Skip to main content
sharethis

“ทะลุฟ้า” นัดเปลี่ยนสีป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กลายเป็นสีชมพู แต่ไม่ทันไรตำรวจใช้รถฉีดน้ำสลายชุมนุมจนผู้ชุมนุมถอยไปเปิดหมอลำเต้นก็ยังตามไปสลาย ช่างภาพฟรีแลนซ์ที่เคยโดนกระสุนยางทวงถามการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ คฝ.โต้ไม่มีปลอกแขนก็มีโอกาสโดนยิงอยู่แล้ว ด้านโฆษก ตร.แถลงจับได้ 6-7 คนจากเหตุที่ราชประสงค์

17 ส.ค.2564 ที่แยกราชประสงค์ “ทะลุฟ้า” นัดชุมนุมอีกครั้งโดยในชื่อ “ให้มันเป็นสีชมพู” ครั้งนี้ทางกลุ่มประกาศเป้าหมายการชุมนุมคือไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อประณามตำรวจที่ใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุกับประชาชนที่ออกมาชุมนุมเพื่อสลายการชุมนุม

ก่อนที่การชุมนุมจะเริ่มขึ้น เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ของ Mob Data รายงานว่าตำรวจตั้งด่านตรวจที่บริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าชิดลมฝั่งขาเข้าราชประสงค์โดยเน้นตรวจรถจักรยานยนต์

ด่านตรวจที่ชิดลม

ทางด้านแยกราชประสงค์มวลชนเริ่มรวมตัวกันตั้งแต่ก่อนถึงเวลานัดในเวลา 15.00 น. โดยมีกลุ่มศิลปินเพลงเพื่อราษฎรตั้งเครื่องเสียงเลนดนตรีและเริ่มมีการปราศรัยถึงประเด็นการกระจายฉีดวัคซ๊นให้กับประชาชนที่ยังไม่ครอบคลุมถึงประชาชนทุกคนและวัคซีนที่นำมาฉีดให้ประชาชนไปส่วนหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพที่จะป้องกันโควิด-19 ได้ก็ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อและมีการประกาศผ่านเพจของกลุ่มทะลุฟ้าว่าจะเคลื่อนไปที่ สตช.ในเวลา 16.00 น. แต่ระหว่างนี้จะมีการสลับกันปราศรัยจนกว่าจะถึงเวลา

ประชาชนที่ขึ้นมาปราศรัยต่อจากนั้นยังกล่าวถึงการใช้ความรุนแรงของตำรวจในการสลายการชุมนุมของประชาชนที่ออกมาเรียกร้องการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากรัฐบาลแต่รัฐบาลกลับใช้ทั้งกฎหมายและความรุนแรงในการจัดการกับประชาชนเหล่านี้ แล้วตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์กลับรับใช้เผด็จการมาทำร้ายประชาชนซึ่งถือว่าตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่ของตนและที่ตำรวจอ้างว่าการสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล ที่การใช้ปืนกระสุนยางยิงต้องไม่ยิงใส่ใบหน้า ห้ามยิงใส่นักข่าว ไม่กราดยิง ห้ามยิงประชิด แต่ตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุมกลับทำผิดหลักสากลทุกอย่าง

“การที่ยศของพวกท่านได้มาจากการทำร้ายประชาชนนั้น มันไม่ใช่เกียรติยศแต่อย่างใดเลย ยศที่พวกท่านได้มาจากการทำร้ายประชาชนนั้น มันก็คือความอัปยศบนบ่าของท่าน” ผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่งวิจารณ์การใช้ความรุนแรงของตำรวจที่เข้าสลายการชุมนุม เขายังกล่าวยืนยันอีกว่าจะออกมาร่วมชุมนุมอย่างสันติและเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่มีเงื่อนไข

ผู้ร่วมชุมนุมอีกรายหนึ่งยังได้กล่าวถึงการทำรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.ที่อ้างว่าเข้ามารักษาความสงบแต่กลับแสวงหาประโยชน์และยังใช้อาวุธที่ซื้อด้วยภาษีของประชาชนมาทำร้ายประชาชนเอง แต่ประชาชนที่ออกมาเรียงร้องกลับมีเพียงสันติวิธีเพื่อไล่พล.อ.ประยุทธ์ที่บริหารประเทศได้ไม่ดี

ในพื้นที่ชุมนุมมีการนำภาพปฏิบัติการของตำรวจในการสลายการชุมนุมที่ผ่านมาแสดงต่อสื่อมวลชนและผู้ผ่านไปมาด้วย

จากนั้นเมื่อถึงเวลา 16.00 น. มวลชนที่มาร่วมชุมนุมเริ่มตั้งขบวนที่แยกราชประสงค์เพื่อเดินไป สตช.ตามที่ได้แจ้งไว้และมีการประกาศให้มวลชนหยิบป้ายผ้าหยิบภาพการสลายการชุมนุมไปร่วมขบวนเพื่อแสดงถึงความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ใช้สลายการชุมนุม ข้อความบนป้ายผ้าเช่น “ประยุทธ์ออกไป” “ตำรวจต้องหยุดรับใช้เผด็จการ” เป็นต้น

ระหว่างเดินขบวนมีการปราศรัยยืนยันเป้าหมายที่จะไป สตช.เพื่อยืนยันประเด็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวใช้ความรุนแรงกับประชาชนและนักข่าว โดยกิจกรรมที่ไปทำคือการบีบแตรรถและทำให้ สตช.เป็นสีชมพู

16.11 น. ขบวนเดินถึงหน้า สตช. ข้างใน สตช.มีตำรวจชุดควบคุมฝูงชนพร้อมอุปกรณ์และรถฉีดน้ำแรงดันสูงอยู่ด้านใน สตช. โดยด้านหน้าประตูทางเข้าและแนวรั้ว สตช. มีการกั้นรั้วเหล็กร้อยลวดหนามไว้ ส่วนขบวนที่มาถึงมีการปราศรัยถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่บริเวณ สน.ดินแดงแต่กลับไม่รับผิดชอบและมีการอ่านบทกวีของวิสา คัญทัพและมวลชนตะโกน “ประยุทธ์ออกไป”

16.15 น.โดยประมาณ จากนั้นมีการประกาศผ่านเครื่องเสียงฝ่ายผู้ชุมนุมให้เปลี่ยนสีป้าย สตช. มวลชนที่มาเริ่มหยิบถุงสีชมพูขึ้นมาใส่ป้าย สตช.และปาเข้าไปในบริเวณถนนทางเข้า สตช.การปาสีดำเนินไปได้ราว 10 วินาทีหลังประกาศ ตำรวจใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงยิงออกมาจากด้านใน สตช.อย่างต่อเนื่องใส่มวลชนที่มารวมตัวกันหน้าทางเข้า จากนั้นในไลฟ์ของ The reporter เริ่มมีเสียงดังคล้ายประทัดหลายครั้งตามมา โดยที่ผู้ชุมนุมยังประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงอีกหลายครั้งว่าให้ปาแต่สีเท่านั้น

สถานการณ์ดำเนินต่อเนื่องไปจนเวลา 16.25 น.รถฉีดน้ำแรงดันสูงยิงน้ำออกมาก่อนที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเคลื่อนมาที่ประชิดประตู สตช.และเปิดประตู สตช.เพื่อออกมาที่ถนนพระราม 1 แล้วตั้งแนวอยู่บนฟุทปาทหน้า สตช. ส่วนทางด้านกลุ่มทะลุฟ้าประกาศยุติการชุมนุมทันทีแต่ในขณะเดียวกันรถยนต์ในบริเวณนั้นต่างบีบแตรยาวต่อเนื่อง

16.35 น. ไอลอว์รายงานว่ามีผู้ชุมนุมหญิงอายุประมาณ 60 ปีที่ยืนตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ถูกจับกุมเข้าไปใน สตช. และตำรวจยังมีการประกาศว่าใครทำร้ายเจ้าหน้าที่ให้จับได้และมีการจับกุมผู้ชุมนุมเพิ่มอีก ทางด้านผู้ชุมนุมหยุดขว้างปาสิ่งของรายงานของไอลอว์ระบุอีกว่าคำว่า “ทำร้าย” ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้ชัดเจนว่าหมายถึงการกระทำใด และตำรวจยังประกาศต่อไปว่าต้องขอคืนพื้นที่ด้านมวลชนตะโกนไล่ตำรวจให้ถอย แต่กลับมีตำรวจอีกชุดเข้ามาล้อมด้านหลังของผู้ชุมนุม

ชายเสื้อขาวด้านล่างของภาพถูกตำรวจดึงแขนเข้าไปในแนวด้านหลังของตำรวจ

จากเหตุชุลมุนที่หน้า สตช. เวลา 16.46 น. ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ถอยกลับไปที่แยกราชประสงค์โดยรถเครื่องเสียงยังปราศรัยถึงการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ต่อประชาชนและยืนยันแนวทางสันติวิธีและมีการประกาศให้มวลชนเดินทางกลับบ้าน ส่วนทางตำรวจมีการประกาศให้ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนวิ่งไปตามถนนพระราม 1 หากจับใครได้ให้จับเลย แนวตำรวจเคลื่อนตัวต่อไปจนกระทั่งถึงหน้าโรงพยาบาลตำรวจ และยังมีแนวตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่เดินมาจากทางด้านราชดำริเดินมุ่งหน้ามาที่แยกราชประสงค์อีกทาง

16.59 น. ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักตำรวจยังคงตั้งแนวปิดถนนพระราม 1 ฝั่งขาออก ประกาศให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และจะให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับทางประตูน้ำ

17.15 น.ส่วนมวลชนที่ยังอยู่บริเวณแยกราชประสงค์เปิดเพลงหมอลำแล้วเต้นกัน

หลังจากผู้ชุมนุมเปิดเพลงเต้นไปได้ประมาณ 15 นาที 17.30 น. ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนหลายสิบนายที่มากับรถสองแถว รถกระบะ เข้าพื้นที่แยกราชประสงค์โดยมาพร้อมอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนทั้งโล่ อาวุธปืนซึ่งคาดว่าเป็นกระสุนยางเข้าสลายผู้ชุมนุมที่ยังเต้นกันอยู่และมีการใช้ปืนยิงไปทางผู้ชุมนุมที่กำลังถอยหนีออกจากพื้นที่ดังกล่าวและเข้าจับกุมผู้ชุมนุมได้อย่างน้อย 1 คน

ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าจับกุมคนที่ยังเหลืออยู่และใช้ปืนยิงไปทางผู้ชุมนุมที่กำลังถอยหนี

ผู้ชุมนุมที่ยังตกค้างในพื้นที่ถูกตำรวจควบคุมฝูงชนจับกุมขึ้นรถไป

The Reporter รายงานสถานการณ์หลังจากการจับกุมชายคนดังกล่าวขึ้นรถไป มีช่างภาพฟรีแลนซ์ของสำนักข่าวต่างประเทศเดินไปหาพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เพิ่งเดินเข้าพื้นที่มาเพื่อทวงถามถึงเหตุที่ตัวเขาเองถูกยิงจากการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเมื่อครั้งวันที่ 13 ส.ค. โดยทางตำรวจถามหาปลอกแขนสื่อกับช่างภาพดังกล่าวและยืนยันว่ามีการให้สื่อมาเอาปลอกแขนแล้วเพื่อความปลอดภัยของสื่อเอง ช่างภาพคนดังกล่าวจึงถามกลับว่า “ปลอดภัยจากพี่(ตำรวจ) หรือจากอะไร”

ช่างภาพ(ซ้าย) ขณะกำลังชี้แจงเรื่องที่ตนถูกยิงกับพ.ต.อ.กฤษณะ (หน้ากากอนามัยสีฟ้า) โดยมีตำรวจควบคุมฝูงชนอีกนาย(หน้ากากดำยืนชิดข้างพ.ต.อ.กฤษณะ) ที่เข้ามาโต้เถียงด้วย

ระหว่างที่ช่างภาพกับพ.ต.อ.กฤษณะกำลังสนทนากันอยู่ ตำรวจในชุดควบคุมฝูงชนตะโกนแทรกขึ้นมาว่า “เรา(ช่างภาพ) ไม่มีปลอกแสดงเครื่องหมายบอกฝ่าย ไม่มีปลอกแสดงเครื่องหมายบอกฝ่าย เราเข้ามาในพื้นที่มันมีโอกาสที่จะโดนอยู่แล้ว ทำไมไม่ใส่ปลอกเหมือนคนอื่น” ช่างภาพคนดังกล่าวจึงโต้เถียงกลับว่า “จะโดนจากใครละ ก็โดนจากพี่ไง ก็พี่ยิงทุกคนนะ” พ.ต.อ. กฤษณะได้ถามหาบัตรแสดงตัวสื่อ แต่ช่างภาพคนดังกล่าวยืนยันว่าตัวเองเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ซึ่งสำนักข่าวต่างประเทศที่เขาทำงานให้ไม่ได้ออกบัตรให้ แต่ทางพ.ต.อ. กฤษณะก็ยังคงยืนยันว่าปกติการทำงานของสื่อก็ต้องมีบัตรแสดงตัว ส่วนช่างภาพก็ตอบโต้ว่า “เดี๋ยวนี้มันไปไกล พี่ต้องอัพเดตด้วย ไม่ใช่ยุคที่พี่ทำงานแล้ว” ทั้งนี้ระหว่างที่ช่างภาพคนดังกล่าวกำลังเปิดมือถือเพื่อแสดงตัวว่าเป็นช่างภาพจริง พ.ต.อ. กฤษณะเดินแยกออกไปแถลงข่าวสถานการณ์ของวันนี้ต่อ

18.30 น. พ.ต.อ.กฤษณะแถลงเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุมวันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ได้กดดันให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่แยกราชประสงค์และ สตช. ที่มาชุมนุมกันตั้งแต่ 15.00 น. ทางตำรวจได้ประกาศแจ้งแล้วว่าเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมายแต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังดำเนินกิจกรรมต่อไปและมีการขว้างผ้าชุมสีและระเบิดปิงปองขวดน้ำ และวัตถุต่างๆ เข้าไปใน สตช. ตำรวจประกาศเตือนหลายครั้งแล้วจึงต้องบังคับใช้กฎหมายโดยการใช้น้ำแรงดันสูงฉีดเป็นไปตามมาตรฐานสากลและกฎกติกา จากนั้นผู้ชุมนุมแยกออกเป็นสองส่วนโดยมีทางแยกราชประสงค์และเฉลิมเผ่า ตำรวจได้พยายามเข้าจับกุมผู้ที่ยังคงปักหลักชุมนุมอยู่และควบคุมตัวคน 6-7 รายได้จากที่ชุมนุม และกล่าวถึงกรณีของช่างภาพคนดังกล่าวว่าขอให้สื่อมวลชนไปลงทะเบียนรับปลอกแขนสื่อเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่และทำหน้าที่สื่ออย่างเป็นกลาง

ภายหลังการแถลงข่าวของพ.ต.อ. กฤษณะ The Reporter สัมภาษณ์ช่างภาพคนดังกล่าวต่อ เขากล่าวว่าเหมือนไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดแต่ตำรวจพยายามบอกว่าคนที่มีปลอกแขนเท่านั้นที่สามารถถ่ายได้ แต่วงการสื่อมันอัพเดตไปแล้ว ปลอกแขนที่ขึ้นกับสมาคมสื่อแต่ก็มีนักข่าวอีกหลายสำนักข่าวที่ไม่ได้อยู่ภายใต้สมาคมสื่อ และเขาอธิบายว่าสำนักข่าวต้นสังกัดของเขาอยู่ที่สหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถขอปลอกแขนได้เพราะว่าสมาคมสื่อไม่ออกปลอกแขนให้ แล้วเขาจะทำงานได้อย่างไรหรือไม่ต้องออกมาทำงานหรืออย่างไร

“ทุกคนมันมีสิทธิเข้ามาถ่ายได้ แค่นั้นเอง คุณแค่ระวังไม่ให้ยิงเราแค่นั้น เขาก็จะอ้างแต่ว่าคุณไม่มีปลอกแขนนะ เราไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คุณเกิดอันตรายขึ้นมาแล้วทำยังไง แต่อันตรายเดียวคือมาจากพวกเขา(ตำรวจ) ถ้าพวกเขาไม่ยิงก็ไม่มีใครได้รับอันตราย นักข่าวลงพื้นที่มาเขามีประสบการณ์เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่พวกเขายิงมาโดยอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นใคร” ช่างภาพคนดังกล่าวบอกว่าแม้จะมีการยืนยันได้แล้วว่าทำงานให้สำนักข่าวจริงๆ แต่ตำรวจก็ยืนยันว่าเขาไม่มีปลอกแขนอยู่ดีและเขาเองก็ไม่เห็นว่าปัญหานี้จะแก้ได้อย่างไรแล้วทางสมาคมสื่อก็ไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้ด้วย

หมายเหตุ - มีการแก้ไขข้อมูล 18 ส.ค.2564 เรื่องช่างภาพที่โดนกระสุนยาง ข้อเท็จจริงคือช่างภาพคนดังกล่าวเคยถูกยิงเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2564 ไม่ใช่เหตุการณ์การชุมนุมในวันที่ 17 ส.ค.ที่ราชประสงค์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net