Skip to main content
sharethis

ส.ส.โรม เปิดสาเหตุที่ทำให้พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ต้องลี้ภัยทั้งที่เป็นตัวหลักในการทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาจนจับกุมทหาร ตำรวจยศใหญ่ นักการเมืองท้องถิ่นได้ ชี้คนทำงานไม่ได้รับการส่งเสริมคุ้มครอง ต้องรื้อระบอบและรัฐบาลที่หนุนระบอบที่ทำลายล้างตำรวจดี

18 ก.พ.2565 ในที่ประชุมรัฐสภาวาระอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ รังสิมันต์ โรม อภิปรายประเด็นปัญหาการค้ามนุษย์ในไทย โดยเขาเริ่มกล่าวโดยยกรายงานการจัดอันดับปัญหาการค้ามนุษย์ประจำปี 2021 ที่อันดับของไทยตกจากกลุ่ม tier(เทียร์) 2 มาอยู่ในกลุ่มเทียร์ 2 watch list หรือเกือบแย่สุดจาก 4 ระดับ โดยมีประเด็นที่ถูกลก่าวถึงในรายงานดังนี้

การลักลอบขนคนผิดกฎหมายข้ามชายแดนระหว่างพม่ากับไทย มีการเรียกเก็บเงินตั้งแต่ 10,000-70,000 บาท โดยการกระทำดังกล่าวมีทั้งตำรวจทหาร เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นให้การสนับสนุนหรือปกปิดข้อมูลไม่ให้เกิดการฟ้องคดีตัวผู้กระทำการค้ามนุษย์ และยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลบางคนได้รับประโยชน์ด้วย ทั้งที่เคยมีความพยายามปราบปรามการค้ามนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่งมีการเอาตัวคนผิดตั้งแต่นายหน้าค้ามนุษย์ที่เป็นคนทั่วไปไปจนถึงทหารระดับสูงกรณีที่ว่าคือการค้ามานุษย์โรฮิงญาที่ในตอนนั้นนำโดยพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8

พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ (ภาพจากเว็บไซต์พรรคก้าวไกล)

รังสิมันต์กล่าวอีกว่าการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาคือการเรียกเก็บเงินกับขาวโรอิงญาที่ต้องการอพยพลี้ภัยจากพม่าไปมาเลเซียทำให้มีคนแวยโอกาสนี้มาหากินกับชีวิตมนุษย์ โดยเก็บเงินคนละหลายหมื่นเอาขึ้นเรือประมงที่ดัดแปลงไว้ขนคนเข้าน่านน้ำไทยแล้วก็ขังในค่ายลับกลางป่า ผู้หญิงถูกข่มขืนโดนซ้อมทรมานเพื่อให้ญาติที่อยู่ปลายทางส่งเงินให้ขบวนการเป็นค่าไถ่

รังสิมันต์ได้เปิดภาพสภาพที่คุมขังและหลุมศพชาวโรฮิงญาที่ถูกพบบริเวณเทือกเขาแก้ว อ.ปะดังเบซา จังหวัดสงขลา นอกจากนั้นยังพบโรงนอน พบศพ 36 ศพ บางรายพบว่าขาดสารอาหารตาย บางรายเป็นเด็กอายุยังไม่ถึง 18 ปี เมื่อตำรวจเข้าทลายค่ายกักกันก็ยังพบชาวโรฮิงญาที่หนีตามคนอื่นไม่ทันเนื่องจากไม่สามารถเดินได้จากการถูกบังคับให้นั่งยองตลอดเวลาที่อยู่ในค่าย

“อย่างนี้แหละที่เรียกว่าค้าทาส เห้นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา เป็นความอำมหิตของทุกคนที่กระทำและสนับสนุนอาชญากรรมนี้ให้ดำรงอยู่มานานนับสิบปี”

ส.ส.จากก้าวไกลยังกล่าวต่ออีกว่าอาชญากรรมนี้จะเกิดไม่ได้ถ้าไม่เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบร่วมด้วยและพล.ต.ต.ปวีณก็พิสูจน์ให้เห็นโดยการสืบสาวไปจนเจอนักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจ ทหารหลายนาย โดยมีชื่อรายใหญ่ที่สุดที่จับได้คือพล.ท.มนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก จากการทำหน้าที่ของพล.ต.ต.ปวีณก็ช่วยทำให้อันดับของไทยในรายงานการค้ามนุษย์ดีขึ้นเรื่อยๆ และทำให้รัฐบาลนี้เอามาเป็นผลงานของตัวเอง แต่สุดท้ายพล.ต.ต.ปวีณกลับต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ แล้วหกปีผ่านไปไทยก็ถูกลดระดับกลับลงมา

รังสิมันต์ได้แสดงเอกสารคำให้การของพล.ต.ต.ปวีณต่อทางการของประเทศออสเตรเลียเพื่อใช้ในการขอลี้ภัยและออสเตรเลียก็ให้การยอมรับคำให้การนี้ให้พล.ต.ต.ปวีณขอลี้ภัยได้ โดยในคำให้การชี้ให้เห็นว่าในการทำงานของพล.ต.ต.ปวีณนั้นไม่ได้รับความร่วมมือจากนายตำรวจอื่นๆ ในการติตดามหาพยานสำคัญคนหนึ่งเพื่อขยายผลจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์นี้ แต่จากการสืบสวนเองก็พบหลักฐานการโอนเงินจากผู้ต้องหารายหนึ่งซึ่งปรากฏชื่อผู้รับโอนเช่น จันทรา ตั้งซวดหรือเจ๊ ง้อที่อยู่ในขบวนการค้ามนุษย์รายใหญ่ในจังหวัดระนอง และยังพบว่าจันทรามีสายสัมพันธ์ถึงนายทหารระดับอดี ผบทบ ที่อยู่ในรัฐบาลนี้ด้วย และผ่านมาหกปีก็เพิ่งมีการจับกุมลูกสาวของจันทราได้ที่จังหวัดนนทบุรีหลังจากไทยเพิ่งถูกลดระดับมาอยู่เทียร์ 2 เทียร์ 2 watch list ได้ไม่กี่เดือน

นอกจากนั้นยังมีชื่อการโอนเงินจากผู้ต้องหาค้ามนุษย์พล.ท.มนัส คงแป้น โดยมีรายการโอนเงินเป็นยอด 14,000,000 บาท ปรากฏว่าหลักนี้ พล.ต.ตปวีนนี้มาทราบเอาจากนักข่าวภายหลังเพราะพ.ต.อ. “อ” ที่เป็นหัวหน้าชุดบุกค้นไม่ยอมส่งหลักฐานต่อให้ แต่ก็ได้มาในภายหลังจนนำไปสู่การออกหมายจับพล.ท.มนัส ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากอาชญากรแต่กลับเกิดขึ้นโดยตำรวจด้วยกันเอง

รังสิมันต์กล่าวต่อว่าภายหลังผู้ต้องหารายอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามอบตัวลังจากมีการโดยหนึ่งในนั้นคือ ปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือโกโต้งอดีต นายก อบจ.สตูล แต่ไปมอบตัวกับพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผบ.ตร.ในขณะนั้นเพราะเคยเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ดูแลพื้นที่สงขลาและสตูลมาก่อนในปี 54-55

พล.ท.มนัส คงแป้น(ซ้าย) (ภาพจากช่อง 3)

พล.ต.ต.ปวีณยังระบุในคำให้การอีกว่าหลังจากออกหมายจับพล.ท.มนัสได้ไม่กี่วันก็ได้รับโทรศัพท์จากนายตำรวจคนสนิทของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อ้างว่าพล.อ.ประวิตรต้องการให้พล.ท.มนัสได้รับการปล่อยตัว หลังจากบทสนทนาดังกล่าวออกมา พล.ท.มนัสก็เข้ามอบตัวกับพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ในเวลานั้น แล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จัดเครื่องบินส่งตัวพล.ท.มนัสไปคุมตัวที่หาดใหญ่ สงขลา แล้วพอพล.ท.มนัสทราบว่าพนักงานสอบสวนจะไม่ให้ประกันตัวก็ไม่พอใจอย่างมาก อ้างว่า ผบ.ตร.อนุญาตให้ประกันตัวได้แล้ว

รังสิมันต์ชี้ว่าเรื่องนี้ไมได้มีแต่เพียงที่พล.ต.ต.ปวีณอ้างเท่านั้นแต่ยังมีพล.ต.อ.เอก อังศนานนท์ ผู้บังคับบัญชาสายตรงของพล.ต.ต.ปวีณก็ได้เขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์บอกเล่าไว้เช่นกันว่าได้ยินพล.ต.อ.สมยศพูดกับพล.ท.มนัสพูดว่า “เราเป็นพี่น้องกันจะให้ความเป็นธรรมสอบสวนปากคำเสร็จแล้วจะให้ประกันตัวไป” แต่เมื่อไม่ได้ประกันตัวพล.ท.มนัสก็โวยวายว่า “กูโดนหลอก ผบ.ตร.จะให้ประกันตัว แต่ไอ้รองเอกคัดค้านไม่ให้ประกันตัว” จะเห็นได้ว่าจากความพยายามของพล.ต.อ.สมยศและพล.อ.ประวิตรให้พล.ท.มนัสได้ประกันตัวนี้แสดงให้เห็นว่าเป็นการไม่เคารพกฎหมายใช้เส้นสายช่วยพวกพ้อง ทั้งที่คดีนี้เป้นคดีที่มีการกระทำเกี่ยวเนื่องนอกราชอาณาจักรที่ตามกฎหมายคนที่จะมีอำนาจสั่งให้ประกันหรือไม่นั้นคืออัยการสูงสุดไม่ใช่ ผบ.ตร.หรือรองนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี

ส.ส.ก้าวไกลกล่าวต่ออีกว่า ไม่เพียงเท่านั้น พล.ท.มนัสยังได้ข่มขู่พยานปากสำคัญแล้วก้ข่มขู่พล.ต.ต.ปวีณว่าตัวเองมีพวกโดยกล่าวว่า “ไม่ใช่ตะเกียงที่หมดน้ำมัน ระวังตัไว้ให้ดี” และพล.ต.ต.ปวีณยังถูกกดดันทั้งจากทหารและตำรวจด้วยกัน เช่น นายตำรวจนายหนึ่งที่ปัจจุบันเป้นผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่เคยช่วยคุมเรื่องตำรวจราบที่เขาเคยกล่าวถึงในตอนที่อภิปรายเรื่องตำรวจราบนี้ โดยตำรวจนายนี้ บอกกับปวีนว่าทางทหารไม่พอใจที่ออกหมายจับพล.ท.มนัส แต่ถึงขนาดนั้นแล้วปวีนก็ยังออกหมายจับนายทหารบกเพิ่มอีก3 นาย ทหารเรืออีก 1 นาย แต่เมื่อรายงานกับผู้บังคับบัญชาทราบกลับถูกตำหนิและสั่งให้เก็บหมายจับทหารไม่ให้สื่อรู้ พอใช้วิธีส่งหมายให้กองทัพแบบเงียบๆ ปรากฏว่าผลที่ตามมาคือพล.ต.อ.เอก อังศนานนท์ กลับถูกย้ายออกนอกสังกัดตำรวจไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ปวีนต้องรีบสอบสวนเรื่องนี้ก่อนทีผู้บังคับบัญชาของตัวเองจะถูกย้ายในวันที่ 30 ก.ย.2558 แต่ท้ายที่สุดทีมสอบสวนก็สรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดได้สำเร็จ โดยในสำนนวนคดีนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาได้ถึง 153 คน และคดีก็มีถึงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ออกมาแล้วให้ลงโทษถึง 75 คน

อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่มี พล.อ.ประวิตรนั่งเป็นประธาน ได้อนุมัติเมื่อ 21 ต.ค.2558 ให้ย้ายพล.ต.ต.ปวีณไปรักษาราชการอยู่ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นการย้ายไปในพื้นที่ที่มีขบวนการค้ามนุษย์อยู่เป้นจำนวนมากและยังเป็นเขตอิทธิพลของทหารที่ไม่พอใจพล.ต.ต.ปวีณอยู่แล้วด้วย อีกทั้งในพื้นที่ยังมีการใช้กฎหมายพิเศษซ้อนกันหลายฉบับคือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎอัยการศึก จึงกลายเป็นการส่งพล.ต.ต.ปวีณไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงอย่างมากต่อการถูกเอาคืนโดยผู้เสียประโยชน์จากการทำงานของตำรวจนายนี้

นอกจากนั้นการย้ายครั้งนี้ปรากฏอีกว่าในวันที่ 2 พ.ย.2558 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่เพิ่งได้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ก็กล่าวถึงเหตุผลของการย้ายพล.ต.ต.ปวีณว่าได้รับคำแนะนำจาก พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโทผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารของพล.ท.มนัส ว่าพล.ต.ต.ปวีณเป็นนายตำรวจที่เชี่ยวชาญกฎหมายความมั่นคงจึงเหมาะกับการย้ายไปชายแดนใต้

แต่เมื่อปรากฏว่าพล.ต.ต.ปวีณยื่นจดหมายลาออกเมื่อวันที่ 5 พ.ย.2558 และลี้ภัยไปแล้วหลังจากพยายามขอให้ทั้งพล.ต.อ.จักรทิพย์ทบทวนคำสั่งและขอถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ไม่สำเร็จ ภายหลังพล.ต.ท.เทศากลับบอกว่าไม่เอาพล.ต.ต.ปวีณแล้วเนื่องจากไม่มีวินัย ไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา รังสิมันต์ตั้งคำาถมว่า สรุปแล้วเป็นการพยายามหาข้ออ้างเพื่อให้พล.ต.ต.ปวีณต้องไปตายหรือไม่? และพล.อ.ประวิตรที่นั่งประธาน กรรมการตำรวจเคยรู้เรื่องนี้บ้างหรือไม่

รังสิมันต์ยังเผยอีกว่าพล.ต.ต.ปวีณได้บอกกับเขาว่ายังมีเรื่องต้องสืบสวนอีกมากเนื่องจากขบวนการค้ามนุษย์ขนาดใหญ่ที่ต้องขนคนลงเรือจำนวนมากเข้าน่านน้ำไทย อย่างน้อยที่สุดกองทัพเรือภาค 3 เกี่ยวข้องอีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้มีการเข้าไปขยายผลค้นหาหลักฐานในบ้านของพล.ท.มนัสด้วย จึงมีคำถามอีกมากมายตามมาเช่น ทั้งกองทัพให้การสนับสนุนเรื่องนี้หรือไม่ มีคนที่ใหญ่กว่าสูงกว่าพล.ท.มนัสหรือไม่ มีคนในรัฐบาลที่กำลังจะต้องชี้แจงในสภานี้ด้วยหรือไม่ การที่พล.ท.มนัสเสียชีวิตในเรือนจำจากเหตุหัวใจวายทั้งที่สุขภาพดีมาตลอดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่

รังสิมันต์ยังชี้อีกว่าเหตุที่ทำให้พล.ต.ต.ปวีณต้องลี้ภัยตามที่ปรากฏในคำให้การว่าหลังจากยื่นใบลาออก มีนายตำรวจใหญ่ พล.ต.ท. “ฐ” และนายทหารใหญ่ พล.อ. “จ.”(ยศในขณะนั้นคือพลโท) ที่เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงชั้นสูง โทรศัพท์ถึงเขาแสดงความเสียดายที่เขาลาออก และจากการได้คุยกับทั้งนายทหารและนายตำรวจสองคนนี้ก็ทำให้เข้าได้พบกับ พล.อ.อ. “ส.” ที่เป็นข้าราชการชั้นสูงเบอร์ต้นๆ ของประเทศได้เสนอให้เขาไปถอนใบลาออกกับ ผบ.ตร.แล้วมาทำงานกับเขา ซึ่งใบสมัครที่ พล.อ.อ. “ส.” ส่งให้คือ “สนง.นรป.904” แม้ว่าพล.ต.ต.ปวีณจะกรอกรายละเอียดในใบสมัครไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้ยื่นเนื่องจากยังอยากทำงานเดิมมากกว่า

ทั้งนี้ พล.อ.อ. “ส.” ให้ทางเลือกกับพล.ต.ต.ปวีณว่าจะทำงานกับเขาหรือย้ายไปสังกัดที่กองบัยชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อดูคดีค้ามนุษย์ต่อ แต่พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมายที่อยู่ในการนัดพบครั้งนี้ได้เสนออีกทางเลือกให้พล.ต.ต.ปวีณว่าจะลาออกแล้วอยู่เงียบๆ ไป ซึ่งพล.ต.ต.ปวีณก็เชื่อจริงๆ ว่าตนได้รับสิทธิให้กลับมาทำงานคดีค้ามนุษย์ต่อ เนื่องจากมีผู้หลักผู้ใหญ่เห็นความสำคัญของงานและจะปกป้องเขาให้ทำงานได้ เขาจึงไปถอนใบลาออกกับ ผบ.ตร.

อย่างไรก็ตามปรากฏว่าคืนเดียวกันนั้น พล.ต.ต.ปวีณกลับได้รับสายที่เรียกให้เขาไปพบ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ผบ.ตร.ในวันถัดไป แล้วเมื่อได้พบกับพล.ต.อ.จักรทิพย์ พล.ต.ต.ปวีณกลับถูกบอกให้ลาออกไปอยู่เงียบๆ และยังได้ต่อสายให้เขาได้คุยกับ พล.ต.อ.จุมพลที่ยืนยันให้เขาลาออกเช่นกัน จึงกลายเป็นบทสรุปให้พล.ต.ต.ปวีณว่าไม่สามารถไว้วางใจผู้บังคับบัญชาและช้าราชการผู้ใหญ่ได้อีกแล้วและการเลือกของเขาจะทำให้มีชะตากรรมเดียวกับกรณีสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือ หมอหยอง และพ.ต.ต. ปรากรม วารุณประภา ที่ถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 แล้วต่อมาเสียชีวิตในคุกหรือไม่ จึงเป็นเหตุผลให้เข้าตัดสินใจล้ภัยออกนอกจากประเทศไปในวันที่ 16 พ.ย.2558

#ตั๋วช้าง ทะลุล้านทวีตขึ้นอันดับ 1 เทรนด์โลก หลัง 'โรม' อภิปรายแฉขบวนการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ

รังสิมันต์ตั้งคำถามว่านี่คือผลลัพธ์แบบเดียวกันกับตำรวจ 96 นายที่ปฏิเสธไม่ย้ายสังกัดไปเป็นตำรวจราบ จนถูกธำรงวินัยนานเกือบปีใช่หรือไม่? หรือว่าเป็นด้านตรงข้ามของคนที่ได้ตั๋วช้างจนได้ดีส่วนใครแม้ซื่อตรงต่อหน้าที่แต่ไม่เข้าหาคนชั้นสูง ปฏิเสธที่จะเป็นช้าราชบริพารก็ต้องฉิบหายวายวอดกันไปใช่หรือไม่? 

“คุณปวีณนี่แหละครับคือผู้ที่จริงจังที่สุดในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ ขนาดว่าถูกขัดขวาง ถูกข่มขู่ ก็ยังยืนยันเอาผิดกับคนที่มันผิดต่อไป และสิ่งที่เขาทำมันช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของประเทศได้จริง” รังสิมันต์กล่าวถึงการที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับในรายงานการค้ามนุษย์ดีขึ้นในช่วงที่มีการดำเนินคดีค้ามนุษย์โรองิญานี้จนลดความเสี่ยงที่จะถูกคว่ำบาตรและยังได้ช่วยให้ไม่ต้องมีคนตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ด้วย ทั้งที่ควรส่งเสริมให้ตำรวจแบบนี้ให้ได้ดี

รังสิมันต์ตั้งคำถามว่าภายใต้รัฐบาลนี้ตำรวจแบบนี้กลับต้องลี้ภัย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่เป็นผู้บังคับบัญชาได้ให้ความคุ้มครองหรือไม่ หรือพล.อ.ประวิตรที่เป็นประธานกรรมการตำรวจได้คุ้มครองบ้างหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้ความคุ้มครองบ้างหรือไม่อีกทั้งยังท้าทายให้กลับมาสู้คดีโดยที่ทุกวันนี้ก็ยังคุกคามคนเห็นต่างทุกวัน

“สาเหตุที่แท้จริงที่รัฐบาลนี้ไม่ส่งเสริมให้คนอย่างคุณปวีณได้ทำงาน ก็เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วผู้ค้ามนุษย์ตัวใหญ่ตัวจริงมันก็ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ อยู่ในทำเนียบ อยู่ในกระทรวง หรืออาจกำลังอยู่ในสภาขณะนี้ก็เป็นได้” รังสิมันต์กล่าวถึงว่านี่คือความพยายามทำลายคนทำงานที่สื่อสัตย์ คนที่ทำงานเพื่อให้ประเทศดีขึ้นที่สะท้อนถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าการค้ามนุษย์และทำให้คนต้องประพฤติชั่ว ทำให้คนกลัว ซึ่งเป็นระบอบที่ที่ต้องรีบเอาออก ต้องเอารัฐบาลที่สนับสนุนระบบแบบนี้ออก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net