อ.อับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ)
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน
ระหว่างวันที่ 19 - 25 มกราคม 2552 ผู้เขียนและคณะจำนวน 35 คน จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ห้าจังหวัดได้มีโอกาสศึกษาดูงานเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในระบบปอเนาะในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย โครงการนี้เป็นโครงการร่วมระหว่างกระทรวงต่างประเทศของไทยและสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทยโดยตั้งชื่อโครงการ "พัฒนาความคิด ยกระดับจิตสำนึกที่สร้างสรรค์ภายใต้ภาวะวิกฤต" โดยได้นำคณะโต๊ะครู ผู้ช่วยโต๊ะครู ผู้บริหารโรงเรียน สมาชิกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ศึกษาดูงานระบบการจัดการศึกษาในระบบปอเนาะว่าเขาจัดระบบอย่างไรที่จะสามารถดำรงวิถีวัฒนธรรมความเป็นมลายูมุสลิมที่สามารถเผชิญกับกระแสยุคโลกาภิวัตน์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม
เหตุผลที่ได้จัดทำและตั้งชื่อโครงการดังกล่าวนั้นนายกสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทยนายนิมะนาเซ สะมะอาลีได้อธิบายให้ผู้เขียนให้ฟังว่า
"ปัญหาใน จังหวัดชายแดนที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ ได้สร้างผลกระทบในหลายๆ ด้าน ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ผลกระทบเหล่านี้ได้สร้างปัญหาต่อเนื่องมากมาย โดยในทางสังคมผู้คนบางส่วนได้เปลี่ยนความคิดในทางสร้างสรรค์และร่วมเกื้อหนุนในสิ่งดีๆ ต่อกัน มาเป็นการมุ่งร้าย คิดเชิงทำลายล้าง ซึ่งบ่อยครั้งของปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดโดยการจัดตั้งและไม่มีการเตรียมการ หากแต่เป็นการกระทำที่เกิดจากอารมณ์แห่งความเคียดแค้นจากภายในจิตใจ การเยียวยาที่ดีและสอดคล้องกับวิถีชาวบ้าน จึงไม่ใช่แค่เพียงการมอบเงิน หากแต่จะต้องสร้างระบบทางความคิด เปลี่ยนแปลงทัศนคติ รวมทั้งต้องทำให้เกิดระบบทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะต้องให้ทุกองคาพยพที่มีในท้องถิ่นเข้ามีส่วนร่วม บนพื้นทางของการพึ่งพาและร่วมสร้างความเข็มแข็งในชุมชนตนเองมากกว่าการพึ่งพาจากหน่วยงานหรือองค์กรภายนอก"
"สถาบันปอเนาะถือเป็นสถาบันทางจิตใจที่สำคัญของชาวบ้านในท้องถิ่นจังหวัดชายแดนภาคใต้ การพัฒนาและยกระดับสถาบันปอเนาะก็หมายถึงการพัฒนาประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกเช่นเดียวกัน จึงต้องสร้างระบบคิดและการจัดการสมัยใหม่ภายใต้บริบททางทรัพยากรและวัฒนธรรมในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ปัญหาต่างๆ ลดน้อยลงไปหรืออาจจะหมดไปในที่สุด"
"ในการบรรลุสู่เป้าหมายดังกล่าว สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย (ยมท) เห็นว่า การสร้างคุณภาพใหม่ของผู้ได้รับผลกระทบ ของสถาบันทางจิตใจที่สามารถหลอมรวมความคิดของชาวบ้าน (ปอเนาะ) ซึ่งเป็นบุคลากรที่ผู้ได้รับผลกระทบต้องพึ่งพา ได้พบปะ และร่วมพัฒนาความคิด จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยทุเลาปัญหาและความรุนแรง พร้อมทั้งสร้างวิสัยทัศน์แห่งการพัฒนา วิสัยทัศน์แห่งการพึ่งพาตนเอง ร่วมเกื้อหนุนเพื่อสิ่งดี ๆ ในชุมชนตนเอง โดยผ่านการเรียนรู้ตรงจากองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และมีวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกันในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป้าหมายหลังจากการศึกษาดูงานนั้นคิดว่าจะสามารถพัฒนาให้เกิดสถาบันแห่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นที่มีทั้งความทันสมัยก้าวทันโลก และสอดคล้องกับบริบทในท้องถิ่นเป็นการยกระดับความคิด พัฒนาศักยภาพ การทำงาน ตามบทบาทของแต่ละคนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ"
เพื่อบรรลุในเป้าหมายดังกล่าว การศึกษาดูงานครั้งนี้จึงวาง กำหนดการดังนี้กล่าวคือ จะเริ่มตั้งแต่ปอเนาะอัลยันดารามี รัฐเซลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย และบินตรงไปประเทศอินโดนีเซียเพื่อพบเลขาธิการอาเซี่ยน ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เจ้าหน้าที่สถานฑูตไทยประจำกรุงจาการ์ตาเพื่อฟังการบรรยายสรุปการดำเนินงานของสถานทูตไทกับนักศึกษาไทยในประเทศอินโดนีเซีย ก่อนจะไปตามสถาบันต่างๆเช่น สำนักงานใหญ่องค์กรมูฮัมมาดียะห์ ปอเนาะดารุลอัรกอม ปอเนาะดารุตเตาฮีดเมืองบันดุงประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับปอเนาะอัลยันดารามี รัฐเซลังงอร์ ประเทศมาเลเซียเดิมเป็นสถาบันสอนศาสนาอิสลามแก่ชุมชนโดยมีโต๊ะครู( ปราชญด้านศาสนาอิสลามเป็นผู้ก่อตั้ง) ชัยค์ มูฮัมมัดฮาฟิซ หะยีสลามัต ในปี ค.ศ. 1985 ซึ่ง ให้ความสำคัญกับการให้การศึกษากับเยาวชนและชาวบ้าน
ลักษณะเด่นของปอเนาะนี้นอกจากเป็นแหล่งสอนศาสนาอิสลามในรูปแบบปอเนาะกับเยาวชนและชาวบ้านนั้นคือการจัดตั้งมูลนิธิเพื่อบริหารจัดการด้านการศึกษา เศรษฐกิจและสังคม ด้านการศึกษานอกจากการสอนด้วยระบบปอเนาะ ทางสถาบันได้เปิดการเรียนการสอนในระบบโรงเรียนในระดับปฐมวัยและประถมศึกษาซึ่งใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการบูรณาการกับอิสลามศึกษา ด้านสังคมนั้นทางสถาบันได้เปิดศูนย์สงเคราะห์คนวัยทองโดยจัดสร้างหมู่บ้านคนวัยทองขึ้นและให้คนเหล่านี้ได้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา บางคนเป็นผู้เรียน บางคนมีความสามารถเป็นทั้งผู้เรียนด้านศาสนาและยังเป็นอาสาสมัครช่วยสอนนักเรียน เยาวชนและชาวบ้าน
ด้านเศรษฐกิจนั้นได้จัดตั้งสหกรณ์ขึ้นเพื่อเลี้ยงตนเองและเป็นรายได้หลักในการบริหารจัดการมูลนิธินอกจากเงินบริจาค
ในระบบสหกรณ์ที่นี้นั้นมีหลายกิจกรรมและธุรกิจที่ได้ดำเนินการเช่นร้านค้า โรงแรม การท่องเที่ยวเชิงศาสนาและวัฒนธรรม การบริการฮัจญ์และอุมเราะห์ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในขณะเดียวกันในอนาคตนั้นสหกรณ์ยังมีความต้องการทำธุรกิจด้านเกษตรกรรม น้ำมัน
กิจกรรมเด่นที่นี่อีกชิ้นหนึ่งคือทุกปีจะมีการจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการของบรรดาโต๊ะครูจากกลุ่มประเทศอาเซี่ยนรวมทั้งประเทศไทยและโลกอาหรับ
สิ่งที่ได้รับและข้อคิดจากการจัดการของสถาบันแห่งนี้ถึงแม้จุดเริ่มต้นของที่นี่เริ่มด้วยปอเนาะ
1. ภาวะผู้นำของโต๊ะครู
โต๊ะครูที่นี่ใช้การบริหารในรูปแบบการจัดการความรู้ เป็นเสมือน"คุณอำนวย"(Knowledge Facilitator) ในการ "จุดไฟ ใส่ฟืน" การดำเนินการจัดการความรู้แก้ปัญหาความไม่รู้ทั้งด้านศาสนาและสามัญพร้อมทั้งแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจให้องค์กร สมาชิกขององค์กรสามารถพึ่งตนเองได้และแก้ปัญหาความยากจน โดยลูกศิษย์ สมาชิกและชุมชนระดับแกนนำคอยเป็น "คุณกิจ" (Knowledge Practitioner) ซึ่งไม่ได้แยกกันทำเป็นคนๆ แบบต่างคนต่างทำ เหมือนขนมชั้น แต่มีการรวมหมู่รวมกลุ่มกันทำและบูรณาการงานเปรียบเสมือนข้าวยำ(หรือขนมซูรอของภาคใต้) ใช้ความเป็นชุมชนที่มีความชื่อถือต่อบุคลิกของโต๊ะครู เป็นเครื่องมือ
การดำเนินการจัดการบริหาร เป็นกิจกรรมที่ต้องทำเป็นกลุ่มที่มีทั้งดุลยภาพและประสิธิภาพ ไม่ใช้ความเด่นของโต๊ะครู ความเด่นของแกนทำคนคนเดียว แต่ละครั้งเมื่อมีการทำกิจกรรมเสร็จหรือก่อนทำครั้งใหม่จะมีการประชุม ใน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การแบ่งปันความรู้
เป้าหมายขององค์กรชัดเจนคือทุกกิจกรรมเพื่อความโปรดปรานต่อพระเจ้า การศึกษาคือเครื่องมือในการดำเนินชีวิตที่ไม่คิดแยกส่วนระหว่างศาสนธรรมกับวิชาการแขนงต่างซึ่งเปรียบเสมือนหัวปลา โต๊ะครูซึ่งเป็น"คุณอำนวย" ที่เข้ามา ร่วมกันเป็นเจ้าของ "หัวปลา" คือร่วมกันทำงาน เพื่อให้ "คุณกิจ" บรรลุการแก้ปัญหาการศึกษาสังคมและเศรษฐกิจโดยเฉพาะความยากจนและการอยู่รอดขององค์กรโดยลำเข่งของตัวเองซึ่งเป็นปัญหาของสถาบันปอเนาะส่วนใหญ่
โต๊ะครูสามารถให้ชุมชนรู้สึกว่าเป็นเจ้าของ "หัวปลา" ตัวจริง คือ "คุณกิจ"
2. การบริหารชุมชนด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อม
ที่นี่มีการการบริหารชุมชนทั้งด้านกายภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีมาก การบริหารชุมชนเอื้ออาทรแบบบูรณาการ มีมัสยิดที่สร้างโดยเงินมูลนิธิเป็นหลักเป็นศูนย์กลางการอบรมด้านจิตวิญญาณ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน สมาชิกชุมชนมีวินัย มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีคุณภาพชีวิตที่ดีมีโอกาสในการสร้างรายได้และ/หรือลดค่าใช้จ่าย บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เอื้ออาทรกันต่อกัน เคารพสิทธิของผู้อื่น ชุมชนมีความเข้มแข็ง มีศักยภาพและมีความสามารถบริหารจัดการด้วยระบบองค์กรชุมชนของตนเองได้ ทั้งนี้โดยใช้บริหารจัดการด้วยระบบองค์กรชุมชนในรูปนิติบุคคลซึ่งอยู่ภายใต้มูลนิธิ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)