่งรัดหน่วยงานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ได้จัดทำระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ หรือคำสั่ง ตลอดจนการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายลำดับรองของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565

3.2 ให้มีการประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคม ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมทั้งพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้อง

3.3 ร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคมและผู้ได้รับผลกระทบจากการทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อดำเนินมาตรการให้หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวอย่างเข้มงวดและจริงจัง รวมทั้งการติดตามตรวจสอบกรณีสูญหายที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายนี้ใช้บังคับ

4. ข้อเสนอเพื่อการยุติโทษประหารชีวิต

ด้วยการประหารชีวิตเป็นการลิดรอนสิทธิในการมีชีวิต (Right to Life) ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และยังเป็นการปิดโอกาสมิให้ผู้ถูกลงโทษได้กลับตัวกลับใจ อีกทั้งในกรณีการตัดสินคดีที่มีข้อผิดพลาด ก็ย่อมทำให้ไม่สามารถคืนความยุติธรรมแก่ผู้ถูกลงโทษได้ มูลนิธิฯ จึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดำเนินการ ดังนี้

4.1 ยุติโทษประหารชีวิตซึ่งจะแทนที่ด้วยโทษจำคุกตลอดชีวิต และในระหว่างที่ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องนี้ ขอให้พักการบังคับโทษประหารชีวิตไปพลางก่อน

4.2 จัดให้มีการศึกษาและยกร่าง “พ.ร.บ.การใช้โทษจำคุกตลอดชีวิตแทนโทษประหารชีวิต พ.ศ….” เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโทษทางอาญาจากโทษประหารเป็นจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้ ด้วยความเคารพสิทธิในการมีชีวิต ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงความจำเป็นที่จะปกป้องสังคมจากอาชญากรรมร้ายแรง ตลอดจนการเยียวยาผู้เสียหายโดยตรงจากอาชญากรรมดังกล่าว
 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net