Skip to main content
sharethis
  • อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย โพสต์ 16 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549 ความเลวร้ายของการใช้อำนาจนอกระบบ ที่ไม่เห็นหัวประชาชน"
  • รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชี้ครบรอบรัฐประหาร 49 คือ 16 ปีแห่งความหลังที่ขมขื่นเสื่อมถอย รัฐประหารต้องสูญพันธ์ุ เหตุไม่ใช่คำตอบของประเทศ

19 ก.ย.2565 เนื่องในวาระครบรอบ 16 ปี การรัฐประหารรัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ผบ.ทบ. ขณะนั้น ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของ ทักษิณ และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย โพสต์ข้อความถึง 16 ปี รัฐประหาร ในชื่อ "16 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549 ความเลวร้ายของการใช้อำนาจนอกระบบ ที่ไม่เห็นหัวประชาชน"

โดยมีรายละเอียดดังนี้

"16 ปี รัฐประหาร 19 กันยา 2549 ความเลวร้ายของการใช้อำนาจนอกระบบ ที่ไม่เห็นหัวประชาชน"

ครบรอบ 16 ปีของการรัฐประหารที่ คสช.ใช้อำนาจเผด็จการฉีกรัฐธรรมนูญอย่างไม่เห็นหัวประชาชน และใช้กลไกอำนาจในคราบอันธพาล ข่มขู่คุกคามนิสิต นักศึกษา ประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง

นับจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมคิดว่าวันนี้คนในสังคมไทยได้เรียนรู้ผลกระทบของการรัฐประหารอย่างกระจ่างแจ้งมากขึ้นแล้วว่า มันได้ส่งผลกระทบที่เป็นพิษร้ายต่อทุกระบบในสังคมไทย และการเลือกหนทางรัฐประหารเป็นทางเลือกที่ทำร้ายระบบประชาธิปไตย เศรษฐกิจ สวัสดิภาพและความมั่นคงทุกมิติของบ้านเมือง

สิ่งที่ชัดเจนที่สุด คือ การใช้กลไกทางกฎหมายที่ผิดเพี้ยน การปล่อยข่าวใส่ร้ายป้ายสีเพื่อจัดการลงโทษเอาผิดกับคนและพรรคการเมืองที่คิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม ในขณะเดียวกันก็ยกเว้นผิด ละเว้นโทษให้กับพวกพ้องตน โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการทางกฎหมายสากลใดๆ 

แนวทางการใช้กลไกกฎหมายตาม “หลัก(พวก)กู” ของผู้มีอำนาจ แสดงถึงพัฒนาการอย่างหนาและด้านทน กระทำการเลวร้ายโดยอ้างความมั่นคงของชาติอย่างไม่ละอายใจ ข้ออ้างเหล่านี้ถูกนำมาผลิตซ้ำอีกครั้งในการรัฐประหารปี 2557 

ความผิดเพี้ยนของคณะรัฐประหารและเนติบริกรที่ร่วมกันออกแบบรัฐธรรมนูญและการใช้กฎหมายดังกล่าวให้เป็นคุณแก่พรรคและพวกตนเองนั้น วันนี้ได้กลับมาย้อนทำร้ายตัวเอง กรณีกำหนดเวลา 8 ปีของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งยิ่งตอกย้ำชัดเจนในวันนี้ว่า “หมดเวลาของประยุทธ์” แล้ว แต่ก็ยังเห็นการดิ้นรนของคนแวดล้อมประยุทธ์ ที่พยายามบิดพริ้วให้คืนอำนาจกลับมาอีกครั้ง

16 ปีที่ประเทศไทยเราต้องถอยหลังจมปลักอยู่กับความขัดแย้ง และการใช้อำนาจรัฐซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง เป็น 16 ปีของการสูญเสียที่ดึงประเทศให้ล้าหลังและไร้อนาคต

ผมคิดว่าเราไม่ควรเอาอนาคตของประเทศ อนาคตของลูกหลานมาทิ้งไว้กับความพยายามในการปกป้องตัวเอง ของผู้นำที่หวงอำนาจ คิดแต่รักษาผลประโยชน์ของพวกพ้อง ใช้เล่ห์เหลี่ยมหาทางออกให้กับกลุ่มผู้นำที่มาจากรากรัฐประหารโดยไม่เห็นประชาชนอยู่ในสายตา

วันนี้ แม้ว่าผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะสะท้อนออกมาให้เห็นถึงความล้มเหลวด้านสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง มาอย่างต่อเนื่อง คนไทยเราหมดหวังกับผลพวงที่เลวร้ายนานเกินไป จากการที่คณะรัฐประหารพยายามแปลงร่างใหม่ ใช้กุศโลบายแบบคิดสั้นมาทำร้ายและกัดกินประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทว่า..การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ จะเป็นช่วงเวลาของการแสดงให้เห็นถึงอำนาจในมือประชาชน ที่จะกำหนดอนาคต และ สร้างความหวัง ให้เป็นความจริง 

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ครบรอบ 16 ปี เป็นเวลาที่เราต้องเรียนรู้บทเรียน และไม่ปล่อยให้ผู้ลุแก่อำนาจ (ไม่ว่าจะแปลงโฉมแบบใด) มาทำร้ายประเทศและประชาชนได้อีก 

19 กันยายน 2565
ภูมิธรรม เวชยชัย

‘ลิณธิภรณ์’ ชี้ครบรอบรัฐประหาร 49 คือ 16 ปีแห่งความหลังที่ขมขื่นเสื่อมถอย รัฐประหารต้องสูญพันธ์ุ เหตุไม่ใช่คำตอบของประเทศ

ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานด้วยว่า ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ หรือ อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้เมื่อ 16 ปีที่แล้ว  รัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ถูกรัฐประหารยึดอำนาจ  เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549  ณ วันนี้ ผ่านมา 16 ปี  ประเทศไทยเสื่อมถอยลงทุกมิติ ทั้งมิติในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม คนไทยได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วว่า  รัฐประหารไม่ใช่ข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงประเทศ  เพราะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย  เพราะการเกิดขึ้นของรัฐประหารในปี 2549  และในปี 2557 ส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้ รวม 4 ด้าน ได้แก่ 

1. วิกฤตศรัทธาต่อระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมถดถอยตกต่ำ   : หลายกรณีที่เกิดขึ้นในสังคมไทย องค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้น และระบบนิติรัฐนิติธรรม  หรือระบบอุปถัมภ์เบ่งบาน อย่างกรณี ส.ต.ท.หญิง ล้วนทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยต่อทั้งระบบราชการและกระบวนการยุติธรรมไม่มากก็น้อย  จนทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อระบบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

2. การทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มขึ้น : จากการประเมินขององค์กรโปร่งใสนานาชาติ  (Transparency International :TI)  ซึ่งได้จัดการประเมินความเชื่อมั่นต่อการทุจริตในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทย ได้ชี้ให้เห็นว่าการทำรัฐประหารที่ใช้ข้ออ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนจากนักการเมืองที่โกงกิน เป็นวาทกรรมเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารเท่านั้น เพราะในปี 2564  อันดับการทุจริตในประเทศไทยอยู่อันดับที่ 104  ตกต่ำสุดในรอบ 20 ปี  แต่ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลพลเรือนของ ดร.ทักษิณ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 59  เป็นอันดับที่สูงสุดในรอบ 20 ปี ตัวเลขเหล่านี้ คือเครื่องยืนยันว่ารัฐประหารและรัฐบาลที่มีที่มาจากรัฐประหาร   ไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันได้ ซ้ำร้ายปัญหายิ่งรุนแรงมากขึ้น

3. รัฐบาลกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน  :  รัฐบาลสืบทอดอำนาจจากผู้นำรัฐประหาร  กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองกับประชาชนมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมาในช่วง 10 ปี  จากสถิติในปี 2565 ยอดรวมจำนวนคดีทางการเมืองมีกว่า 1,065 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีกว่า 1,808 คน และเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ถึง 280 ราย พวกเขาหมดอนาคต เพียงเพราะความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจากรัฐบาล  

4. การเติบโตทางเศรษฐกิจถดถอย : รัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ไร้ซึ่งความรู้ ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อต้องเจอกับวิกฤตโรคระบาดใหม่อย่างโควิด-19  จึงไม่สามารถบริหารประเทศภายใต้วิกฤตได้  สะท้อนได้จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ทิ้งดิ่งติดลบหนักสุดถึงกว่า 6%  โดยจากการรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย  พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  อยู่มาถึง 8 ปี  ทำจีดีพีประเทศคิดเป็นมูลค่าเพิ่มแค่ 2.4 ล้านล้านบาท  แตกต่างจากรัฐบาล ดร.ทักษิณ แม้มีโอกาสบริหารประเทศครบวาระ และพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามาในสมัยที่ 2  รวมการเป็นรัฐบาลเพียง 5 ปี  ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง  ต้องเจอกับโรคระบาดใหม่ เช่น ไข้หวัดนก แต่จีดีพีไม่เคยติดลบ  ยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 3  ล้านล้านบาท เช่นเดียวกับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศเพียง 3 ปี แม้จะต้องเจอกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ปีแรกของการเข้ามาเป็นรัฐบาล  แต่จีดีพีไม่ติดลบ  ซ้ำยังทำให้มูลค่าจีดีพีในประเทศตลอดอายุของการเป็นรัฐบาล เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาท 

นอกจากนี้  รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ซึ่งมีที่มาจากการรัฐประหารและสร้างกติกาเพื่อให้ตนเองอยู่ในอำนาจมาถึง 8 ปี   ทุกวันนี้คนไทยยังคงจนลง   รัฐบาลขยันสร้างหนี้เพิ่ม  เพราะหาเงินไม่เป็น  ใช้เงินเก่งมือเติบ  อยู่มา 8 ปี กู้เงินในงบประมาณไปแล้วเกือบ 4 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ยังไม่รวมหนี้นอกงบประมาณ  พลเอกประยุทธ์สร้างหนี้มากกว่ารัฐบาล ดร.ทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์  และยังสร้างหนี้สาธารณะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 10 ล้านล้านบาท  หนี้ครัวเรือนยังพุ่งสูงทะลุถึง 90% ต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 18 ปี   ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากทหารได้อย่างชัดเจนที่สุด 

“ผ่านมา 16 ปี กับการทำรัฐประหาร 2 ครั้ง  ผู้มีอำนาจเขียนกติกาเพื่อสืบทอดอำนาจ  แต่ก็ยังไม่สามารถนำพาประเทศพ้นจากความจน ตรงกันข้ามกลับจมดิ่ง ล้าหลังและเสื่อมถอย หากรัฐบาล ดร.ทักษิณ ได้มีโอกาสบริหารประเทศ 8 ปี เหมือนที่พลเอกประยุทธ์ทำ ประเทศไทยวันนี้คงกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย นำพาประเทศไทยยืนผงาดในเวทีโลก  ทั้งหมดคือบทเรียนที่มีค่าที่คนไทยต้องตระหนัก และกำจัดรัฐประหารให้สูญพันธ์ุ  เพราะมันไม่ใช่คำตอบของสังคมไทย”  ลิณธิภรณ์ กล่าว

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net