ประชาไทชวนดูมาตรการการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตและผู้ลี้ภัยในประเทศต่างๆ นำโดยเกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี และประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของไทยอย่างมาเลเซีย
8 เม.ย. 2564 วิธีป้องกันโรคโควิด-19 นอกเหนือจากการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และไม่เอาตัวเองไปอยู่ในที่เสี่ยงแล้ว การฉีดวัคซีนถือเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยป้องกันโรคระบาดโควิด-19 นี้ได้ เห็นได้จากการที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง รวมถึงผู้สูงอายุตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และในปีนี้ หลายประเทศก็เดินหน้าต่อ เร่งฉีดวัคซีนให้กับพลเมืองของตนให้ได้มากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งการระบาดของโรคได้
แม้หลายประเทศจะฉีดวัคซีนให้พลเมืองของตัวเองได้เกิน 20% แล้ว แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถือเป็นคนชายขอบของหลายพื้นที่ นั่นคือ กลุ่มผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตและผู้ลี้ภัย ซึ่งมักถูกหลงลืมในการได้รับสิทธิต่างๆ รวมถึงความมั่นคงด้านสุขภาพ แต่ถึงกระนั้นก็มีหลายประเทศในโลกที่เปิดรับและมอบโอกาสในการเข้าถึงวัคซีนให้แก่บุคคลกลุ่มเปราะบางเหล่านี้ จะมีประเทศใดบ้าง เชิญติดตามได้ในรายงานพิเศษฉบับนี้
เกาหลีใต้
สำนักข่าวยอนฮับของเกาหลีใต้รายงานเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ที่ผ่านมาว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ยืนยันให้ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมายสามารถเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ฟรีตามสถานพยาบาลทุกแห่ง โดยเจ้าหน้าที่จะไม่ดำเนินคดีเอาผิดฐานหลบหนีเข้าเมืองและไม่ส่งตัวกลับประเทศต้นทาง รวมถึงจะใช้เกณฑ์การตรวจสอบคัดกรองโรคเช่นเดียวกับพลเมืองเกาหลีใต้และชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ก่อนหน้านี้ ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศว่าจะฉีดวัคซีนให้ชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้พักอาศัยในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายนานกว่า 3 เดือน โดยให้สิทธิการเข้าถึงวัคซีนเช่นเดียวกับพลเมืองเกาหลีใต้ ส่วนชาวต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมายจะต้องพิจารณาแล้วแต่กรณี แต่เมื่อวันที่ 6 เม.ย. รัฐบาลเกาหลีใต้ออกประกาศใหม่ ให้ชาวต่างชาติที่อยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายและไม่มีเอกสารอนุญาตสามารถเข้ารับวัคซีนได้ทุกกรณี โดยให้เหตุผลว่าเพื่อความปลอดภัยทางสาธารณสุขของชาติ พร้อมเน้นย้ำว่าจะไม่มีการจับกุมและส่งตัวกลับประเทศ ทั้งยังยืนยันว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนให้แก่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองอย่างแน่นอน ซึ่งทางการเกาหลีใต้เปิดเผยว่าในขณะนี้ มีผู้อพยพที่อาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมายประมาณ 400,000 คน
สหรัฐอเมริกา
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ประกาศให้สิทธิการเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างเท่าเทียมแก่ประชาชนทุกคนในสหรัฐฯ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีสถานะการเข้าเมืองเช่นใด
แถลงการณ์จากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ
“กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและรัฐบาลกลางสนับสนุนความเท่าเทียมในการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างเต็มที่ รวมถึงการกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่ต่างๆ เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตให้ทำงานหรือพักอาศัยอย่างถูกต้องในสหรัฐฯ มาตรการนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญตามหลักจริยธรรมและหลักการด้านสาธารณสุข เพื่อรับรองว่าประชาชนทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างเท่าเทียม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิขอเชิญชวนให้ประชาชนทุกคนให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทันทีตามระเบียบการกระจายวัคซีนในเขตพื้นที่ของท่าน ซึ่งทุกคนสามารถรับวัคซีนได้ไม่ว่าจะมีสถานะการเข้าเมืองอย่างไร
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิตั้งเป้าปฏิบัติการกิจในการรับมือกับโรคโควิด-19 ให้สำเร็จลุล่วง โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติตามเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ สัญชาติ หรือเหตุผลอื่นใด ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายละนโยบายรัฐ นอกจากนี้ กระทรวงมั่นคงแห่งมาตุภูมิจะสนับสนุนการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 อย่างเสมอภาคและมีประสิทธิภาพเพื่อประชาชนทุกคน ซึ่งรวมถึงชุมชนคนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม
เพื่อให้ชุมชนที่อยู่ห่างไกลและชนกลุ่มน้อยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงวัคซีน สำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง (FEMA) จะทำงานร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐบาลกลางเพื่อเสริมสร้าง สนับสนุน และอำนวยความสะดวกต่างๆ ในการจัดตั้งจุดฉีดวัคซีนชั่วคราว และคลินิกฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ นอกจากนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) รวมถึงสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) จะไม่ตั้งจุดตรวจในบริเวณใกล้เคียงสถานที่ฉีดวัคซีน และจะไม่บุกจับกุมผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตในสถานที่ฉีดวัคซีนโดยเด็ดขาด ยกเว้นแต่จะได้รับแจ้งเป็นกรณีพิเศษร้ายแรงเท่านั้น
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิให้คำมั่นและขอรับรองว่าทุกคนในสหรัฐฯ จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ว่าจะมีสถานะการเข้าเมืองหรือพักอาศัยแบบใด”
ก่อนหน้านี้ นโยบายกระจายวัคซีนในสมัยของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นไปอย่างไม่ชัดเจน โดยทรัมป์ ประกาศว่า “เฉพาะพลเมืองอเมริกันเท่านั้นที่ได้รับวัคซีนฟรี” ซึ่งส่งผลต่อนโยบายการกระจายวัคซีนต่อคนต่างชาติทั้งที่อาศัยอยู่อย่างถูกต้องและผิดกฎหมายในแต่ละมลรัฐ เช่น รัฐเนบราสกาที่ประกาศว่าผู้อพยพผิดกฎหมายหรือไม่มีเอกสารอนุญาตจะไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือรัฐฟลอริดาที่บังคับให้ชาวต่างชาติต้องยื่นหลักฐานเพื่อยืนยันสถานะการอยู่อาศัยก่อนเข้ารับวัคซีน ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้อพยพเท่านั้น แต่ยังสร้างความกังวลให้ผู้ให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพอีกด้วย
แม้ว่าต่อมา รัฐบาลโจ ไบเดน จะประกาศว่าผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ แต่การดำเนินงานของหน่วยงานอย่างๆ ยังไม่ชัดเจน จนกระทั่งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ออกประกาศฉบับดังกล่าว จึงสามารถสร้างมาตรฐานการกระจายวัคซีนที่เป็นธรรมทั่วประเทศ
(ภาพจาก New York National Guard)
ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตในสหรัฐฯ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับคิวฉีดวัคซีนได้ผ่านเว็บไซต์ทางการหรือโทรศัพท์สายด่วน โดยบุคคลที่ประสงค์จะเข้ารับการฉีดวัคซีนต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป และสามารถเลือกได้ว่าจะฉีดวัคซีนยี่ห้อใด ซึ่งวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ในสหรัฐฯ ขณะนี้ คือ ไซเฟอร์, โมเดอร์นา, และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (*รายละเอียดการให้บริการวัคซีนแตกต่างกันไปตามแต่ละรัฐ)
สหราชอาณาจักร
วันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมา โฆษกรัฐบาลอังกฤษประกาศว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และไม่ต้องยืนยันสถานะการเข้าเมืองหรืออยู่อาศัย พร้อมยืนยันว่าผู้อพยพยเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายไม่ว่าจะเข้ามาในรูปแบบใด เช่น หลบนีเข้าเมืองผ่านช่องทางธรรมชาติ หรืออยู่เกินระยะเวลาวีซ่า จะได้รับการฉีดวัคซีนอย่างแน่นอน และจะไม่ถูกตรวจสอบสถานะการเข้าเมือง รวมถึงจะไม่มีการดำเนินคดีหรือส่งตัวบุคคลเหล่านั้นกลับประเทศ
ด้านกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษแถลงว่ากระทรวงจะไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดของผู้รับวัคซีนแก่กระทรวงมหาดไทย แต่จะเปิดเผยเพียง ‘บางส่วน’ เท่านั้น หมายความว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อพยพจะไม่ถูกส่งต่อไปยังตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ผู้อพยพจะต้องรออยู่ในพื้นที่เพื่อรับวัคซีนจากทางการ ตามลำดับอายุและความเสี่ยงตามเกณฑ์ของคณะกรรมการร่วมวัคซีนแห่งชาติ โดยผู้อพยพคนใดที่มีใบประเมินสุขภาพจากแพทย์จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับวัคซีนได้เร็วขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่าการขอใบประเมินสุขภาพจากแพทย์ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานการเข้าเมืองหรือการอยู่อาศัย แต่อาจจะต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประจำตัวหรือพาสปอร์ต แต่การเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลภายใต้ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) จำเป็นต้องใช้หลักฐานยืนยันสถานะผู้อยู่อาศัย เพราะเป็นระบบสำหรับผู้อยู่อาศัยและผู้เสียภาษีอย่างถูกต้องเท่านั้น
(ภาพโดย Tim Dennell)
อนึ่ง ผลสำรวจเมื่อปีที่แล้วของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พบว่า ผู้อพยพหรือแรงงานที่ไม่มีเอกสารอนุญาตในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ พ.ศ.2544-2563 มีจำนวนระหว่าง 120,000-1,300,000 คน
สหภาพยุโรป
วันที่ 24 ก.พ. 2564 สำนักข่าวดอยช์เวเลย์รายงานว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรป หรือ EU ประกาศแผนการฉีดวัคซีนให้ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตและผู้ลี้ภัย ซึ่งส่วนใหญ่ระบุว่าจะเริ่มฉีดให้หลังจากที่พลเมืองของประเทศตนได้รับวัคซีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอมาตรการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยระบุว่าผู้ลี้ภัยถือเป็นกลุ่มบุคคลที่รัฐต้องให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพเช่นเดียวกับพลเมืองของตน แต่ในข้อเสนอนั้นไม่ได้กล่าวถึงผู้อพยพยที่ไม่มีเอกสารอนุญาตแต่อย่างใด
แต่หลายประเทศที่เป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และโปรตุเกส ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาต ในขณะที่เบลเยียมประกาศว่าจะให้กลุ่มคนเปราะบางเหล่านี้ได้รับวัคซีนเช่นกัน แต่ไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าจะรวมกลุ่มคนเหล่านี้ไว้ในแผนการฉีดวัคซีนแห่งชาติหรือไม่ ส่วนเยอรมนีประกาศแล้วว่าจะฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ลี้ภัยและผู้ที่กำลังขอสถานะลี้ภัย แต่ต้องรอลำดับการรับวัคซีนตามที่รัฐจัดให้ ซึ่งเป็นนโยบายเดียวกับประเทศเซอร์เบีย ที่แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่เป็นประเทศที่เปิดรับผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
สเปน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประกาศฉีดวัคซีนให้ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาต แต่ในขณะเดียวกัน ทางการสเปนกลับพยายามส่งตัวผู้ที่เดินทางเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายเพื่อขอสถานะลี้ภัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ส่วนกรีซ ยืนยันว่าจะฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ลี้ภัยอย่างแน่นอน แต่ไม่ได้กล่าวถึงการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาต ด้าน โปแลนด์ ซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ยืนยันแล้วว่าโครงการวัคซีนฟรีสงวนไว้ให้เฉพาะพลเมืองโปแลนด์และชาวต่างชาติที่มีใบอนุญาตอยู่อาศัยในโปแลนด์อย่างถูกต้องเท่านั้น
มาเลเซีย
ทางการมาเลเซียประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมาว่าผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารอนุญาตสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ฟรี โดยไม่ถูกดำเนินคดีหรือส่งตัวกลับประเทศ พร้อมระบุว่ารัฐบาลมาเลเซียต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้อพยพทุกคน และจะทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศเพื่อกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงแก่ประชาชนทุกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มเปราะบาง
ข้อมูลจากระบบติดตามวัคซีนของบลูมเบิร์กระบุว่าในวันที่ 7 เม.ย. 2564 มีประชากรได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้วจำนวนเกือบ 690 ล้านโดส ใน 153 ประเทศทั่วโลก โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ประชากรได้มากที่สุดถึง 169 ล้านคน คิดเป็น 26% ของประชากรทั้งหมด อัตราการฉีดเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ล้านโดสต่อวัน หากควบคุมอัตราการฉีดวัคซีนได้คงที่ คาดว่าสหรัฐฯ จะใช้เวลาอีก 3 เดือนจึงจะสามารถฉีดวัคซีนครอบคลุม 75% ของประชากรในประเทศ
ทั้งนี้ มีเพียง 3 ประเทศเท่านั้นมีที่อัตราการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สูงเกิน 40% ของประชากร ได้แก่ อิสราเอล (56.1%) เซเชลส์ (53.2%) และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (40.3%)
ที่มา:
- DHS Statement on Equal Access to COVID-19 Vaccines and Vaccine Distribution Sites
- DHS says undocumented immigrants should get coronavirus vaccines
- Undocumented foreigners to get free vaccines
- 40만 불법체류 외국인도 코로나19 백신 접종 받는다
- How to Get a Covid-19 Vaccine: a State-by-State Guide
- Illegal migrants' vaccine amnesty: Up to 1.3million are urged to register with a GP for a Covid-19 jab in drive for herd immunity... and they'll face no action from the Home Office
- Refugees and undocumented migrants must be vaccinated, NGOs warn
- Malaysia says undocumented migrants will not be arrested during mass Covid-19 vaccination programme
- Coronavirus vaccines will be available to immigrants in Canada
- THE COVID-19 VACCINES AND UNDOCUMENTED MIGRANTS: WHAT ARE EUROPEAN COUNTRIES DOING?