พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงใช้ ม.44 เพื่อไม่ให้หลบหนี ยืนยันไม่มีรุนแรงเพราะสวัสดีก่อนเชิญตัว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ย้ำว่าต้องใช้มาตรา 44 เพราะไม่อย่างนั้นหลบหนีไปหมด แจงไม่มีการล็อกคอหรือซ้อม ก่อนควบคุมตัว จนท.สวัสดีทุกครั้ง ขั้นตอนสอบสวนถ่ายวิดีโอไว้หมด เตือนใครที่อ้างว่าถูกซ้อมถูกขู่ให้ระวัง เพราะว่าพูดเท็จ โอดมีคนที่ต้องการให้ทหารจับเรื่อยๆ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าทหารใจร้าย

13 พ.ค. 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดในงาน นายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู ที่อิมแพค เมืองทองธานี ขอร้องไม่ให้ครูตะโกน "นายกฯ สู้ๆ" ขอให้ปรบมือให้กับตัวเองก็พอ (ที่มาของคลิป: thaigov.go.th)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานและกล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง “การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา” ในงานนายกรัฐมนตรีพบเพื่อนครู ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี (ที่มา: เว็บไซต์รัฐบาลไทย)

13 พ.ค. 2559 ในรายการ คืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศเมื่อ 13 พ.ค. นั้น ในรายงานของเว็บไซต์รัฐบาลไทย ตอนหนึ่ง พิธีกรถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า "ท่านนายกรัฐมนตรีคะอีกประมาณ 2 เดือนกว่า วันที่ 7 สิงหาคมนี้ค่ะ ประเทศไทยก็จะทำการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วนะคะ แล้วในขณะนี้ก็ยังมีความขัดแย้งเกิดขึ้นอยู่ ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอะไรในเรื่องนี้บ้างไหมคะ"

โดย พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า วันนี้ก็กำลังมีเรื่องเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย การจับกุม สิทธิมนุษยชนอะไรต่างๆที่ถูกบิดเบือนไปนะ ผมเอาเรื่องนี้มาก่อน ก่อนที่จะไปเรื่องประชามติ เรื่องของการที่จะใช้คำว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องดูว่าขั้นตอนตรงไหน ถ้าพูดถึงว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยปกติมากนัก การเข้าไปเพื่อจะให้เกิดการสืบสวน ก็ต้องเข้าไปหาตัวผู้กระทำความผิด หรือผู้ถูกกล่าวหา อันนี้อาจจะต้องใช้กฎหมายพิเศษ ไม่อย่างนั้นมันไปหมดนะ หนี หนีทุกครั้งหนีก่อนทุกครั้ง คือเข้าซอยก็ไปแล้ว ฉะนั้นก็ต้องใช้การดำเนินการ แต่ไม่ใช่ไปล็อกคอ ไปซ้อมเขาออกมา ไม่ใช่เลย ไปสวัสดีครับ ทำความเคารพแล้วเชิญมาหน่อยนะครับ เขาก็มากันทุกคน พอมาเสร็จก็เข้าไปสู่กระบวนการสอบสวน อันนี้คือสิ่งที่แตกต่างจากปกตินิดหนึ่ง เพราะเราใช้มาตรา 44 ในเฉพาะบางกรณีด้วยนะ ไม่ใช่ทุกเรื่อง ถ้าบางเรื่องก็เป็นการใช้กฎหมายปกติ จับกุมดำเนินคดีก็เหมือนคดีทั่วๆไปก็มีอยู่ทั้งคู่สองอย่าง เรื่องนี้มันไม่เยอะ มาตรา 44 เฉพาะเรื่องที่ประกาศไว้แล้วว่าอย่าทำเท่านั้นเอง

คราวนี้การละเมิดสิทธิมนุษยชนจะเริ่มตอนไหน ถ้าเราจับกุมเขาด้วยวิธีการละมุนละม่อม ไม่ไปใช้กำลัง ไม่ไปใช้อาวุธถ้าเขาไม่ใช้อาวุธโต้ตอบ ก็จบตรงนั้นแล้วนะ แล้วต่อไปก็จะมาดูสิว่าสิทธิมนุษยชนจะใช้การคุมตัว สอบสวน ซ้อมหรือเปล่า บังคับขู่เข็ญเขาหรือเปล่า ผมก็ให้ตรวจสอบก็ไม่มี จะเห็นได้ว่ามีการถ่ายรูป มีการถ่ายวิดีโอไว้หมด ในสถานที่ควบคุมทำไมไม่ดูตรงนั้นล่ะ จะให้ดูก็ไม่ดูหรือดูแล้วก็ไม่สนใจ เขาถ่ายไว้หมดล่ะครับตั้งแต่เอาไปวันแรกจนวันสุดท้ายเขาเก็บไว้หมด เพราะฉะนั้นใครที่มาละเมิดมากล่าวอ้างว่าถูกซ้อม ถูกขู่ ก็ระวังก็แล้วกัน วันหน้าก็ผิดอีกล่ะเพราะว่าพูดเท็จ ก็ไปเห็นนอนหลับกันสบายทุกคนใช่ไหม 1 วัน 2 วัน บางทีก็ไม่พูดอะไร นอน คือ Ignore ไม่รู้ไม่ชี้ ก็กว่าจะได้คำตอบใช่ไหม เสร็จแล้วพอสอบสวนเสร็จอะไรเสร็จก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ถ้าเขาไม่ผิดสอบสวนแล้วไม่ใช่ เขาเข้าใจผิดเราก็ใช้นิติศาสตร์ไปด้วย แต่อย่าลืมรัฐศาสตร์ด้วยใช่ไหม จะเห็นว่าให้อภัยกันหลายครั้ง ก็ผิดซ้ำๆเรื่องเดิม เจตนาอะไรก็รู้อยู่ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องอดทน เจ้าหน้าที่ก็ต้องก็อดทนกับเขามากเลยนะ เพราะทำอะไรก็โดนอยู่แล้วใช่ไหม แล้วยิ่งถ้าเขาไม่ได้ทำอย่างที่ว่า ยิ่งเสียใจนะ เจ้าหน้าที่เสียใจไม่ได้ทำอย่างที่ว่า แล้วถูกต่อว่าอะไรมาตลอดเวลาเพราะฉะนั้นผมก็เลยบอกว่า เจ้าหน้าที่ต้องอดทนรับฟังเขาบ้างแล้วก็ชี้แจงทำความเข้าใจกับเขา บ้างครั้งการเรียกตัวมาไม่ได้เรียกมาทำอะไรเลยมาอธิบาย เรียกมาถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องทำอย่างนี้ ถ้าดูแล้วเขาไม่ได้เจตนา หรือเจตนาดีก็เอาล่ะ เราก็ปล่อยไปเถอะ แต่ถ้าเขายังมาด้วยเจตนาที่ต้องการให้จับ คือด้วยทางรัฐศาสตร์จับแล้วให้ปล่อย ก็อยากให้จับอีก ผมไม่เข้าใจน่ะ แต่ผมเข้าใจอย่างเดียวว่าเจตนาไม่ดี ให้เราจับไปเรื่อยๆแล้วก็โน่นไปถึง (ให้มีภาพออกมา) ให้มีภาพออกมา ประชาชนทั้งประเทศก็ดูว่าทหารใจร้าย

วันนั้นก็เห็นอยู่อันนะผมก็คิดว่ามันเกินไปนะ คือเขาพยายามที่จะเอาตัวออกมาจากพื้นที่ชุมนุม ชุมชน ที่ประชาชนเยอะๆ แล้วก็เป็นผู้หญิงใช่ไหม แล้วประชาชนก็เริ่มด่าว่าไม่ชอบ มาทำให้เขาวุ่นวายขายของไม่ได้ ไอ้พวกไปประท้วงกันไม่กี่คนหรอก คนกลุ่มเดิม ปรากฏว่าพอตำรวจพาไปขึ้นรถตำรวจหญิง เขาเป็นผู้หญิง นั่งลงไปอย่างนั้น นั่งอยู่ อยู่ดีๆก็ปล่อยตัวหงายท้องลงไป ให้เกิดภาพความรุนแรงกล้องก็ถ่ายกันพรึบพรับ ๆ อันนี้มันล้มไปเอง (ตำรวจ)เขาก็บอกอย่าล้มๆ อย่าแกล้งๆ ผมก็ได้ยินอยู่นะทำไมแยกแยะกันไม่ออก ทำไมสื่อไม่ดูล่ะ แล้วก็มาบอกว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปโน่นย้อนกลับไปตั้งแต่จับแต่แรก ก็จับตั้งแต่แรกเขาจับเพราะอะไร ก็ถ้าไม่ทำความผิดเขาจะไปจับได้ไหมเล่า ดีไม่ดีการจับตอนนี้มันก็ต้องมีทั้งสองอย่างก็คือ ถ้าเป็นคดีที่ประกาศไว้ด้วย ด้วยกฎหมายเดิม หรือทุกวันนี้ที่เขาใช้มาตรา 44 ที่ประกาศไว้แล้ว เป็นกฎหมายนะทุกอัน เรายังผ่อนผันเมตตาหลายครั้งเลย แล้วทำไมยังทำอย่างนี้อยู่ ทำให้เกิดภาพความรุนแรงทั้งที่เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย เขาแทบจะอุ้มขึ้นรถไปด้วยซ้ำไป นี้ก็ปล่อยตัวล้มแผละๆนะ บางทีก็ดูไม่สุภาพบ้าง นุ่งกระโปรง ซึ่งผมดูแล้วมันขัดแย้งนะ ใจผมก็เมตตานะ อีกใจหนึ่งผมก็ไม่ชอบแบบนี้ผมเป็นทหารหรือใครชอบล่ะ มีใครชอบไหม

ฝากว่าช่วยกันเคารพกฎหมายนะครับ ไม่ว่าจะกฎหมายอะไรก็ตาม กฎหมายมีไว้เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขก็มีแค่นั้น มีกฎหมายที่ไหนที่เขียนไว้รังแกคน อย่างเช่นวันนี้ก็ถูกกล่าวอ้างว่าในห้วงการทำประชามติรัฐบาลก็เริ่มใช้กฎหมายมากขึ้น เพื่อจะบังคับคนให้เลือกตั้งให้ผ่านรัฐธรรมนูญอะไรทำนองนี้ จะไปใช้ได้อย่างไร วันนี้ทำได้แต่เพียงว่าถ้าทุกคนมีเจตนาบริสุทธิ์ไปชี้แจงทำความเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีตรงไหนที่แตกต่างบ้าง แต่ต่างอย่างไร เหตุผลเพราะอะไร จบแล้ว แค่นี้ ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าดีไม่ดีก็ประชาชนเป็นคนเลือกเอง ฟังแล้วก็คิดแล้วก็ไปตัดสินใจเองว่าดีหรือไม่ ผมไม่ได้ห้ามแบบนี้ แต่ถ้าไปรวมกลุ่มแล้วมารณรงค์รับไม่รับ ใช่ที่ไหน ถ้ารณรงค์อย่างนี้ก็แสดงว่าพี่น้องเขาไม่ได้คิดเองสิ ประชามติเป็นสิทธิส่วนบุคคล ส่วนตัวนะ ชี้นำไม่ได้นะ ไม่ใช่ไปเลือกตั้ง เลือกเบอร์ 3 เบอร์ 4 รณรงค์กันนะ คืนหมาหอนบ้างอะไรบ้าง ผมก็เป็นห่วงอยู่ (นี้เป็นการชี้นำไม่ได้) ชี้นำไม่ได้ รัฐบาลก็ชี้นำไม่ได้ ทหารก็ชี้ไม่ได้ คสช.ก็ชี้ไม่ได้ ก็ได้แต่เพียงบอกว่า รัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ว่าอะไร แต่ละมาตรา เป็นวรรคๆ วรรคไหนที่มันดูแปลกๆหน่อยเปลี่ยนไปจากอันเก่าบ้าง ชี้แจงแค่นั้นเอง ความมุ่งหมายคืออะไร ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดีสั่งห้ามหมดนะไม่ได้ ผมเป็นห่วงเรื่องการทำประชามติ ถ้าทุกคนตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็อาจจะได้อะไรมา จะผ่านหรือไม่ผ่านผมไม่รู้นะ ผมไม่ได้คาดหวังอะไรตรงนั้น คาดหวังให้ประชาชนคิดเป็นแล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีการชี้นำ

แต่สิ่งที่ควรต้องระมัดระวังก็ต้องมีคนที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เราต้องบังคับใช้กฎหมาย แล้วก็จะลามบานปลายไปนู่นนี่ ผมคิดว่าประชาชนต้องร่วมมือกันอย่าให้เกิดขึ้นอีก ถ้าประชาชนไปเข้าข้างใครก็จะตีกันเหมือนเดิม แล้วการทำประชามติก็จะมีปัญหาแล้วก็กลับมาว่ารัฐบาลไม่ดี มันเกี่ยวกันไหมตรงนี้ ใช่ไหมล่ะ คิด คิดให้ดี ตอนนี้ก็เป็นว่า เราไปใช้กฎหมายจับคนมาเพื่อต้องการขู่ให้ทุกคน ผู้เห็นต่างไปลงประชามติให้ผ่านมันจะกระทำได้อย่างไร กฎหมายเขาเขียนไว้ถ้าทำผิดตอนไหนก็โดนจับตอนนั้นและทำไมถึงมาเกิดตอนนี้ ก็มีเจตนาทำให้มันเกิด มีคนเจตนาไม่บริสุทธิ์ทำให้มันเกิดเพื่อที่จะให้เกิดการจับกุมแล้วให้มองภาพว่ารัฐบาลบังคับให้ผ่านประชามติ มันคนละเรื่อง คิดง่ายๆอย่างที่ผมคิดนะ ค่อยๆคิดนะฟังผมพูดเร็วไปหน่อย ค่อยๆฟังแล้วจะเชื่อใครก็ตามใจ แล้วแต่ท่านจะผ่านไม่ผ่านก็เรื่องของท่าน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นกังวลอีกอันก็คือการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะใครก็แล้วแต่ ตำรวจ คสช. หรือ กกต. อะไรต่างๆเหล่านี้ ผมถามว่าทั้งหมดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ใช่ไหม ไปเข้าศาล แล้วถ้าเกิดจับเขามาแล้ว ไปขึ้นศาล แล้วศาลพิจารณาแล้วไม่ผิด แล้วสรุปว่าจะเชื่อใครล่ะคราวนี้ จะไปตีกันต่อหรือเปล่าล่ะ กับ กกต. กับ ศาล ใช่ไหม ผมคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไร ต้องมีกลไกอะไรสักอย่างไหมผมไม่รู้ คือหลายคนก็บอกว่าเป็นหน้าที่ กกต.ทีนี้ผมก็สบายใจ ผมไม่ยุ่งไม่เกี่ยวอยู่แล้ว หน้าที่ของผมคือรักษาความสงบอย่างเดียว ฉะนั้น กกต.ก็ต้องเป็นคนชี้ว่า มันผิดหรือมันถูกใช่ไหม เขาก็ต้องไปแจ้งความ แล้วที่นี้แจ้งความขึ้นไป กกต. บอกว่าผิด พอขึ้นศาลแล้วมันถูกแล้วทำอย่างไรล่ะ จะเชื่อใครล่ะ ก็ถามตัวเองดูแล้วกันจะทำอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ตัดสินใจด้วยตัวเองนะดีที่สุด อย่าไปฟังใครเขา ถ้าคิดว่ามันดีก็ว่าดี มันจะทำให้ดีขึ้นหรือเปล่าหรือจะทำให้มันแย่ลงก็ไปคิดเอาเอง แล้วใครได้ประโยชน์เสียประโยชน์ไปดูเอาเอง ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ใครทั้งนั้น ก็ประชาชนทั้งนั้นที่เป็นคนได้ใช่ไหม

จากนั้นในช่วงสุดท้ายของรายการ พิธีกรถามว่า "ท่านนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่อยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนบ้างคะที่ให้ช่วยกันทำให้สังคมไทยของเราน่าอยู่"

พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า คือก็ฝากอันหนึ่งนะ ฝากว่าทำอย่างไรผมถึงจะพูดน้อยลง เพราะผมก็พูดมากทุกทีก็เหนื่อยด้วย เหนื่อย คนฟังก็เบื่อ แต่ผมก็จำเป็นต้องพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้และมันก็ไม่จบสิ้นสักทีเพราะยังไม่สำเร็จ และหลายอย่างก็กลับไปที่เก่า หลายอย่างมันก็ยังบิดเบือนอยู่เหมือนเดิม ถ้าอยากให้ผมพูดลดลงเหรอ รบกวนเวลาดูทีวีดูละครลดลงเหรอ ก็ช่วยผมสิ ช่วยผมทำงานจะได้ไม่ต้องมาพูดเยอะ พูดเยอะเพื่อสร้างความเข้าใจ เขาก็ไม่เข้าใจ มันก็ทำกันอยู่แบบนี้ ผมก็ต้องพูด ก็ช่วยๆผมบ้างนะ อย่างน้อยก็ช่วยผมรักษาสุขภาพผมหน่อย ผมดูแลท่านอยู่แล้ว แต่ผมก็ทำสุดชีวิตอยู่แล้วนะ

ฉะนั้นเป็นห่วงอยู่อย่างหนึ่งว่า คนบางคนเกิดมาเพื่อพูดแล้วไม่ต้องทำผมพูดแล้วผมทำ บางคนเกิดมาพูดอย่างเดียว ไม่เคยทำไม่เคยสำเร็จ แต่พูดหลักการวิชาการ รู้หมด แต่วิธีทำไม่รู้ ทำไม่เป็น ไม่สนใจอย่างอื่นกฎหมายเขาว่าอย่างไร กระบวนการบริหารราชการ การทำงานของราชการเขาเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องเลย แต่จะเอาอย่างนี้มันทำได้ไหมล่ะ กฎหมายเขามีกี่ฉบับไม่รู้เรื่อง ก็จะพูดให้ตัวเองดูดี ผมไม่รู้ว่าจะพูดไปเพื่ออะไรเหมือนกัน แล้วบางคนพูดไปไม่รู้กี่รัฐบาลแล้ว ประเทศเสียหายไปเท่าไรแล้วก็ยังพูดอยู่อีก ไม่รับผิดชอบ แต่มีคนฟังอยู่นะ ต้องเลิกฟังกันบ้างสินะ ไปหาดูว่าใครทำให้ประเทศชาติเสียหายบ้าง ใครที่ทำให้ประเทศชาติเกิดความขัดแย้งบ้าง อย่าไปฟังเขาก็แค่นั้น อย่าไปร่วมกับเขา สื่อก็อย่าไปถ่ายรูปเขามา อย่าไปขยายความให้คนที่ทำความผิด คนที่มีคดีความก็แค่นั้น มันก็สงบแล้วใช่ไหม

อีกประการหนึ่งก็ใกล้ถึงวันวิสาขบูชาด้วย ก็ต้องเตรียมตัวเรื่องการทำบุญทำทาน เข้าวัดฟังธรรม ฟังเทศน์อะไรก็แล้วแต่ ตามความศรัทธาของแต่ละคน เพราะเราก็ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี อันที่สอง ปีนี้ก็เป็นปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบรอบ 70 ปี สมเด็จพระนางเจ้าฯครบรอบ 84 พรรษา ทำความดีให้เป็นสองเท่าได้ไหม เป็นดับเบิ้ลได้ไหม สองเท่า ทำเท่าเดียวอาจจะไม่พอนะ สองเท่า สามเท่า สี่เท่าไป ทุกคนช่วยกันทำ 60 กว่าล้านคน ช่วยกันทำคนละอย่าง เดิมทำได้คนละอย่าง ทุกวันนี้ทำคนละ 5 อย่างได้ไหม เพื่อตัวเองสัก 2 อย่าง เพื่อคนอื่นอีกสักอย่าง เพื่อประเทศชาติอีกสัก 2 อย่าง 5 อย่าง ประเทศไปได้แน่นอน

ส่วนในเรื่องของการเผื่อแผ่คนอื่นก็คือนอกจากในเรื่องของการทำบุญกับพระกับวัดแล้วก็คือเรื่องของการทำทาน คือการดูแลคนอื่นๆที่เขาลำบากยากเข็ญ ก็ช่วยกัน รวมจิตศรัทธารวมกันบริจาคเงินในการสมทบทุนกันก่อสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช อันนี้ก็ตามสมัครใจครับ มีมากก็ทำมาก มีน้อยก็ทำน้อย ตามโครงการที่เราเคยเริ่มไว้ก็คือ “ทำดีได้ ด้วยปลายนิ้ว” ก็คือการบริจาคเงินผ่านมือถือ โทรออก 1 ครั้ง เป็นเงินบริจาค 100 บาท รายละเอียดจะอยู่ตามหน้าจอมันเยอะ ยาว แล้วเดี๋ยวไปติดตามดูแล้วกัน ตามสื่อ แล้วก็ในตัววิ่งต่างๆทุกช่อง ผมให้ออกตลอดไปนะครับ วันนี้คงมีเท่านี้นะ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท